green and brown plant on water

ฉฬภิญโญ 

เวลาอ่าน : 3 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน” 

วันอาทิตย์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2567

เรื่อง ฉฬภิญโญ 

โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค

กำหนดสติ ในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม รู้สึก ทั่วร่างกาย ผ่อนคลาย ปล่อยวางร่างกายทุกส่วน ปล่อยวางขันธ์ 5 ร่างกายนี้ ปลดปล่อย ความรู้สึก ความเกร็งความหนักทั้งหลายผ่อนคลายทั่วร่าง ปล่อยวางกายเพื่อให้จิตของเราเบาลง จากนั้นปล่อยวางความกังวลความคิดการปรุงแต่ง ปล่อยวางความห่วงทั้งหลาย ความห่วงใยในบุคคล ความห่วงใยในหน้าที่การงาน ในกิจการทั้งหลาย ความห่วงในสินทรัพย์ ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง เหลือแต่เพียงความสงบ ยิ่งเราฝึกปล่อยวางบ่อยมากเท่าไหร่ ปล่อยวางสิ่งที่เรารักสิ่งที่เราห่วงที่สุดบ่อยมากเท่าไหร่ ถึงเวลาที่เราต้องจากโลกนี้ไป ในเวลาที่หมดอายุขัยก็ดี เราก็จะสามารถปล่อยวางได้ง่ายกว่าคนที่ไม่เคยฝึก ไม่เคยพิจารณาในเรื่องของการปล่อยวาง ปล่อยวางความห่วง ปล่อยวางสิ่งที่เรารักที่สุด ปล่อยวางสิ่งที่เราหวงแหนที่สุด เพราะทุกสิ่งที่เราห่วงที่เราเกาะที่เรายึด เป็นโซ่ที่ล่ามเราไว้ในสังสารวัฏล่ามเราไว้ในภพภูมิต่างๆ ผ่อนคลายร่างกาย ผ่อนคลายปล่อยวางจิตใจ ปล่อยวางจนรู้สึกเข้าถึงความเบาความสงบ อารมณ์จิตที่รู้สึกว่าเราปราศจากภาระ ปราศจากความอาลัยทั้งปวง จนจิตเราอยู่กับความสงบ ลมหายใจเบาละเอียด ลมหายใจปราณีต อยู่กับความสงบ ความเบาของจิต 

เมื่อเราเข้าถึงสัมผัสในความสงบร่มเย็นของใจ สภาวะที่จิตเราปราศจากภาระความวุ่นวายความห่วงความอาลัยทั้งปวง จิตเราชินกับความสุขแห่งความสงบ เมื่อนั้นจิตก็เริ่มจะเรียนรู้ที่จะปล่อยวางที่จะไม่เกาะไม่ยึด ธรรมชาติปุถุชนคนทั่วไปจะมีความรู้สึกว่า ความสุขเกิดจากการที่เรายึด ยึดในบุคคล ยึดในความรัก ยึดในทรัพย์สิน ยึดในหลักประกัน แต่ยิ่งยึดมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเป็นภาระของใจ ยิ่งยึดมากยิ่งทุกข์มาก ยิ่งรักมากยิ่งทุกข์มาก ยิ่งมีภาระมากยิ่งทุกข์มาก ยิ่งปล่อยวางได้มากเท่าไหร่ จิตเราก็เข้าถึงความเบาความสงบความร่มเย็น กำหนดพิจารณาในการละวางทุกสิ่ง ปล่อยวางจากใจของเรา เข้าถึงความสงบ ปล่อยวางตัดร่างกายจนจิตเราเข้าถึงลมหายใจที่ปราณีตละเอียด ลมหายใจละเอียดลง สงบระงับลง จิตมีความเบามีความสงบ จนลมหายใจดับ คือสงบระงับนิ่งหยุด เข้าถึงฌาน 4 ในอานาปานสติ 

ในความหยุดความนิ่ง เรากำหนดจิต กำหนดน้อมนึกจินตภาพเป็นดวงแก้วสว่าง จากดวงแก้วสว่างน้อมนึกให้เป็นเพชรที่เจียระไนรายรอบ เป็นเพชรรูปเจียระไนมีแสงสว่างเปล่งประกายเป็นประกายพรึกระยิบระยับแพรวพราว ทรงอารมณ์หยุดนิ่งอยู่กับภาพดวงจิตที่เป็นปฏิภาคนิมิตที่เป็นเพชรประกายพรึกนั้น จิตคือกสิณ กสิณคือจิต กำหนดว่าจิตของเราขณะนี้เป็นเพชรประกายพรึก มีสภาวะความผ่องใสเป็นปฏิภาคนิมิต เป็นสภาวะที่จิตเราเข้าถึงความเป็นทิพย์ คำว่าความเป็นทิพย์ของจิตนั้น ก็คือจิตนั้น มันพ้น จากการเกาะการฉาบทา การห่อหุ้มด้วยความโลภโกรธหลง ถูกห่อหุ้มด้วยนิวรณ์ 5 ประการ ถูกห่อหุ้มด้วยความคิดความกลัวความกังวล เมื่อจิตเปล่งประกายเป็นเพชรประกายพรึก จิตก็เข้าถึง ความเป็นทิพย์ศักยภาพดั้งเดิมแท้ของจิตซึ่งมีอยู่เป็นปกติ ความเป็นทิพย์ของจิตนั้น จิตเป็นตัวรู้เป็นธาตุรู้ จิตนั้นเป็นพลังงานอันไม่มีประมาณ จิตนั้นที่จริงเป็นอมตะ ที่จริงไม่ต้องแสวงหาความเป็นอมตะจากที่ไหน จิตเราไม่มีวันแตกดับไม่มีวันตาย เป็นเพียงแต่ว่าจิตนั้นเปลี่ยนสภาวะแห่งภพไปตามวาระของกรรม เปลี่ยนภพเปลี่ยนสมมุติ หากเป็นภพอื่นภูมิอื่นที่ไม่ใช่มนุษย์ ก็เปลี่ยนรูปของอาทิสมานกายไปตามภพนั้นๆ แต่หากเป็นภพมนุษย์ ก็เป็นสภาวะที่เป็นธาตุ 4 ดินน้ำลมไฟมาประชุมกัน และจิตเราเข้ามาอาศัยกายคือขันธ์ 5 นี้อยู่ แต่จิตนี้เป็นจิตดวงเดิม เคยเกิดเวียนว่ายตายเกิดมากี่ชาติกี่ภพก็เป็นจิตดวงนี้ เปลี่ยนไปตามวาระกรรม เปลี่ยนไปตามสมมุติ เรากำหนดรู้ รู้เพื่อให้ไม่ยึดติดไม่หลงว่าเราไม่มีในร่างกายร่างกายไม่มีในเรา เราไม่ใช่ขันธ์ 5 นี้ อันที่จริงเราไม่ได้ชื่อนี้ ทรัพย์สมบัติที่เราครอบครองอยู่ในชาตินี้ก็เป็นเพียงแค่เราขอยืมมาใช้ ตายไปแล้วก็ต้องคืนให้กับโลก เปลี่ยนสมมุติ ไปเกิดไปจุติใหม่ เวียนว่ายตายเกิดไปในสังสารวัฏ 

พิจารณาแล้วก็ให้เราตระหนักว่า เราโชคดีอย่างยิ่งเป็นผู้มีบุญอย่างยิ่ง มีบุญที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เกิดมาพบพระพุทธศาสนา โชคดีที่มีจิตศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา แล้วก็โชคดียิ่งขึ้นไปอีกที่ได้มาปฏิบัติธรรม ในขณะที่คนมากมายอีกหลายคน เกิดมาในแผ่นดินไทย เกิดมาพบพระพุทธศาสนา มีชื่อในบัตรประชาชนว่านับถือศาสนาพุทธแต่ไม่เคยได้ลิ้มรสกระแสความสงบเย็นของธรรมะของพระพุทธเจ้าเลย  มิซ้ำร้ายบางรายบางคนบางกลุ่ม ปรามาสจาบจ้วงพระรัตนตรัย ปรามาสจาบจ้วงพระพุทธเจ้า เรายังโชคดีที่เราเป็นบุคคลผู้เป็นสัมมาทิฐิ เป็นบุคคลที่รู้คุณแห่งพระพุทธเจ้า รู้คุณแห่งการปฏิบัติธรรม เราจึงได้ก้าวมาถึงจุดนี้ โชคดีที่สุดยิ่งกว่าถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 ก็คือ เมื่อเรามาปฏิบัติธรรมแล้ว เราปฏิบัติจนกระจ่างแจ้ง เห็นหนทางแห่งการปฏิบัติที่จะนำพาจิตของเราพ้นภัยจากสังสารวัฏ เข้าถึงซึ่งพระนิพพานเข้าถึงมรรคผลได้ เมื่อเราเห็นเราโชคดี เราก็จงอย่าได้ประมาท ใช้โอกาสอันดีนี้นำพาจิตตนให้เข้าถึงพระนิพพานชาตินี้ให้ได้ 

พิจารณาแล้วก็กำหนดให้จิตของเราเป็นเพชรประกายพรึกสว่าง ทรงอารมณ์ทรงตัวไว้ กำหนดว่าการทรงอารมณ์ การทรงฌาน การทรงสภาวะจิตเป็นเพชรประกายพรึก สภาวะความเป็นทิพย์ปรากฏ เราทรงอารมณ์ได้แนบสงบนิ่งราบเรียบเสถียรเป็นปกติ ทรงอารมณ์ทรงสภาวะความเป็นทิพย์ 

กำหนดจิตต่อไป เมื่อเราเข้าถึงคุณความดีในการปฏิบัติธรรม เราก็น้อมนำรำลึกถึงพระพุทธเจ้า ทรงภาพพระพุทธองค์ชัดเจนสว่าง เมื่อปรากฏภาพพุทธนิมิต เราก็น้อมจิตของเรากราบพระพุทธเจ้า ตั้งจิตบรรจงกราบพระพุทธเจ้า กราบด้วยความเคารพ กราบด้วยความนอบน้อม เมื่อกราบแล้วเราก็อธิษฐานจิต ขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ขอยกจิตอาทิสมานกายข้าพเจ้ายกขึ้นไปบนพระนิพพานด้วยเถิดพระพุทธเจ้าคะ กำหนดในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพอยู่เบื้องหน้ามหาสมาคม มีพระพุทธเจ้าสมเด็จองค์ปฐมทรงเป็นประธานพรั่งพร้อมด้วยพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ ขอจงปรากฏมากมายมหาศาลอยู่บนพระนิพพาน เราน้อมจิตกราบทุกท่านทุกๆพระองค์ด้วยความเคารพ ด้วยจิตที่นอบน้อม ด้วยจิตที่รำลึกนึกถึงพระคุณของท่าน 

จากนั้นกำหนดจิตต่อไป ขอบารมีพระพุทธเจ้าทรงสงเคราะห์ ขอให้ข้าพเจ้าทรงอารมณ์ในอารมณ์แห่งพระนิพพาน คราวนี้ให้เราแต่ละบุคคลทรงอารมณ์ของพระนิพพาน ที่ผ่านมาเราเคยฝึกเคยปฏิบัติ เราเคยฝึกซ้ำเราเคยฝึกด้วยตัวเอง ตอนนี้ให้เราแต่ละบุคคลทรงอารมณ์ในอารมณ์พระนิพพานเต็มกำลัง กำหนดพิจารณา กำหนดเคลื่อนจิตเข้าสู่สภาวธรรมเต็มกำลังให้ได้ด้วยกำลังของเรา พิจารณาทรงสภาวะทรงอารมณ์ให้ถึงพร้อมทั้ง 3 ประการ  พิจารณาโดยปัญญา เข้าสู่สภาวธรรม “นิพพานัง ปรมัง สุขัง” พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง อารมณ์จิตเข้าถึงความสุขปราณีตในอารมณ์พระนิพพานอย่างยิ่ง น้อมจิตของเราเองนะ ตอนนี้จะให้เวลาที่เราจะปฏิบัติ ทำให้ได้ด้วยตัวเอง ให้ตลอดเวลาที่เราพิจารณาเราประคองอารมณ์ทรงอารมณ์ทรงสภาวะกายทิพย์อยู่บนพระนิพพานไว้ตลอด ค่อยๆพิจารณาตัดสังโยชน์๑๐ พิจารณาตัดภพจบชาติ พิจารณาในอารมณ์พระนิพพาน ทรงอารมณ์บนพระนิพพานไว้ พร้อมกับน้อมจิตอธิษฐาน ตายเมื่อไหร่ข้าพเจ้าขอเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในจิตสุดท้ายก่อนตาย เข้าถึงอรหัตผล เข้าถึงพระนิพพาน ขอชาติภพนี้เป็นชาติสุดท้ายของข้าพเจ้า ทรงอารมณ์ความผ่องใสทรงอารมณ์บนพระนิพพาน ทรงสภาวะที่พระนิพพานปรากฏ ความสว่างความแพรวพราวความระยิบระยับ กระแสธรรมจากพระพุทธองค์ทุกๆพระองค์ รายล้อมห้อมล้อมกายพระวิสุทธิเทพของเราแต่ละบุคคลไว้ ทรงอารมณ์โดยความสงบผ่องใส ความเป็นทิพย์ปรากฏละเอียดชัดเจน สภาวะบนพระนิพพานปรากฏเห็นในรายละเอียดทั้งหมด 

เมื่อทรงอารมณ์บนพระนิพพานแล้ว อารมณ์จิตเราละเอียดปราณีตดีแล้ว เราก็กำหนดจิตอธิษฐาน 

ให้อาทิสมานกายกายพระวิสุทธิเทพเรา ปรากฏนั่งอยู่บนรัตนะบัลลังก์ดอกบัวแก้ว ห้อมล้อมด้วยพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ กำหนดจิตพิจารณาในวิสัยต่างๆของการปฏิบัติเพื่อพระนิพพาน 

ดังที่ทราบแล้วว่าวิสัยของการบรรลุธรรม วิสัยของการปฏิบัตินั้น ในสาวกภูมินั้นแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ซึ่งจะไม่ได้ลงในรายละเอียด จะเน้นในวิสัยสำคัญวิสัยเดียววันนี้ ทั้ง 4 วิสัยได้แก่ สุขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต แต่วันนี้จะเน้นในเรื่องของฉฬภิญโญ คืออภิญญา 6  หรือที่เรียกกันว่าอภิญญาใหญ่ ช่วงนี้ก็เป็นเรื่องของวาระที่กำลังจะเริ่มค่อยๆเปิดเข้าสู่ยุคอภิญญาใหญ่ ก็จะได้เล่าในวิสัยของผู้ที่ฝึกผู้ที่ปฏิบัติ ซึ่งแนวทางของพระที่ท่านได้อภิญญาใหญ่ แสดงอิทธิวิธีต่างๆได้นั้น การฝึกเข้มข้นมากกว่าวิสัยอื่น จากประสบการณ์ที่อาจารย์ได้พบกับครูบาอาจารย์หลายท่าน ในสายหลวงปู่ใหญ่ สายพระอาจารย์ในดง นับตั้งแต่ พันเอกชม สุคันธรัต ปู่โทนหลําแพร ปู่ปิยะแห่งคำตากล้า หลวงปู่ละมัยซึ่งท่านมีอายุหลายร้อยปี สิ่งที่ท่านสอนหรือวิสัยของอภิญญาใหญ่  โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเรามีโอกาสได้ไปกราบ แต่ถ้าเราสังเกตดู นับตั้งแต่ช่วงเวลาที่หลวงปู่ละมัยท่านมรณภาพ หลังจากนั้นล่องลอยของพระที่เป็นพระอภิญญาใหญ่หรือแม้แต่สายพระอาจารย์ในดงคือ สายหลวงปู่เทพโลกอุดรก็เหมือนกับเงียบหายไป ซึ่งเท่าที่อาจารย์พอทราบมา จากข่าวคราวที่ทราบ ท่านค่อนข้างจะเก็บตัวตามวาระและออกมาในช่วงที่ช่วยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา 

คราวนี้สิ่งที่จะเล่าสิ่งที่จะถ่ายทอดประสบการณ์ให้ฟังก็คือ เวลาที่เราจะไปกราบ พระที่มีวิสัยของอภิญญาใหญ่ ส่วนใหญ่ 8-90 เปอร์เซ็นต์ที่พบ ท่านมักจะมีลักษณะที่โผงผางตรงไปตรงมา และส่วนใหญ่ที่พบโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่ไปกราบหลวงปู่ละมัย ท่านจะด่านำมาก่อน คือที่จริงทุกสิ่งทุกอย่างก็คือการทดสอบ ส่วนใหญ่พระที่เป็นพระอภิญญาท่านจะดุ ท่านจะตรง ท่านจะด่าก่อน ด่าดูว่าเราทนต่อแรงเสียดทานได้ไหม จะคนละจริตกับอาจารย์ อาจารย์คณานันท์นี้ใจดีมาก แต่หากเป็นครูบาอาจารย์ที่เป็นอภิญญา ท่านจะดุท่านจะด่าท่านจะว่าหรือบางครั้งท่านก็จะแสดงกริยาอาการที่อาจจะไม่งามไม่สำรวม เรื่องพวกนี้เป็นเครื่องทดสอบดูใจของเรา ดังนั้นบางครั้งถ้าเรารู้ข้อสอบล่วงหน้าไปก่อน เวลาไปกราบเวลาท่านดุท่านด่าท่านว่ายังไง เราก็นอบน้อมด้วยอารมณ์จิตคือรู้ไว้ล่วงหน้าก่อน นอบน้อมไม่ว่าท่านจะดุด่ายังไง พอเรานอบน้อมเราเคารพ แล้วเวลาไปกราบไม่ได้คิดจะไปเอาของดีเอาวัตถุมงคล เราไปเอาคุณธรรมความดี ไปเอาการปฏิบัติ ถ้าเป็นแบบนี้ปุ๊บท่านก็จะตอบรับ ท่านก็จะเมตตาสงเคราะห์ แต่หากบางคนที่สอบไม่ผ่าน ท่านแสดงอากัปกริยาหรือใช้วาจารุนแรง เรามีอารมณ์ขึ้นแค่ในจิตไม่แสดงออกแต่ขึ้นในจิตหรือนึกตำหนิท่านปุ๊บ ท่านไล่ แล้วก็ไม่รับอีกเลย อันนี้อาจารย์เจอมาค่อนข้างเยอะ แต่เนื่องจากอย่างที่บอกว่าเรารู้คำตอบก่อน เราเตรียมจิตไปด้วยความนอบน้อม ดังนั้นความนอบน้อมนี้เป็นคุณธรรมสำคัญในการเข้าหาครูบาอาจารย์ พอถึงเวลาที่ท่านสอน บางครั้งลีลาในการสอนของท่านก็เป็นเรื่องที่ยากจะเข้าใจ คำว่ายากจะเข้าใจ เช่น บางครั้งอย่างหลวงปู่ละมัยท่านสอน ท่านสอนบอกว่า อยากได้บุญมากๆใช่ไหม ให้ฆ่าเยอะๆ ท่านก็จะพูดให้เราคิดแบบนี้ อยากได้บุญทำไมต้องฆ่า สุดท้ายท่านบอกว่าฆ่าอินทรีย์ ฆ่าอินทรีย์ก็คือสิ่งที่มากระทบทางตาหูจมูกลิ้นกายใจกิเลสทั้งหลาย ฆ่าไปให้หมด ฆ่ามันให้ตายหมด ท่านก็พูดให้เราคิดก่อนแล้วท่านก็มาเฉลยทีหลัง หรืออย่างบางครั้งท่านดุท่านด่า ท่านให้กำลังใจ ท่านบอกว่า ท่านขอโทษแต่อาจจะใช้คำหยาบ บอก “กูสอนกูสอนอยากจะสอนกับพวกโจร กูไม่สอนไอ้พวกเด็กอนุบาล” ทำไมท่านสอนแต่โจร แล้วท่านก็มาเฉลยทีหลัง เฉลยทีหลังก็คือท่านบอกว่าโจรเวลามันจะเอา มันจะต้องเอาให้ได้ อันนี้คือวิสัยของอภิญญา อันนี้คือเคล็ดลับของอภิญญานะ โจรจ้องจะเอาต้องเอาให้ได้ จะเอาฌาน 4 ก็ต้องเอาให้ได้ จะเอาอภิญญาก็ต้องเอาให้ได้ หัวเด็ดตีนขาดเป็นตายอย่างไรก็ต้องเอาให้ได้ อันนี้เป็นอารมณ์ความเข้มข้นดังนั้นเราจะเห็นว่ามีหลายท่าน มีครูบาอาจารย์จริงๆมีครูบาอาจารย์หลายท่าน แต่เดิมท่านเคยเป็นโจรมาแล้วท่านกลับใจมาปฏิบัติแล้วกลายเป็นว่าได้อภิญญาสมาบัติ ที่ชัดเจนและประกาศแล้วก็ผู้คนรู้ก็คืออย่างเช่น หลวงพ่อเสือดำ อันนี้เมื่อก่อนท่านก็เคยเป็นโจร ท่านมีคาถาอาคม พอท่านมาบวช คราวนี้ท่านก็เป็นพระอภิญญาเต็มตัว ท่านบอกว่าไม่เอาเด็กอนุบาลเพราะอะไร เด็กอนุบาลย่อท้อป้อแป้ออดอ้อนงอแงง้องแง้ง 

ดังนั้นอันที่จริงเวลาจะปฏิบัติเพื่อให้ได้อภิญญา ตั้งจิต จะเอาต้องเอาให้ได้ ปฏิบัติต้องปฏิบัติให้ได้ ฌาน 4 เอาได้ไหม กสิณเอาได้ไหม แล้วจริงๆต้องปฏิบัติแบบโลภๆ ปฏิบัติแบบโลภๆต้องปฏิบัติอย่างไร กสิณกองเดียว ถือว่าแย่ใช้ไม่ได้ต้องโลภ เอาทีเอากี่กอง เอาทั้ง10 กอง  10 กองกินหมดไหมคือคล่องตัวทั้งหมดไหม ต้องเอาให้หมด ต้องปฏิบัติแบบโจร ไม่ใช่ได้แค่กองใดกองหนึ่ง ได้แค่กองใดกองหนึ่ง กำลังใจเท่านี้ได้แค่วิชชา 3  ทัศนวิสัยอภิญญานี้ต้องเอาให้หมด เล่นให้หมดทำให้ครบ คราวนี้ต่อมาบางสิ่งบางอย่างที่ท่านสอนเวลาที่ไปเจอ พอไปพักปฏิบัติไปนอนที่สวนสมุนไพรที่ท่านจำวัดอยู่ ไปนอนท่านก็ขู่ ระวังหมาข้างในมันดุมากนะเป็นโดเบอร์แมน สูงเท่าเอว ระวังมันจะกระโดดกัดงับคอหอยตายหมด ท่านก็ดูว่าเรามีความหวาดกลัวไหม พอไปถึงก็ไม่มีอะไร แผ่เมตตานำ เมตตาถูกใช้จนกระทั่งใช้การได้ทั้งหมด พอไปถึงโดเบอร์แมนที่ว่าดุนักดุหนาที่ท่านขู่ ถึงเวลาก็มาหมอบมาเล่นให้ลูบหัวลูบคางหงายท้องให้ลูบพุง ก็เอาเป็นว่าอันที่จริง อารมณ์จิตของเรามันมีความเสถียรไหม มีความหวั่นไหวมีความสะดุ้งไหม อารมณ์อภิญญาต้องไม่มีเลย ตรงนี้พอเข้าใจไหม นี่คือสิ่งที่ครูบาอาจารย์ที่ท่านสอน และเรื่องราวของพระอภิญญาโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลูกศิษย์สายนอกดงกับในดง ลูกศิษย์สายนอกดงนั้นก็คืออย่างเช่นอาจารย์นี้ถือว่าเป็นลูกศิษย์สายนอกดง สายนอกดงคือท่านไม่ได้พาไปเรียนวิชาในป่า พาไปเรียนวิชาในเมืองบังบดชนิดที่เรียกว่าท่านมารับด้วยกายเนื้อ   ถ้าท่านมารับด้วยกายเนื้อนี่ถือว่าเป็นลูกศิษย์สายในดง ถ้าเป็นนอกดงนี้ก็คือเป็นลูกศิษย์ของลูกศิษย์หรือท่านมาสอนในสมาธินี่ยังถือว่านอกดง และเรื่องราวเนี่ยจริงๆไม่ใช่เฉพาะคนไทยไม่เฉพาะพระไม่เฉพาะฆราวาสที่เป็นคนไทย ชาวต่างประเทศถ้าอยู่ในวิสัย อยู่ที่ต่างประเทศท่านยังมารับไปเรียนในดง อันนี้เรื่องราวมันวนไปวนมาโยงจนกระทั่ง อาจารย์มาพบในหลายกรณี คราวนี้มาคุยกันต่อในเรื่องการสอน เวลาท่านรับไปเรียนในดง ถึงเวลา บางทีการสอนท่านก็จะมีความโหดหรือว่าความโลดโผนสูงกว่าปกติ ยังเรื่องเล่าที่ครูบาอาจารย์สายในดงท่านเล่าให้ฟังก็คือ บางครั้งท่านพาเข้าไป อย่างหลวงปู่เทพโลกอุดรหรือว่าท่านอื่นที่เป็นพระอภิญญาเวลามารับ ท่านมารับไปพาไปฝึก ยืนอยู่บนปากเหว พอยืนอยู่บนปากเหวปุ๊บให้เข้าฌาน แล้วท่านถีบไม่ใช่ผลักนะท่านถีบให้ตกเขา โดยที่ลูกศิษย์ต้องรีบเข้าฌานให้ได้ก่อน ถ้าเข้าฌานไม่ทันแค่ลัดนิ้วมือเดียว ตกไปตาย แต่ด้วยความที่ท่านกำกับอยู่ในเมืองบังบดอยู่ในมิติที่ทับซ้อนมีสภาวะความเป็นทิพย์พิเศษ ตกไปตายท่านก็ชุบชีวิตคืนชีพกลับมาฝึกใหม่ ฟังแล้วก็อย่าไปฝึกเองอย่าไปกระโดดจากตึก อย่าไปกระโดดจากเหว เข้าฌานคิดว่าจะได้เหาะได้ ตัดเป็นตัดตายไม่ต้องไปฝึก ถ้าอยากเหาะได้เอาแค่ลอยอยู่บนอากาศสูงแค่ฟุตเดียวก็ทำให้ได้ซะก่อน ยังไม่ต้องไปทำอะไรยากเกินไป หรือเหยียบน้ำให้สามารถที่จะยืนอยู่บนน้ำเดินอยู่บนน้ำได้สักก้าวให้ได้ก่อน ค่อยๆทำจากน้อยไปมากแต่สิ่งที่เล่าให้ฟังนี่ก็คือเพื่อที่จะมีความเข้าใจว่าทำไมเราถึงต้องฝึกเข้าฌานแค่ลัดนิ้วมือเดียว อารมณ์จิตทำไมต้องทรงตัวทำไมต้องเสถียร หากจะฝึกอภิญญาใหญ่หรือใช้อภิญญาใหญ่จริง ลองคิดเอาง่ายๆว่า ถ้าอารมณ์เราทรงตัวไม่ได้สมมุติว่าเกิดเหาะได้ขึ้นมา พอขึ้นไปสูงตึกสัก 10 ชั้น แต่เราทรงสมาธิไม่เสถียร อารมณ์ของสมาธิขึ้นขึ้นลงลง เวลาเหาะไปแทนที่จะเหาะไปตรงๆมันก็เหาะขึ้นๆลงๆ ขึ้นๆลงๆหรือหลุดจากฌานร่วงตกลงมา 

ดังนั้นความเป็นจริงแล้วก็ 1 วสีถ้าเกิดจะฝึกอภิญญาใหญ่จริง วสีความเร็ว เข้าฌานลัดนิ้วมือเดียวได้ไหม เข้าลัดนิ้วมือเดียวได้ คราวนี้ทรงอารมณ์ให้ตั้งมั่นนิ่งเสถียรอยู่ได้ไหม อันนี้คือเหตุผลว่าทำไมต้องฝึกแบบนี้ ทำไมต้องสอนแบบนี้ทำไมต้องฝึกแบบนี้ บังเอิญเวลาที่อาจารย์สอน อาจารย์เอามาตรฐานของอภิญญาใหญ่มาสอน ปูพื้นตั้งแต่ต้น อานาปานสติให้ฝึกก็ฝึกให้เป็นปราณ ฝึกให้เป็นกสิณลมตั้งแต่ต้น ดังนั้นเรื่องพวกนี้จึงถือว่าใครที่ได้มาเรียนมาฝึก ก็ได้เปรียบได้ประโยชน์มากกว่าในหลายๆที่หลายๆแห่ง ก็ถือว่ามีวาสนาผูกพันกัน 

คราวนี้เล่าต่อในเรื่องของอภิญญาใหญ่เวลาที่เขาฝึก ที่จริงเวลาที่ท่านสอนท่านสอนตั้งแต่ง่ายไปยาก เอาง่ายๆว่า แค่อยู่ยงคงกระพันจริงๆใช้แค่อุปจารสมาธิยังไม่ถึงฌานด้วยซ้ำ หรือเวลาที่อธิษฐานจิตดับพิษไฟ เอามือรูดโซ่ร้อนที่เผาไฟแดงเอามือลูบเอามือกอบโซ่ที่เผาไฟแดงขึ้น อันนี้แค่อุปจารสมาธิยังไม่ได้เป็นฌานอะไรแต่มีกำลังของคาถากำกับ สมาธิขั้นสูงขึ้นมาอีกท่านเรียกว่าขั้นกลาง ก็คือเสกใบไม้ให้เป็นตัวต่อตัวแตน เสกข้าวสารให้เป็นกุ้ง ท่านก็เล่าให้ฟัง ว่าเวลาที่สอน ท่านก็บอกเอาข้าวสารมา แล้วก็กำหนดจิตใช้ฝาบาตรครอบ ถึงเวลาอธิษฐานจิตต้องอยู่ในที่มืด อธิษฐานให้ดวงจิตของเทวดาแถวนั้นเขามาอยู่ในรูปที่เป็นธาตุและอธิฐานให้เกิดรูป นั่นก็คือ เป็นการจำลองการจุติความมืดคืออวิชชา อวิชชาก่อให้เกิดการเกิด จำไว้ว่าการเกิดเกิดจากอวิชชา ความไม่รู้ความหลงความติดในภพทำให้เกิด ความมืดก็คืออวิชชา พออยู่ในบาตรในที่มืดอธิษฐานเอาจิตเข้ามาจุติ ว่าคาถากำกับทรงสมาธิ ถึงเวลาเปิดบาตรออกมา สิ่งที่อธิษฐานก็เป็นตัวต่อตัวแตน จากใบไม้ก็กลายเป็นตัวต่อตัวแตน จากข้าวสารก็กลายเป็นกุ้ง จากใบไม้ก็กลายเป็นปลา 

อันนี้ท่านก็สอนธรรมะไปพร้อมๆกัน ลีลาของพระอภิญญา ถึงเวลา การทำสมาธิเฉยๆมันไม่สนุกมันน่าเบื่อ ท่านก็คิดให้เป็นการเล่น การเล่นการฝึกการปฏิบัติจะเป็นสิ่งที่เรียกว่า “กีฬาสมาบัติ” กีฬาสมาบัติที่ฝึกตัวแรกเลยก็คือการไล่ฌาน การไล่ฌานอันนี้เป็นการฝึกการเล่นเพื่อให้เกิดความคล่องตัวเช่น ไล่ฌาน1 ฌาน2 ฌาน3 ฌาน4 อันนี้เรียกว่าอนุโลมคือตามลำดับ ปฏิโลมก็คือไล่ฌาน4 ฌาน3 ฌาน2 ฌาน1  ไล่ตั้งแต่จะเป็นการไล่ในอานาปานสติคือฌานในอานาปานสติ หรือการไล่ในกสิณสลับกองกสิณ เคลื่อนย้ายกองกสิณ เลื่อนตำแหน่งของกสิณไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย หรือส่วนต่างๆที่อยู่ภายนอกร่างกาย ไม่ได้เรียง ดิน น้ำ ลม ไฟ อาจจะ น้ำ ลม ไฟ ดิน สลับไปสลับมาได้ดั่งใจนึก อันนี้คือ วสีความคล่องตัว 

คราวนี้จริตวิสัยของผู้ที่ได้ ผู้ที่ได้เนี่ยจะมีคนอยู่สองสามประเภท เอาประเภทที่ไม่ได้ก็คือฟังเรื่องเล่าแล้วก็อู้หูอ่าหา มีความสนุกเพลิดเพลินเหมือนฟังนิทาน แต่ในใจก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องสนุกน่าตื่นเต้นถึงเวลาจบข่าว 

ประเภทที่สอง ฟังเรื่องราวต่างๆที่เล่ามาทั้งหมด ก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องโกหกพกลมเป็นไปไม่ได้ เพราะใจคิดว่าตัวเราเองไม่น่าจะทำได้คนอื่นก็จะทำได้ไงเป็นไปไม่ได้ เอากำลังใจตัวเองมาเป็นที่ตั้ง อันนี้ก็ไม่ต้องพูดถึง ยังไงก็ไม่ได้ 

ส่วนพวกที่ได้ก็คือเป็นพวกโจร ฟังแล้ว อาจารย์สอนแบบนี้ต้องแอบไปฝึกให้ได้ ไม่ต้องอะไร เอาแค่เรื่องที่สมัยอาจารย์ชม สุคันธรัตสอนอาจารย์ อยากได้ฌาน 4 จริงๆวิธีฝึกไปฝึกมา มนุษย์ทั่วไปลมหายใจปกติ 30 20 30 ครั้งต่อนาที คนที่จิตเริ่มสงบ ลมหายใจเริ่มเบาลง ต่ำกว่า 20 ครั้งต่อนาที เข้าถึงฌาน 1 ลมหายใจเบาลงละเอียดลง 10 ครั้งต่อนาที พอเข้าถึงฌาน 2 ลมหายใจละเอียดเบาลงต่ำกว่า 10 ครั้งต่อนาทีมากๆเหลือ 3-4 ครั้งต่อนาที 6 ครั้งต่อนาที พอถึงฌานที่ 3 ปุ๊บลมหายใจเหลือเป็นแค่นิดเดียว นานๆหายใจทีบางทีหายใจนาทีละ 1 ครั้ง 2 ครั้งเต็มที่ แล้วหายใจเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้นไม่ได้หายใจยาว พอถึงฌาน 4 ลมหายใจหยุดดับ คนทั่วไปเค้าฟังรับรู้รับทราบ ของอาจารย์กลับไปฝึก ดูนาฬิกา เข็มนาทีเข็มวินาทีเดิน เรานับลมหายใจ ทรงอารมณ์สมาธินับลมหายใจตาม ฝึกใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 2 สัปดาห์จนกระทั่งได้ฌาน 4  จริงๆไม่ใช่ง่าย พอได้แล้วจำอารมณ์ให้ได้ จำอารมณ์จิตได้ ฝึกจนกระทั่ง ทำทุกครั้งได้ทุกครั้ง กำหนดทุกครั้งได้ทุกครั้ง อันนี้ก็คือลีลาวิสัยของผู้ที่จะได้อภิญญา พอได้ฌานแล้วก็ค่อยๆก้าวไปในระดับต่อๆไป กสิณคล่องตัวไหม ทำได้ครบทุกกองไหม การฝึกในกรรมฐาน 40 กอง เราคล่องตัวทำได้หมดทุกกองไหม ถ้าเอาจริงเอาจังฝึกเอาจริงเอาจังมันก็ได้หมดทุกกอง  อันที่จริงรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องยาก ความเข้มข้นในกรรมฐาน 40 กอง ฝึกแต่ละครั้งคือจบทุกกองได้ไหม พอจบทุกกองได้ ต่อไปที่ฝึก ฝึกให้จบเข้าถึงฌาน 4 ทุกกองได้ไหม พอฝึกจบได้ถึงฌาน 4 ทุกกอง ก็ฝึกให้เข้าถึงอารมณ์พระนิพพานทั้ง 40 กองได้ไหม พอฝึกจนกรรมฐานทั้ง 40 กองเข้าถึงอารมณ์พระนิพพานได้ครบหมดในอารมณ์พระนิพพาน เราก็เข้าถึงธรรมที่ประจักษ์ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใช้เป็นกรรมฐานได้ทั้งหมด ถ้าอุปมาก็เหมือนตอนที่หมอชีวก อาจารย์หมอชีวกให้หมอชีวก ไปหาว่าพืชชนิดใดไม่สามารถใช้เป็นยาได้ หมอชีวกกลับมาบอกว่า “ไม่มีพืชชนิดใดที่ไม่ใช้เป็นยาได้เลยทุกอย่างใช้เป็นยาได้หมด” อาจารย์ก็ตอบว่าถ้างั้นเธอสำเร็จวิชาแพทย์อย่างสมบูรณ์ยอดเยี่ยมแล้ว อันนี้ก็เช่นกัน หรือหากเป็นวิชาที่เป็นวรยุทธ ทุกสิ่งใช้เป็นอาวุธได้ทั้งหมด ถ้าเราเข้าถึงธรรมอย่างแท้จริง ทุกสรรพสิ่งใช้เป็นเครื่องมือกรรมฐานได้ทั้งหมด ไม่ได้จำกัดขอบเขตอยู่เพียงแต่ว่าต้องเป็นกรรมฐานในหมวดหมู่ทั้ง 40 กองเท่านั้น 

ถ้าศึกษาในพระไตรปิฎกดูให้ดี พระที่ท่านภาวนาว่า “นกกระยางกินปลา” ให้เราไปศึกษาติดตามอ่านดูนะ นั่งพิจารณาอยู่ริมน้ำ เห็นนกกระยางกินปลาก็ภาวนานกกระยางกินปลา ภาวนาไปเรื่อยๆ บรรลุอรหันต์ หรือแม้แต่ลูกชายนายช่างทอง พระพุทธเจ้าท่านให้ดอกกุหลาบที่เป็นทองคำ แล้วก็เปลี่ยนให้เหี่ยวลง แค่ดูดอกกุหลาบดูต้นไม้เหี่ยวเฉาก็บรรลุเป็นอรหันต์ได้ ดังนั้นจริงๆแล้วทุกสิ่งใช้เป็นกรรมฐานใช้เป็นมรรคผลได้ทั้งหมด อันนี้ให้เราพยายามตั้งใจฝึก สุดท้ายอภิญญาใหญ่จะเป็นผู้คัดกรองผู้ที่คู่ควรเอง ใครที่ตั้งใจปฏิบัติเอาจริงเอาจังผู้นั้นก็จะได้ เก็บเล็กผสมน้อยจากสิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านถ่ายทอดท่านสอน แต่ที่จริงอาจารย์ก็ถ่ายทอดอยู่ในสิ่งที่สอน ฝึกให้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าใครมุ่งมั่นเอาจริงเอาจังแค่ไหน ฝึกให้ได้แค่ไหน 

สำหรับตัวอาจารย์เองถามว่าได้อภิญญาใหญ่ไหม ขอตอบเลยว่าที่จริงชอบได้แบบที่ว่าพระท่านคุม  ได้อภิญญาใหญ่แบบที่ตัวเองไม่รู้ตัวว่าใช้อภิญญาอยู่ ปรากฏการณ์สำคัญสำคัญที่เรียกว่าเป็นอภิญญาใหญ่จริงๆ คือช่วงที่ก่อนจะไปถ้ำวัวแดงด้วยซ้ำ ช่วงนั้นเวลากลางคืนที่หน้าโบสถ์ที่หน้าโบสถ์ใหม่ที่วิหาร จะมีวิหารของพระสี่พระองค์อยู่สี่ทิศ วิหารของหลวงปู่ใหญ่ที่อยู่ทางด้านหน้าขวามือของโบสถ์ ถ้าหันตามหน้าโบสถ์อยู่ทางซ้ายมือเวลาเราหันหาโบสถ์ ตรงนั้นสมัยก่อน เวลาประมาณ 20 กว่าปีก่อนนั้น ตอนนั้นช่วงค่ำๆก็มีการจับกลุ่มนั่งคุยกัน ช่วงนั้นก็คุยกันเรื่องภัยพิบัติ พอคุยไปคุยมาก็ปรากฏว่ามีคนมาร่วมฟังด้วยเยอะขึ้น คุยจากเรื่องภัยพิบัติก็กลายเป็นเรื่องของการปฏิบัติ กลายเป็นเรื่องของการแนะนำมโนมยิทธิ สุดท้ายก็เลยจับพลัดจับผลูกลายเป็นว่านั่งสอนมโนแนะนำมโน ตอนแรกคนก็มานั่งกันฟังกันปฏิบัติกันประมาณ  3 คน 4 คน ค่อยๆฟังมาเรื่อยๆเป็น 10 คน จนกระทั่งมีวันหนึ่ง แต่ทุกครั้งที่ฝึกส่วนใหญ่จะเป็นช่วงของวันพระใหญ่ ทุกครั้งที่มีการฝึกคุยกันปฏิบัติธรรมกันไป พอช่วงถึงกลางดึกมากๆจะมีกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ไม่เคยได้กลิ่นมาก่อนโปรยมา เป็นสัญญาณว่ากลับห้องพักได้แล้วดึกเกินไปแล้ว หรือบางครั้งก็เป็นกลิ่นธูปมาให้ปรากฏอยู่ คราวนี้มีช่วงครั้งหนึ่ง มีการคุยการสอนเรื่องอภิญญาใหญ่ ตอนนั้นอาจารย์ก็เล่าไปตามที่ศึกษาตามที่อ่านในหนังสือที่ชื่อว่าทิพยอํานาจที่พระอริยคุณาธาร (เส็ง) ซึ่งเป็นพระในสายของหลวงปู่มั่น แต่ท่านได้เป็นอภิญญา เขียนจากประสบการณ์ท่าน ท่านเล่าว่าอิทธิวิธีสิ่งหนึ่งที่เป็นการแสดงฤทธิ์ก็คือ เมื่อเอื้อมฝ่ามือไปลูบพระจันทร์ แล้วก็สามารถจับและแตะพระจันทร์ได้ พอเล่าไปถึงตรงนี้ อาจารย์ก็ยกมือขึ้นไปที่พระจันทร์ แล้วก็ลูบที่พระจันทร์ ในขณะที่ลูบมือรู้สึกว่าสัมผัสถึงอะไรและมีการขยับแต่จริงๆเอื้อมมือไปในอากาศ ทุกคนก็มองตามมืออาจารย์ แล้วก็ไม่ได้พูดไม่ได้บอกอะไร ก็มองตามไปเฉยๆเพราะอยู่ในสมาธิกัน แต่คราวนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือ พอครั้งต่อไปที่มีการมานั่งเรียนมานั่งฝึกสมาธิกันอีก คราวนี้คนไม่ใช่ 5 คน 10 คน คนมากันประมาณ 30-40 คนเต็มศาลาไปหมด เราก็แปลกใจว่าทำไมคนเขามากันเยอะ ก็สงสัยว่าทำไมมากันเยอะ แต่ก็เออตามนั้นสงสัยพระท่านตาม สงสัยพระคือพระพุทธเจ้าท่านเมตตาตามคนมาให้มาเรียนด้วย ไม่ได้คิดอะไร จนกระทั่งเวลาผ่านไป 10 ปี คนที่อยู่ในวงก็ถึงมาเล่าให้ฟังว่า คุณเล็ก ครั้งนั้นที่คุณเล็กสอนแล้วมีคนที่เขาอีกครั้งมาเยอะ เพราะตอนที่คุณเล็กจับพระจันทร์ พอลูบพระจันทร์และพระจันทร์บนท้องฟ้าเคลื่อนขยับตามมือคุณเล็กจริงๆ คนเขาเห็นกันทั้งหมดทั้งวงเขาก็เลยไปตามเพื่อนบอกต่อกันมา เราก็บอกอ้าวแล้วก็ไม่บอกตั้งแต่ตอนนั้นเพราะไอ้เราก็ไม่รู้ตัวว่าเราลูบพระจันทร์แล้วเกิดอภิญญาเกิดผลเกิดอิทธิวิธีอย่างนั้นจริงๆ ก็กลายเป็นว่าไอ้คนที่ใช้ได้กลับโง่ไม่รู้ตัว เป็นเวลาเป็น 10 ปี กับอีกครั้งหนึ่งที่เป็นอภิญญา คือครั้งก่อนที่จะเดินทางกลับจากเชียงใหม่ พระท่านก็สั่งว่าให้ไปกราบพระธาตุดอยสุเทพ แต่ไปนี่ให้ไปแบบยากหน่อย ไปแบบสมัยโบราณ เดินเข้าทางป่า บริเวณป่าหลัง มช ทะลุเขาขึ้นไป ทะลุผ่านวัดผาลาด ทะลุผ่านเขา แล้วค่อยเดินขึ้นไปถึงพระธาตุดอยสุเทพ เราก็เดินป่าขึ้นไป เหนื่อยแสนเหนื่อย โชคดีคุยกับเทวดา เทวดาท่านก็ดันก้นให้เราเดินให้มันเบา ใช้กสิณลมบ้าง เทวดาท่านช่วยดันหลังเดินขึ้นไปบ้าง ไปจนกระทั่งถึงยอดดอยสุเทพกราบพระธาตุเจ้าดอยสุเทพ พอจะกลับ พอจะกลับท่านสั่งว่าพอแล้วเดี๋ยวร่างกายจะเหนื่อยเกินไป นั่งรถกลับ ไอ้เราก็ดื้อ ดื้อก็คือไม่นั่งรถกลับ ไม่นั่งรถกลับเสร็จเราก็เดินลงดอยเดินลงมาเรื่อยๆ ลงมาถึงประมาณสัก 1 ใน 3 ท่านก็บอกว่าเดี๋ยวจะมีคนมารับ ไอ้เราก็บอกเอ้อ ขอให้มารับ ถ้ารับต้องมาจอดเลย ปรากฏว่าเดินมาอีกเพียงแค่ไม่กี่สิบเมตรปรากฏว่ามีเสียงบีบแตรมาตะโกนโวกเวก อาจารย์ อาจารย์ อาจารย์ทำไมมาอยู่ตรงนี้ ปรากฏว่าเป็นลูกศิษย์ที่เคยฝึกสมาธิอยู่ที่วัดสวนดอกที่วิหารพระเจ้าเก้าตื่อ ก็บังเอิญขับผ่านลงมาจากดอยสุเทพ ตอนไปดอยสุเทพก็ไม่เจอกันแต่เขาขับผ่านมาเหมือนนึกอะไรไม่รู้ถึงมาเที่ยวดอยสุเทพ พอขับผ่านมาเจอก็รับ พอขึ้นรถเสร็จบอกว่า ช่วงที่ขับรถลงมาเป็นทางตรงไม่เห็นใคร อยู่ๆเหมือนเห็นอาจารย์หายตัว อยู่ๆโผล่เห็นตัวอาจารย์โผล่ออกมาจากบนเขา ก็เลยบีบแตรเรียกแล้วก็รับ สุดท้ายก็ไปส่ง สรุปก็หายตัวเดินลงมาจากบนเขา โดยที่ตัวเราก็ไม่รู้ตัวว่าเราหายตัว เราบังบดมา แต่มาปรากฏเวลาที่เทวดาเขาให้ เปิดแล้วก็เห็น 

ดังนั้นเรื่องราวต่างๆหลายๆเรื่องจริงๆมันเป็นเรื่องที่บางทีเราใช้เราก็ไม่รู้ตัวว่าเราใช้อยู่ หรือปรากฏอยู่ หรือบางครั้งกายทิพย์เราไปสอนสมาธิไปเข้าฝันไปสอนสมาธิไปโปรดคนอื่น อันนี้บางทีบางครั้งเราก็ไม่ได้รู้ไม่ได้ตั้งใจ สิ่งที่จะบอกก็คือ ในเรื่องของอภิญญาใหญ่ สุดท้ายถ้าไม่มีคุณธรรมไม่มีเมตตาธรรมไม่มีพระกำกับ อภิญญาใหญ่มันจะกลายเป็นความโกลาหลของโลกกลายเป็นสงครามพลังจิต ใครที่ได้อภิญญาใหญ่มีมานะทิฐิกำเริบก็ใช้อภิญญาใหญ่ในการอวด  ในการโชว์ ในการที่จะแสวงหาลาภยศอำนาจ ลองดูพิจารณาว่าแม้แต่พระเทวทัตได้อภิญญาใหญ่ สุดท้ายก็มีความกำเริบเสิบสานต่อพระพุทธเจ้า กระด้างกระเดื่องต่อพระพุทธองค์ ดังนั้นการได้อภิญญาใหญ่นั้นพระท่านจึงต้องกำกับเต็มที่เต็มกำลัง บุคคลต้องคู่ควร วาระต้องได้ ต้องใช้ในเหตุปัจจัยที่สมควร อภิญญาใหญ่ เมื่อใช้ก็ต้องใช้ในการกำราบมิจฉาทิฐิคือ ใช้ในการทรมานบุคคลที่เขามีความดื้อด้านมีความไม่เชื่อถือศรัทธา เอามาใช้เพื่อประโยชน์ตนไม่ได้ อันนี้คือเหตุหนึ่งที่ว่าอภิญญาใหญ่ยังไม่สามารถปรากฏ สิ่งที่พระท่านบอกมาก็คือ เธอต้องปูพื้นฐานในเรื่องของเมตตาสมาธิจนธรรมชาติของจิตบุคคลที่จะได้อภิญญาใหญ่นั้นมีเมตตาเป็นพื้น มีเมตตาจิตอันไม่มีประมาณ ถึงจะใช้อภิญญาใหญ่ได้โดยไม่เกินโทษ แต่นี้เมตตาอันไม่มีประมาณก็ยังเผยแผ่ออกไปยังกระจายออกไปได้ไม่เต็มที่อย่างที่ควรจะเป็นด้วยซ้ำ ดังนั้นอภิญญาใหญ่ก็น่าจะยังอีกนานพอสมควร คนที่อยากได้ก็พึงจะต้องได้เมตตา ถ้าไม่ได้เมตตา สุดท้ายอภิญญาก็กลายเป็นอาวุธทำร้ายคนอื่นแล้วก็ทำร้ายผู้ที่ทรงอภิญญานั่นเอง อันนี้ก็เล่าให้ฟังถึงเรื่องอภิญญาใหญ่จนเลยเวลามาพอสมควร 

คราวนี้ก็ให้เราน้อมจิตนะ ใครอยู่ในวิสัยที่จะพึ่งได้อภิญญาใหญ่ถึงเวลาก็จะมีความตั้งใจมีความเพียรมีความมุ่งมั่น หัวเด็ดตีนขาดต้องฝึกต้องเอาให้ได้ แนวทางในการสอนการฝึกมีให้อยู่แล้ว แค่เอาให้ได้เอาให้คล่อง คราวนี้เราก็จบในเรื่องอภิญญาใหญ่ ประสบการณ์ในเรื่องอภิญญาใหญ่ที่เล่าให้ฟัง วันหลังก็จะมาเล่าต่อ จริงๆมีเรื่องอีกเยอะหลายสิบหลายร้อยเรื่อง อันนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่ง 

สำหรับวันนี้ก็ให้เราน้อมจิตน้อมกระแสจากพระนิพพาน ลงมายังโลก แผ่เมตตาไปอย่างไม่มีประมาณ น้อมกระแสจากพระนิพพานลงมายังประเทศ ลงมายังดินแดนสุวรรณภูมิ ลงมายังวัดวาอารามสถานปฏิบัติธรรม ขอกระแสธรรมกระแสแห่งพุทธบารมี ธรรมะบารมี สังฆบารมี กระแสแห่งพระโพธิสัตว์น้อมนำคุ้มครองรักษาวัดวาอาราม สถานปฏิบัติธรรม พระธาตุ พระบรมธาตุ พระบรมสารีริกธาตุตลอดจนขอกระแสมรรคผลพระนิพพานจงน้อมรวมลงสู่พุทธบริษัท 4  ขอจงเป็นสัมมาทิฐิ ขอจงปฏิบัติธรรมเพื่อธรรมไม่ใช่ปฏิบัติธรรมเพื่อกิเลส ปฏิบัติธรรมเพื่อมรรคผลพระนิพพาน ปฏิบัติธรรมเพื่อพระนิพพานเป็นที่สุด อภิญญาใหญ่จงเป็นไปเพื่อปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา น้อมจิตน้อมใจลงมากระแสจากพระนิพพานลงมา ฟอกธาตุขันธ์ร่างกาย กายทิพย์เรากลับลงมา ดวงจิตสว่าง ผมขนเล็บฟันหนังเป็นแก้วใส โครงกระดูกหลอดเลือดเส้นเอ็นสว่างเป็นแก้วใส เปิดสายบุญสายทรัพย์สายสมบัติสายบารมี วิชชาเก่าทั้งหลายจงกลับคืนมา อภิญญาทั้งหลายจงกลับมารวมตัวกัน 

จากนั้นน้อมจิตโมทนาสาธุกับเพื่อนที่ปฏิบัติธรรมทุกคน อารมณ์ใจผ่องใส 

สำหรับวันนี้ก็ขอให้เราทุกคนมีความสุขความเจริญในธรรม แล้วก็ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าลืมที่จะเขียนแผ่นทองอธิษฐานพระนิพพานในการหล่อพระ ใครที่เพิ่งทราบก็สามารถติดต่อขอแผ่นทองได้ เวลาเขียนแผ่นทองอธิษฐานพระนิพพานก็ยกจิตขึ้นไปบนพระนิพพาน กายเนื้อเขียนแผ่นทอง จิตอธิษฐานอยู่บนพระนิพพาน แล้วก็เดี๋ยวเดือนหน้าก็จะถวายมหาสังฆทานอีกแล้ว ก็พยายามทำพยายามถวายให้สม่ำเสมอต่อเนื่อง 

สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน ขอให้เรื่องราวที่เล่า ธรรมะที่ปฏิบัติ เป็นกำลังจิตกำลังใจของเราแต่ละคน ให้มีความเข้มแข็งในการปฏิบัติธรรมสืบต่อไปเพื่อพระนิพพาน

สำหรับวันนี้สวัสดี 

ถอดเสียงและเรียบเรียงโดย : คุณ Ladda

You cannot copy content of this page