green and brown plant on water

อรูปฌาน

เวลาอ่าน : 4 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”  

วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม  2565

เรื่อง อรูปฌาน

 โดย อาจารย์ คณานันท์  ทวีโภค

กำหนดความรู้สึกตัวทั่วพร้อม กำหนดรู้ทั่วร่างกายของเรา ทำความรู้สึก จากนั้นค่อยๆผ่อนคลายร่างกาย ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วน ผ่อนคลายพร้อมกับปล่อยวาง ปล่อยวางร่างกายขันธ์ 5 ทั้งหมด พร้อมกับความผ่อนคลาย เมื่อทิ้งกายทิ้งความสนใจในร่างกายแล้ว มากำหนดรู้ในลมหายใจ กำหนดจินตภาพเห็นลมหายใจเป็นเหมือนกับแพรวไหมพริ้วผ่านเข้าออก ลมหายใจสงบ ละเอียดเบาสบาย ระยิบระยับ สติกำหนดติดตามดู ติดตามรู้ในลมหายใจ ความรู้สึกที่ติดตามรู้ในลมหายใจ รู้สึกสัมผัสถึงลมหายใจเป็นประกายแก้ว เป็นประกายพรึก เป็นแพรวไหมพริ้วผ่านเข้าออก สติตัวรู้มากำหนด รู้เข้าใจในความสัมพันธ์ของลมหายใจและสมาธิ ยิ่งลมหายใจละเอียด สมาธิเรายิ่งสงบ สมาธิยิ่งเข้าถึงฌานที่สูงขึ้น เข้าถึงความสงบของจิตที่สูงขึ้นละเอียดขึ้น ลมปราณลมหายใจสัมพันธ์กับจิตใจ สัมพันธ์กับความสงบของจิต กำหนดรู้สึก สติรู้ติดตามลมหายใจ หายใจเป็นละอองละเอียด เป็นปราณ เป็นแพรวไหม เป็นละอองแห่งความเป็นทิพย์ระยิบระยับ จิตจดจ่อกำหนดรู้แต่ลมหายใจ กำหนดรู้แต่ความสงบ ความสบายของอารมณ์ใจ ความสงบ ความสบายของอารมณ์ใจนี้ก็คือ การมีสติรู้ในเวทนา เมื่อจับลมสบาย เราเสวยสุขเวทนา สุขอันเกิดขึ้นจากความสงบ สุขอันเกิดขึ้นจากสมาธิ กำหนดรู้ในลม กำหนดรู้ในความสบาย ในความสุขสงบของจิต จิตที่สงบระงับจากความวุ่นวาย ความกังวล ความฟุ้งซ่าน จิตที่สงบจากกิเลส จากนิวรณ์ 5 ประการ อยู่กับลมหายใจที่ละเอียดเป็นแพรวไหมระยิบระยับ กำหนดรู้จดจ่ออยู่ด้วยสติ กำหนดรู้จดจ่อในความสุขสงบของใจ ให้ใจเราได้พักจากความทุกข์ ความวุ่นวาย อยู่กับความสงบความผ่องใส

หากบางคนในขณะนี้ลมหายใจสงบระงับคือนิ่งหยุดสงบ ก็กำหนดรู้อยู่ และเพื่อไม่ให้จิตมันหลุดไปจากความสงบ ก็ย้ายการกำหนดมากำหนดรู้ในความนิ่งความหยุด เมื่อจิตเห็นลมสงบ เห็นตัวหยุด ตัวหยุดคือเอกัคคตารมณ์ กำหนดในความหยุดความนิ่ง กำหนดนึกจินตภาพ เป็นภาพแก้ว แก้วใส จิตอยู่กับแก้วที่ใส ละเอียด กำหนดสติมากำหนดในภาพนิมิตของดวงแก้วใส นิ่งหยุด แก้วใสละเอียด สว่าง ใสละเอียด ราวกับหยาดน้ำค้างใส กำหนดรู้ ว่าจิตเรากำลังทรงอยู่ในกสิณจิต ในอุคคหนิมิตของกสิณจิต แก้วใสสว่าง ยกกำลังจิตต่อไป

กำหนดน้อมนึกให้ภาพกสิณที่เป็นแก้วใส กลายเป็นเพชรระยิบระยับ เป็นเพชรเม็ดงามที่ถูกเจียระไนละเอียด ระยิบระยับสว่าง มีเส้นมีรัศมีของจิตแผ่ออกมาเป็นเส้นโดยรอบ ประกายการเจียระไนของจิต ระยิบระยับเป็นเพชรแพรวพราว เป็นเพชรน้ำงาม เราเห็นภาพนี้ในจิต เรารู้สึกสัมผัสได้ถึงความสุข ความอิ่มใจ การทรงภาพกสิณจำเป็นที่ต้องทรงอารมณ์ เห็นภาพแต่ใจแห้งๆนิ่งๆไม่เกิดผลเท่า ภาพนิมิตมีแสงสว่างขึ้นเพียงใด มีความระยิบระยับมากเพียงใด ใจเรายิ่งอิ่มใจยิ่งเป็นสุข เหมือนกับเราได้ครอบครองเพชรเม็ดใหญ่เม็ดงามที่มีมูลค่าสูง แต่เพชรเม็ดใหญ่เม็ดงามที่ราคาแพงแสนแพงสักประการใด ก็เป็นวัตถุธาตุ เป็นของหยาบของโลก แต่จิตอันเป็นเพชรประกายพรึกแพรวพราวนั้น อันที่จริงมีมูลค่ามหาศาลเป็นแก้วสารพัดนึก เป็นแก้วเป็นเพชรที่เงินทองจะร้อยล้านพันล้านก็ไม่อาจสามารถซื้อจิตที่เป็นเพชรเม็ดงามนี้ได้ จะเป็นเจ้าของครอบ ครอง แก้วประกายพรึก แก้วสารพัดนึก จิตอันประภัสสรนี้ได้ ก็จากการปฏิบัติธรรมเท่านั้น เมื่อเรารู้คุณค่าจิตอันผ่องใสเป็นประภัสสร มีความละเอียด มีความแพรวพราว เราก็ทรงอารมณ์จิตให้สว่างเป็นเพชรระยิบระยับ สว่างขึ้นรุ่งโรจน์ มีรัศมีแผ่สว่างขึ้นเต็มกำลัง จิตเราเอิบอิ่ม จิตเราผ่องใสเต็มกำลัง ทรงอารมณ์ ทรงภาพนิมิตดวงจิตที่เป็นประภัสสรนี้ ใจยิ้มเอิบอิ่มผ่องใสเบาสว่าง ละเอียดระยิบระยับชัดเจน

เมื่อทรงจนกระทั่งจิตมีกำลังสะสมเพาะบ่มจิตตานุภาพ ก็ให้เราพิจารณาต่อไป ฐานที่เรายกจิตขึ้นมาด้วยกำลังของฌานสมาบัติคือกสิณ จิตเป็นปะภัสสร จิตเข้าถึงปฏิภาคนิมิตของกสิณจิต แต่กสิณจิตนั้นยังเป็นกำลังของเรา ยังมีกำลังที่สูงที่ละเอียดปราณีตขึ้นไปอีก นั่นก็คือกำลังแห่งพุทธานุภาพ กำลังคุณของพระรัตนตรัย กำลังคุณของครูบาอาจารย์ ผู้เป็นพระอริยเจ้า ผู้เป็นพระอริยสงฆ์ เรากำหนดจิต ให้จิตที่เป็นประกายพรึกสว่างเป็นเพชร ปรากฏองค์พระอยู่ภายในดวงแก้วที่เป็นเพชรระยิบระยับนั้น ปรากฏภาพสมเด็จองค์ปฐม สว่างระยิบระยับอยู่ภายในจิต กำหนดทรงอารมณ์อยู่กับภาพสมเด็จองค์ปฐม พร้อมกับกำหนดพิจารณาถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า จิตเข้าถึงความนอบน้อม เข้าถึงความเคารพ เข้าถึงความกตัญญูรู้คุณ เข้าถึงความเคารพพระในพระพุทธองค์ ใจยิ่งเอิบอิ่ม พิจารณาว่า ในขณะที่เราทรงอารมณ์ ทรงภาพพระในจิต เราเข้าถึงพระภายใน องค์พระอยู่เป็นสรณะที่พึ่งที่อาศัยของเรา คุณความดีของพระพุทธเจ้ามี ไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ

กำหนดพิจารณาทรงอารมณ์จนกำลังแห่งพุทธานุภาพ ฉัพพรรณรังสีของพระพุทธองค์แผ่สว่างคลุมจิตคลุมกายเนื้อของเราทั้งหมด สว่างทั่วอาณาบริเวณที่เราเจริญพระกรรมฐาน สว่างผ่องใสอยู่ที่บ้านเรือน ก็เกิดรัศมีสว่าง กำหนดน้อมว่ารัศมีแห่งกำลังพุทธานุภาพ ขอจงสว่างไสว ครอบคลุมคุ้มครองกายเนื้อคุ้มครองบ้านเรือนเคหะสถาน สถานที่ปฏิบัติธรรมของเรา กำลังแห่งพุทธานุภาพไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ แสงสว่างที่แผ่สว่างเจิดจ้า จนทุกสิ่งที่อยู่รายรอบห้อมล้อมรอบตัวของเรา หรือแม้แต่กายเนื้อของเรา สลายด้วยความสว่างแห่งกำลังพุทธานุภาพ ขาวโล่งว่างสว่าง จนไม่มีขอบเขต ไม่มีผนัง ไม่มีพื้น ไม่มีเพดาน มีแต่ดวงจิตที่เป็นประกายพรึกและองค์พระที่สว่าง นอกเหนือจากนั้นกลายเป็นความว่างเวิ้งว้างว่างเปล่า ไม่มีขอบเขตไม่มีประมาณ

กำหนดน้อมพิจารณาว่า รายรอบของเราปรากฏสภาวะแห่งอรูปฌานเกิดขึ้น แต่จิตเรายังดำรงมั่นคงอยู่กับคุณของพระรัตนตรัย อยู่กับพระพุทธเจ้า ทรงอารมณ์นี้ไว้ ให้กำลังแห่งอรูปฌาน กำลังแห่งอรูปสมาบัติ เพาะบ่มสะสมอยู่ในจิตของเราเต็มกำลัง สว่างโล่งว่าง ขาวว่างโล่ง ภาพองค์พระปรากฏชัดเจน รู้สึกสัมผัสได้เป็น 3 มิติ สัมผัสได้ถึงฉัพพรรณรังสี สัมผัสได้ถึงความเป็นประกายระยิบระยับ สัมผัสได้ถึงกระแสแห่งพุทธานุภาพ กระแสพลังงาน กระแสแห่งความบริสุทธิ์วิมุตหมดจดแห่งพระพุทธองค์ กำหนดทรงอารมณ์ ทรงภาพนิมิตไว้ วัตถุธาตุทั้งหลายสลายหายไปจนหมด กายเนื้อกายหยาบขันธ์ 5 สลายหายไปจนหมด วัตถุธาตุ บ้านเรือน ตึก ภูเขา โลก จักรวาลสลายหายไปจนหมด เหลือแต่เพียงดวงจิตที่เป็นประภัสสร มีองค์พระสมเด็จองค์ปฐมอยู่ภายในสว่างเป็นเพชรระยิบระยับอยู่ ทรงอารมณ์ไว้ให้สว่างโล่ง สลายล้างอวิชชา สลายล้างมลทิน สลายล้างสิ่งที่เป็นเครื่องเศร้าหมอง อกุศลวิบากทั้งปวง จงสลายสิ้นไปด้วยกำลังแห่งพุทธบารมี พุทธานุภาพ อุปสรรคข้อขัดข้องทั้งหลายจงสลายหมดสิ้นไป เสนียดจัญไรทั้งหลายจงสลายไปดับล้างไปด้วยกำลังแห่งพุทธานุภาพ กำลังแห่งอรูปสมาบัติ จิตสว่างขึ้นใสขึ้น รัศมีแสงสว่างแห่งจิต รัศมีแห่งพุทธานุภาพยิ่งสว่างขึ้น ชัดเจนขึ้น ระยิบระยับเจิดจ้าเจิดจรัสมากขึ้น ทรงอารมณ์ในอารมณ์ที่เต็มกำลัง ในความสว่าง ในความชัดเจน ในความแพรวพราวระยิบระยับนี้ ทรงอารมณ์รักษาอารมณ์ รักษาสภาวะธรรม สว่างจากกิเลส ดับล้างอวิชชาทั้งปวง ใจเอิบอิ่มผ่องใส จิตเปี่ยมพลัง กระแสแห่งวิมุต กระแสพระพุทธเจ้า กระแสแห่งพระธรรม กระแสแห่งครูบาอาจารย์ พระอริยเจ้า พระอริยสงฆ์ พ่อแม่ครูบาอาจารย์เต็มกำลัง  

ในความสว่างที่ปรากฏขึ้น ภาพองค์พระ ภาพพระพุทธองค์ชัดเจนในจิต กำหนดน้อมตั้งจิตอธิษฐาน นิ่งหยุดอยู่กับองค์พระ อธิษฐานขอบารมีพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมเด็จองค์ปฐม ขอน้อมกระแสจากพระนิพพานลงมาเป็นลำแสงสว่างสีขาว คลุมจิตทั้งหมดของข้าพเจ้า คลุมอาณาบริเวณที่ฝึกสมาธิ เป็นลำแสงสว่าง มีความพรั่งพรายระยิบระยับ กระแสจากพระนิพพานที่ส่องตรงลงมาเป็นลำ ลำแสงสว่างนั้นเชื่อมตรงจากพระนิพพาน ให้น้อมจิตพิจารณาว่าการเชื่อมต่อ ลำแสงที่ส่งตรงมา กระแสแห่งพระนิพพานที่เชื่อมตรงลงมานั้น เป็นเส้นทางที่นำจิตเราเชื่อมต่อโดยตรงกับพระนิพพาน กำหนดน้อมให้กระแสแห่งพระนิพพาน ยังส่งกระแสแห่งวิมุต กระแสแห่งพลังงาน ความสว่างแห่งบุญกุศล หล่อเลี้ยงลงมายังจิตของเรา ณ ขณะนี้เพิ่มพูนขึ้น กระแสบุญจากพระนิพพานคือบุญกุศลทั้งหลาย บารมีทั้งหลายของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ บนพระนิพพานซึ่งท่านสิ้นแล้วซึ่งสรรพกิเลสทั้งปวง จิตเข้าถึงความวิมุตหมดจด บุญกุศลสั่งสมจนเต็มกำลัง จนเป็นเหตุให้ทุกดวงจิต ทุกท่านล้วนเข้าสู่ปรินิพพาน กระแสบุญที่สะสม เราน้อมอาราธนาลงมาเป็นลำแสง เป็นกระแสแห่งพระนิพพาน กำหนดน้อมจิตพิจารณาทำความเข้าใจให้ตรงกัน เมื่อไหร่น้อมจิตคิดถึงกระแสจากพระนิพพาน เรานึกถึงบุญกุศลทั้งปวง บารมีทั้งปวง ที่ท่านทั้งหลายบนพระนิพพานเข้าถึงแล้ว สำเร็จแล้ว บารมีเต็มแล้ว กำหนดจดจ่ออยู่กับลำแสงกระแสแห่งพระนิพพานนั้น การเชื่อมต่อจิตเรากับพระนิพพานเชื่อมต่อแนบแน่นเต็มกำลังโดยตรง

จากนั้นกำหนดจิต พุ่งอาทิสมานกายขึ้นไปตามท่อลำแสง ที่เชื่อมต่อกับพระนิพพานนั้น พุ่งจิตขึ้นไปเต็มกำลัง อาทิสมานกายของเราพุ่งขึ้นไปปรากฏอยู่เบื้องหน้าสมเด็จองค์ปฐม พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ เป็นมหาสมาคมบนพระนิพพาน มีสมเด็จองค์ปฐมทรงเป็นประธาน พุ่งจิตขึ้นไปปรากฏในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ ทิ้งความสนใจในร่างกายหรือสภาวะจิตที่อยู่บนโลกมนุษย์ทั้งหมด กำหนดในความรู้สึกว่ากายพระวิสุทธิเทพคืออาทิสมานกายของเรา อยู่เบื้องหน้าพระพุทธองค์บนพระนิพพาน เมื่อกำหนดว่าเราอยู่บนพระนิพพาน เรากำหนดพิจารณาสำรวจตรวจสอบกายทิพย์ ความเป็นกายทิพย์ของเรา กำหนดทำความรู้สึกถึงเครื่องทรงต่างๆที่เราสวมใส่ ความใสของกายทิพย์ อาทิสมานกาย รัศมีกายที่สว่าง ตลอดจนถึงอารมณ์พระกรรมฐาน อารมณ์พระนิพพาน อารมณ์จิตที่เราพิจารณาทบทวน ว่าเรายกจิตขึ้นมาบนพระนิพพานทำไม ใจของเราเมื่อขึ้นมาบนพระนิพพานแล้ว ใจเรายังพึงพอใจอยู่กับโลกมนุษย์ พึ่งพอใจอยู่กับความเป็นเทวดาบนสวรรค์ พึ่งพอใจกับความเป็นพรหมที่พรหมโลก หรือยังพึงพอใจกับความเป็นอรูปพรหม จิตที่พึงพอใจในการเวียนว่ายตายเกิด มีความเพลิดเพลินในการท่องเที่ยวไปในภพภูมิต่างๆ ยังมีในจิตของเราอีกหรือไม่ กำหนดจิตทบทวนดูอารมณ์ใจของเรา ว่าจิตเราพึงพอใจกับพระนิพพานมากเพียงใด กำหนดน้อม กำหนดรู้ในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพให้ชัดเจนสว่างผ่องใสที่สุด

อธิษฐานขอให้วิมานของข้าพเจ้า พระแท่นที่ประทับของข้าพเจ้า จงปรากฏอยู่กึ่งกลางท่ามกลางพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ในขณะนี้ด้วยเทอญ กำหนดรู้สึกว่าเรานั่งอยู่บนแท่นในวิมานของเราบนพระนิพพาน วิมานบนพระนิพพานปรากฏขึ้นแล้ว กำหนดพิจารณาให้เห็นรายละเอียดความสว่างความผ่องใสทั้งหมดของวิมานของเราบนพระนิพพาน ความสว่างความชัดเจนของกาย กำหนดรู้ กำหนดกลั่นกายทิพย์ให้ใสขึ้นสว่างขึ้น ใจยิ่งเป็นสุขขึ้น กำหนดพิจารณาตัดสังโยชน์ทั้ง 10 ประการ ใจของเรามีความมั่นคงในพระรัตนตรัย เราไม่มีความลังเลสงสัยว่าชาตินี้ เราจะมาพระนิพพานในชาตินี้ได้หรือไม่ ยังไงเราก็ตายไปเมื่อไหร่ เรามาพระนิพพานแน่นอน พิจารณาว่าในขณะที่เราปฏิบัติทรงอารมณ์อยู่บนพระนิพพานนี้ ศีล 5 ของเราบริสุทธิ์ กุศลกรรมบถ 10 ของเราบริสุทธิ์

พิจารณาต่อไป ความรู้สึกห่วงใยในร่างกาย ความหลงว่าเราจะไม่ตายไม่มีในจิต เรากำหนดรู้ชัดเจนว่าเราคือดวงจิตอาทิสมานกาย เราไม่ใช่ขันธ์ 5 เราไม่ใช่กายเนื้อ พิจารณาต่อไปว่าความสุขในเบญจกามคุณ 5 หรือกามฉันทะ ความพึงพอใจในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ความสุข ความรัก ความหลงในระหว่างเพศตรงข้าม ไม่มีในจิตของเรา ณ ขณะนี้ ของหยาบ วัตถุทั้งหลาย ไม่มีผลที่จะดึงดูดความสนใจให้เรากลับไปเกิด ไปมีกายหยาบกายเนื้ออีก หรือแม้แต่กามฉันทะในความเป็นทิพย์ ในความเป็นเทวดา ก็ไม่อาจดึงดูดใจของเราได้อีก พิจารณาตัดความอาฆาตพยาบาทจองเวร ความทุกข์ ความเร่าร้อนจากการอาฆาตพยาบาทจองเวร ไม่มีในจิตของเราขณะนี้ จะให้เราไปเกิด ติดตามจองล้างจองผลาญใครให้เสียเวลา ให้ทุกข์ให้เป็นวิบากอีก เราไม่สนใจใยดี เขาจะทำอะไรเรามา ทำมามากเท่าไหร่ ก่อเวรผูกกรรมกันมามากเท่าไหร่ เราละ เราให้อภัยทานเป็นอโหสิกรรมให้จนหมดสิ้น อภัยทานเป็นทานสูงสุด อภัยทานอันละเอียดเป็นคุณธรรมของพระอนาคามี กำหนดจิตสลายล้างวิบาก ความพยาบาท การจองเวรทั้งหลาย ให้อภัยทานกับทุกรูป ทุกนาม ทุกบุคคล ทุกเหตุการณ์ ทุกวาระ ทุกชาติภพ เวรกรรมที่ผูกพยาบาทต่อกัน จะผ่านพ้นไปมากมาย ผูกปมเพิ่มสร้างวิบากเพิ่มมาเท่าไหร่ เราตัดสังโยชน์ ตัดพยาบาททั้งปวง ตัดวิบากทั้งปวง ตัดอกุศลทั้งปวง ขอให้อภัยทานต่อทุกรูปทุกนาม และขอขมากรรมต่อทุกท่าน ที่เป็นเจ้ากรรมนายเวร ที่มาผูกพยาบาทต่อข้าพเจ้า ขอจงอโหสิกรรม ขอจงเป็นโมฆะกรรม ขอจงสลายวิบากความพยาบาท การจองเวรจองกรรมซึ่งกันและกัน วิบากทั้งหลาย มลทินทั้งหลาย ข้อขัดข้องทั้งหลาย จงสลายหมดสิ้นไปด้วยอำนาจแห่งอโหสิกรรม อภัยทานและโมฆะกรรม

กำหนดจิตในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ สว่างผ่องใส พิจารณาตัดสังโยชน์ ในรูปราคะ คือความพึงพอใจในความเป็นพรหม ใจของเราไม่หลงใหลในความเป็นพรหม เพราะพรหมก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดหมดบุญ ตัดความพึงพอใจสังโยชน์ในอรูปราคะ ความพึงพอใจในความเป็นอรูปพรหม หรือความหลงว่าอรูปความว่างทั้งหลายคือพระนิพพาน จิตของเราในขณะนี้ยกขึ้นมาบนพระนิพพานแล้ว จิตรู้จิตเข้าใจแล้วว่าความว่างไม่ใช่พระนิพพาน พระนิพพานคือความว่างจากกิเลสอย่างยิ่ง ว่างจากทุกข์อย่างยิ่ง เมื่อเข้าใจแล้ว จิตเราจะไม่หลงไปจุติยังอรูปพรหมได้อย่างเด็ดขาด เพราะจิตเราตั้ง จิตเราอธิษฐาน จิตเรามั่นคงอยู่กับพระนิพพานเป็นที่สุด พิจารณาตัดสังโยชน์ต่อไป ตัดความฟุ้งซ่านความกังวลทั้งปวง ความห่วงทั้งปวง ห่วงในบุคคล ห่วงในวัตถุ ความคิดปรุงแต่งไปในสิ่งต่างๆ บุคคลต่างๆ เหตุการณ์ต่างๆ ภาระหน้าที่ที่เคยผูกพันต่างๆ สลายล้างตัดสังโยชน์ไปทั้งหมด

พิจารณาต่อไปตัดสังโยชน์ในข้อของมานะ อารมณ์จิตที่เราถือว่าเราดีกว่าคนอื่น อารมณ์จิตที่เราถือว่าเราด้อยกว่าคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อารมณ์จิตที่คิดว่าเราน้อยใจ เราไม่มีบุญ เราไม่มีวาสนา เราไปพระนิพพานไม่ได้ ไม่มีในจิตของเรา ตัดมานะ ตัดความน้อยใจ กำหนดจิตคิดเสมอว่า เรามีกำลังใจในการปฏิบัติธรรม เรามีความเพียรในการปฏิบัติธรรม เรามีจิตที่มั่นคงอยู่กับพระนิพพาน บุญเราสร้างทั้งทาน รักษาทั้งศีล ปฏิบัติทั้งเนกขัมมะ และปฏิบัติเจริญพระกรรมฐาน ทั้งสมถะอย่างเต็มกำลัง ฌาน 4 จากอานาปานสติกรรมฐาน เราเข้าถึงเอกัคคตารมณ์ เข้าถึงอุเบกขารมณ์ ฌาน 4 จากกสิณ เราทรงอารมณ์จิตจนเข้าถึงปฏิภาคนิมิต กสิณเราทรงอารมณ์ในพุทธานุสติ อรูปฌานเราทรงอารมณ์ในอรูปฌาน สลายล้างเข้าถึงความว่าง ขึ้นชื่อว่ากำลังของสมถะ เราที่เข้ามาฝึกในเมตตาสมาธิ เราฝึกจนเต็มกำลังสุดทางของสมถะทั้งหมด คือจบจนถึงอรูปฌาน เมื่อพิจารณาแล้ว สมถะเราทำครบถ้วนสมบูรณ์พร้อมเต็มแล้ว เราพิจารณาในวิปัสสนาญาณ วิปัสสนาญาณเราฝึกพิจารณาตัดกาย ตัดขันธ์ 5 อสุภสัญญา อาการ 32 ความเป็นธาตุ 4 ปฏิกูลสัญญา กรรมฐาน 40 กอง อนุสติทั้ง 10 พุทธานุสติ ธรรมานุสติ สังฆานุสติ จาคานุสสติ เทวดานุสติ กรรมฐานทั้งหลาย วิปัสสนาญาณเราเจริญมาจนครบถ้วนบริบูรณ์จนถึงที่สุดคืออุปมานุสติในอารมณ์พระนิพพาน เราทรงอารมณ์มีกำลังแห่งอภิญญา คือกำลังแห่งมโนมยิทธิ

ขณะนี้เราทรงอารมณ์มโนมยิทธิอยู่ ยกจิตมาถึงพระนิพพาน ในขณะที่เรายกจิตมาถึงพระนิพพาน ปัญญาที่เราทบทวนในอุปมานุสติ คืออารมณ์พระนิพพานนั้น เราพิจารณาตัดอวิชชาทั้งปวง อวิชชาที่ตัดเพื่อเข้าถึงพระนิพพาน ก็คือความโง่ ความหลง ว่าภพภูมิ ว่าสังสารวัฏนั้นเป็นความเพลิดเพลินบ้าง เป็นความสุขบ้าง ยังมีที่ที่มันยังเพลิดเพลินจำเริญใจ ยังน่าเกิด ยังน่ากลับมาพบ จิตยังอยากคลอเคลียคลึงเคลาอยู่กับอารมณ์ของโลก อารมณ์แบบโลกๆ อารมณ์จิตเมื่อเรายกขึ้นมาบนพระนิพพาน มันตัด มันล้างอวิชชา ความหลงทั้งปวง ความหลงในโลก ความหลงในสังสารวัฏ เราสลายล้างตัดไปจนหมด จิตเราตั้งมั่นอยู่กับพระนิพพานเพียงจุดเดียว ในขณะนี้ก็ให้เราทรงอารมณ์ นิพพานัง ปรมังสุขัง พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง กำหนดความรู้สึกในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ อยู่ในวิมานบนพระนิพพานสว่างชัดเจนระยิบระยับ วิมานสว่าง กายพระวิสุทธิเทพสว่าง จิตเอิบอิ่มเป็นสุข ความสุขปราณีตละเอียด กำหนดจิตเสวยวิมุตติสุขอยู่บนพระนิพพานนี้ ทรงอารมณ์นี้ไว้ ยิ่งเสวยอารมณ์ที่เป็นวิมุตบนพระนิพพานนานเท่าไหร่ จิตยิ่งบันทึกอารมณ์พระนิพพาน ยิ่งทำให้ชินกับพระนิพพาน เข้าถึงพระนิพพานได้ง่าย ได้คล่องตัว ได้ชัดเจนขึ้น

กำหนดจิตว่า นับแต่นี้เวลาที่เรายกจิตอาทิสมานกายขึ้นมาบนพระนิพพาน เราจะกำหนดจิต จนเข้าถึงสภาวะธรรม เข้าถึงสภาวะพระนิพพานเต็มกำลังเสมอ ความชัดเจนของกำลังมโนมยิทธิในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพชัดเจนเต็มกำลังเสมอ ทรงสภาวะ ทรงอารมณ์เสวยวิมุตติสุขบนพระนิพพานไว้ ใจเอิบอิ่มผ่องใสสว่าง จิตบริกรรม

นิพพานัง ปรมังสุขัง เข้าสู่สภาวะทรงอารมณ์เป็นสุข สว่างละเอียดระยิบระยับ จากนั้นค่อยๆน้อมจิตตาม พิจารณาทบทวน วิเคราะห์ คือเจริญปัญญาในธรรมวิจยะ วิจัยการปฏิบัติ สำหรับเราหลายคนที่วันนี้ไปปฏิบัติ ฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลัง ก็มีทั้งคนที่ไปได้เต็มกำลัง แล้วก็คนที่ไปไม่ได้ การฝึกมโนยิทธิเต็มกําลัง ซึ่งเป็นงานธุดงค์ปลายปีนั้น ในสายของหลวงพ่อฤาษีฯ หรือสายวัดท่าซุง ก็นับว่าเป็นการสอบไล่ปลายปี ถ้านับเอาง่ายๆ อันที่จริงสำหรับคนที่ไปฝึกมโนเต็มกำลัง ถ้าหากสามารถยกอาทิสมานกายขึ้นไปครึ่งกำลังด้วยตัวเองได้ ท่านก็ถือว่าสอบผ่านสำหรับการฝึก เพราะเหตุผลคือสามารถยกจิตอาทิสมานกายขึ้นไปบนพระนิพพานได้โดยที่ไม่ต้องมีคนมานำ อย่างการที่เราฝึกกัน นี่ยังถือว่ามีคนนำคนพาไปคนช่วย ทั้งพระพุทธองค์ ทั้งครูบาอาจารย์ที่ช่วยจากภาคทิพย์ แล้วก็ครูบาอาจารย์ที่เป็นกายเนื้อที่มาช่วยน้อมจิตนำ

อันนี้ก็ยังถือว่าเป็นการที่ใช้กำลังของเบื้องบน แล้วก็ครูบาอาจารย์ที่เป็นกายหยาบมาช่วย แต่ถ้าเราสามารถไปโดยที่อาราธนาบารมีพระ แล้วเราไปใช้กำลังฌาน ใช้กำลังของเราไปพระนิพพานได้โดยไม่ต้องมีคนช่วยนำ ตรงนี้ข้อดีก็คือถือว่า ในยามที่เราจะดับขันธ์ เวลาที่เราใกล้จะตาย เราเคยฝึกไปได้ด้วยตัวเอง เราไม่จำเป็นต้องมีข้ออ้างว่าไปพระนิพพานไม่ได้ เราซ้อมยกจิตขึ้นพระนิพพานด้วยตัวเองมากเท่าไหร่ ถึงเวลาจิตก่อนตายจิตสุดท้ายก่อนตายเขาจะรวม จะสามารถยกจิตไปพระนิพพานได้อย่างง่าย จะต่างกับคนที่เคยฝึกมโนมยิทธิมาแล้ว ไปพระนิพพานได้หนหนึ่ง ไม่เคยฝึกอีกเลยตลอดชีวิต จะบอกว่าตายเมื่อไหร่จะไปพระนิพพาน ถึงเวลาอารมณ์จิตไม่เคยฝึก ไม่เคยทบทวน ไม่เคยทรงอารมณ์อยู่บนพระนิพพานเลย หรือเคยก็น้อยมาก ถึงเวลาอารมณ์จิตมันชินกับอารมณ์อื่น อารมณ์โลก อารมณ์ห่วง อารมณ์หลง อารมณ์รัก อารมณ์เกลียด อารมณ์ชัง สุดท้ายอารมณ์ที่ชินกว่า ทำบ่อยกว่ามากกว่า ก็กลายเป็นว่าคนที่เคยได้มโนเพียงครั้งเดียว แล้วไม่เคยฝึกทิ้งไป ไม่ปฏิบัติต่อ ก็กลับกลายเป็นว่าไปพระนิพพานไม่ได้ ต่อให้ทำได้ครั้งเดียว แต่ชัดมากเพียงใด แต่ทิ้งไม่ทำต่อ สุดท้ายก็ไม่แน่ว่าจะไปพระนิพพานได้ไหม

แต่สำหรับคนที่มีความเพียร ชัดบ้างไม่ชัดบ้าง แต่พยายามมีความวิริยะอุตสาหะ ฝึกซ้ำฝึกบ่อยๆ เห็นแค่ชายผ้าเหลืองพระพุทธเจ้า เห็นแค่อาทิสมานกายกอดพระบาทพระพุทธองค์ไว้แน่น รู้สึกว่าเรากอดพระพุทธเจ้าอยู่บนพระนิพพาน อันนี้ทำไว้ทุกวัน ก็ยังมีสิทธิ์ที่จะขึ้นถึงเข้าถึงพระนิพพานได้ตอนตาย ดังนั้นการที่เราฝึกมโนมาสอบไล่ช่วงปลายปี มโนมยิทธิเต็มกำลังนั้น ในส่วนของคนที่ยกขึ้นไปครึ่งกำลังได้ก็ถือว่าสอบผ่าน วิธีการจริงๆแล้วข้อแนะนำในการฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังก็คือ ท่านให้ขึ้นไปครึ่งกำลังก่อน เมื่อขึ้นไปครึ่งกำลังแล้ว ไปตัดขันธ์ 5 ไปตัดร่างกายเนื้อ ไปเจริญวิปัสสนาญาณ ไปตัดสังโยชน์ 10 ไปกำหนดในอารมณ์พระนิพพานให้ละเอียด ค่อยๆกลั่นจิตจากครึ่งกำลัง ค่อยๆกลายเป็นเต็มกำลังข้างบน อันนี้ก็ถือว่าได้ ทำได้ในระดับหนึ่ง แต่สำหรับบางคน กำลังจิตมีกำลังความตั้งมั่นสูง ถอดจิตไปแบบชักหญ้าปล้อง คำว่าชักหญ้าปล้องนี้ต้องนึกภาพ ให้เห็นหญ้าที่มันมีปล้อง หรือนึกภาพหลอดดูดน้ำที่มันมีขนาดใหญ่กับขนาดเล็ก ชักหญ้าปล้องก็คือเอาไส้ในออกจากปล้องคือเปลือกภายนอก นั่นก็คือชักเอากายทิพย์หลุดออกไปจากกายเนื้อ

เทคนิคในการฝึกก็คือ เวลาที่เรากำหนดจิต นึกถึงพระพุทธองค์ เรานึกถึงว่ามีกระแสเป็นท่อ เป็นแสงสว่าง ครอบกายเราไว้ คลุมกายเราไว้ ครอบกายเราไว้ เราอยู่ในท่อนั้น กำหนดชั่วระยะเวลาหนึ่ง จนรู้สึกได้ว่า จิตเราเชื่อมต่อเชื่อมโยงมั่นคงกับพระพุทธเจ้า เชื่อมโยงกับพระพุทธองค์ แล้วพุ่งจิตขึ้นไปผ่านท่อ พุ่งขึ้นไปบนพระนิพพานด้วยความเร็วเหมือนกับจรวดพุ่งพรึบออกไป ไปถึงพระนิพพาน ถ้าหากกำลังจิตเป็นฌาน 4 เต็มกำลังชักหญ้าปล้องขึ้นไป ความชัดเจนแจ่มใสจะมากยิ่งกว่าตาเนื้อเห็น ความรู้สึกทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์จะไม่รู้สึกถึงร่างกายที่เป็นกายเนื้อ รู้สึกถึงแต่ว่าความเป็นกายพระวิสุทธิเทพข้างบนเท่านั้น

อันนี้คือการเข้าถึงมโนมยิทธิเต็มกําลังอย่างสมบูรณ์แบบ หรือบางครั้ง บางคนภาวนาบริกรรมกำหนดจิตเตรียมจะพุ่ง พอพระอาจารย์ที่ท่านเดินเอาคฑาไม้ครูมาแตะ ในขณะที่แตะเกิดแสงสว่างกำลังพุทธานุภาพ เหมือนกับจุดระเบิดจิตพุ่งพรวดขึ้นไปบนพระนิพพาน ถอดไปเต็มกำลัง ในแบบนี้ก็มี ดังนั้นในรูปแบบของเต็มกำลังอย่างสมบูรณ์แบบก็จะเป็น 2 ลักษณะดังที่กล่าวมา แต่บางคนสำหรับข้อที่ติดขัดกันที่เจอส่วนใหญ่ ข้อแรกไปสนใจกับอาการภายนอกของคนอื่น เสียงร้องบ้าง เสียงสั่นบ้าง เสียงกรีดร้องบ้าง อาการปิติของคนอื่นที่ปรากฏ เราก็ไปเกาะไปเกี่ยวไปดูไปสนใจ ไม่ตัดคือไม่ตัดแม้กระทั่งตัดร่างกายเราเอง ไปสนใจคนอื่นนี่ถือว่าส่งจิตออกนอก ไอ้การที่เราสั่นแล้วสนใจแต่อาการสั่นมากไป แค่นี้ก็ยังถือว่าดูกาย รู้กายดูปิติ แต่ไปเกาะปิติไม่ทิ้งปิติไม่ว่างปิติ มันก็ไม่หลุดออกไป คือข้ามเข้าสู่ฌานที่สูงขึ้นไม่ได้ เวลาที่เกิดปีติที่ตัวสั่น อย่าไปเข้าใจหรือนึกว่ามันเป็นแบบแผนหรือว่าดี ถ้าปิติมันมีอาการสั่นนี้ถือว่าจิตยังหยาบ เวลาที่เค้าถอดออกไปเค้าถอดออกไปนิ่มๆ ถอดออกไปโดยไม่ต้องสั่นก็ได้

อันนี้ก็เป็นเรื่องของจิต แต่บางทีบางครั้งเราไปเข้าใจว่าต้องสั่นถึงจะไปได้ คราวนี้มัวแต่สั่น พอสั่นมากเท่าไหร่มันเหนื่อย พอเหนื่อยก็ถอยมาเกาะกาย จิตข้ามไม่พ้นปิติก็คือมาถึงแค่ฌาน 2 ดังนั้นจะให้ถึงฌาน 4 มันก็ไปไม่ถึงสักที อีกอันหนึ่งก็คือปวดเมื่อย จำไว้เสมอว่าเรามาฝึกในเมตตาสมาธิ อาจารย์เคยสอนไว้ เวลาเข้าที่ปุ๊บผ่อนคลายปล่อยวางตัดกายทันที เราต้องฝึกให้ชิน เราไปฝึกมโนมยิทธิ พื้นแข็งเราไปถึงเข้าที่ ให้สัปปายะคือมีความสบายที่สุด จากนั้นทิ้งกายตัดกายมาอยู่กับจิตทันที ถ้าเราตัดกายทิ้งกายให้เร็วให้ทัน เราก็จะข้ามพ้น ไม่ต้องมาเจอกับเวทนา ไม่ต้องมาเจอกับตัวปวดตัวเมื่อย ดังนั้นตัวที่ฝึก คือกำหนดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมปุ๊บ ผ่อนคลายร่างกายคือปล่อยวาง คือตัดขันธ์ 5  เราตัดตั้งแต่ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมแล้ว  ดังนั้นเวทนาก็ข้ามไปได้ง่าย ข้ามไปได้เร็ว บางทีก็ไม่เจออะไร นั่งไปจนเสร็จ จนจบ 1 ชั่วโมงไม่มีปวดไม่มีเมื่อย ตรงจุดนี้ก็เป็นข้อที่หลายคนติด ดังนั้น ไม่เป็นไร เอาใหม่ปีหน้า กำหนดจิตของเรานะ พิจารณา บางคนไปครึ่งกำลังได้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว ไปครึ่งกำลังแล้วค่อนข้างชัด ค่อนข้างใสเพราะกลั่นจิตเป็น อันนี้ก็ถือว่าเป็นความฉลาด พอขึ้นไปบนพระนิพพานแล้ว ก็กราบเรียน กราบขอบารมีพระพุทธองค์ ขอให้ท่านสอน ขอให้ท่านบอกกรรมฐาน ขอให้ท่านแนะนำ ในปีใหม่ เราควรสร้างบารมีอะไร เราควรปฏิบัติอย่างไร เราควรตั้งกำหนดใจอย่างไร หรือขอพรปีใหม่จากพระท่านโดยตรง

สำหรับวันนี้ก็ให้เราทรงอารมณ์ในกายพระวิสุทธิเทพนะ กำหนดจิตขอพรน้อมกระแส เนื่องจากอยู่ในช่วงที่ยังเป็นกระแสของมโนเต็มกำลัง กำลังของพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ กระแสของพระนิพพานที่ท่านเมตตาส่งลงมา ยังมีผลอยู่ น้อมกระแส ให้กระแสแห่งพุทธานุภาพ ประสิทธิ์ประสาทลงมายังจิตอาทิสมานกายของเราทุกคน ที่ฝึกที่เจริญพระกรรมฐานกันในวันนี้ ขอให้เกิดผล เกิดอานิสงส์เต็มกำลัง ขอให้ปัญญาความเข้าใจของข้าพเจ้า เข้าใจธรรม เข้าใจการปฏิบัติ เข้าใจการฝึกกรรมฐานในอภิญญาสมาบัติขั้นสูงได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง

กำหนดจิตสว่าง กรรมฐานกองใดที่คู่ควรเหมาะสมตรงจริตของข้าพเจ้า ขอจงปรากฏภาพ ปรากฏนิมิตให้ข้าพเจ้าเห็น ให้ข้าพเจ้าได้ตั้งใจพากเพียรฝึกฝนปฏิบัติในกรรมฐานกองนั้น ในการเจริญธรรมข้อนั้นเรื่องนั้นหมวดหมู่นั้นด้วยเทอญ ทรงอารมณ์ไว้นะ จากนั้นกำหนดจิตต่อไป แผ่เมตตาน้อมกระแสจากพระนิพพาน กระแสบุญกุศลจากการเจริญพระกรรมฐาน แผ่เมตตาต่อมวลหมู่สรรพสัตว์ 3 ภพ 3 ภูมิ

ตั้งใจว่าการปฏิบัติธรรมทุกครั้งของเราเป็นการปฏิบัติบูชาต่อพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เทพพรหมเทวา ท่านผู้มีพระคุณทั้งปวง แผ่เมตตา แผ่กระแส น้อมกระแสพระนิพพาน กระแสวิมุตลงไปยังอรูปพรหมทั้ง 4 ชั้น พรหมโลกทั้ง 16 ชั้น สวรรค์ทั้ง 6 แผ่เมตตาลงไป น้อมกระแสถึงรุกขเทวดา ภุมมเทวดาทั่วโลกทั่วจักรวาล แผ่เมตตาน้อมกระแสพระนิพพานลงมายังโลก ลงมายังดวงจิตของมนุษย์และสัตว์ที่มีขันธ์ 5 กายเนื้อกายหยาบทั้งหลาย ทั่วโลกทั่วจักรวาล

ขอกระแสธรรมจงเข้าถึงจิตใจของมนุษย์ ขอจงยกระดับจิตสำนึกของมนุษย์ทั้งหลาย ให้มีศีลมีธรรม ให้มีบุญมีกุศลหล่อเลี้ยง แผ่กระแสเมตตา น้อมกระแสพระนิพพานลงไป ยังภพภูมิที่เป็นเมืองบังบด เมืองลับแลทั้งหลาย มิติทับซ้อนจักรวาลคู่ขนานทั้งหลาย ทั่วจักรวาล ทั่วทุกมิติ น้อมกระแสบุญ กระแสกุศล ความเป็นทิพย์ถึงบรรดาโอปปาติกะ สัมภเวสีทั้งหลาย กระแสบุญ กระแสกุศล แห่งสังฆทาน แห่งวิหารทานอันก่อให้เกิดทิพยสมบัติ วิมานแก้ว วิมานทิพย์ ขอจงแผ่ส่งผลถึงทุกรูปทุกนาม น้อมกระแสแผ่เมตตาลงไปยังเปรตอสุรกายทั้งหลาย ทานทั้งหลาย สังฆทานทั้งหลาย บุญการใส่บาตรทั้งหลาย อาหารทิพย์ ผ้าทิพย์ เครื่องทรงจงส่งผลให้ท่านทั้งหลายที่หิวโหย จงได้อิ่มในกระแสบุญกระแสกุศล เปรตอสุรกายทั้งหลายทุกรูปทุกนาม ขอจงพ้นจากความทุกข์ น้อมกระแสบุญกุศล น้อมกระแสพระนิพพานต่อไป ลงไปยังนรกภูมิทุกขุม ขอบุญกุศลจงส่งถึงทุกรูปทุกนาม พ้นจากโทษทุกข์ภัยแล้ว ขอจงมีบุญมารอรับ ขอมีกุศลมารอรับ ขอมีกระแสทางธรรมมารอรับ เส้นทางแห่งธรรมจงกระจ่างแจ้งในทุกดวงจิต แสงสว่างจงปรากฏขึ้นในใจของจิตทุกดวง

น้อมกระแสจากพระนิพพานลงมายังวัดวาอารามทุกแห่ง สถานปฏิบัติธรรมทุกแห่ง กระแสพุทธานุภาพ ขอจงอาราธนามาประสิทธิ์ประสาทยังพระพุทธรูปทุกพระองค์ พระเครื่องวัตถุมงคลทั้งหลาย กระแสพุทธานุภาพ ความศักดิ์สิทธิ์จงมาสถิตยังพระบรมสารีริกธาตุ พระบรมธาตุเจดีย์ พระมหาธาตุ พระอรหันตธาตุ ขอจงปรากฏความศักดิ์สิทธิ์ กระแสวิมุต กระแสแห่งธรรม ขอจงหลั่งไหลลงสู่ดวงจิตของพุทธบริษัท 4 ทั้งหลาย กระแสธรรมอันเป็นมรรคผล กระแสธรรมอันเป็นหนทางสู่พระนิพพาน กระแสธรรมอันเป็นธรรมที่มุ่งลัดตัดตรงสู่มรรคผลพระนิพพาน ขอจงหลั่งไหลชโลมลงสู่ดวงจิตของพุทธบริษัท 4 ทุกดวง ขอสัมมาจงสลายล้างกระแสแห่งมิจฉาทิฐิในทุกดวงจิต ขอสัมมาสมาธิจงหลั่งไหลลงสู่ทุกดวงใจ

เมื่อเราแผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศลเรียบร้อยแล้ว ก็น้อมจิตแยกอาทิสมานกาย นับที่สุดนับประมาณไม่ได้ กราบลาพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ เทพพรหมเทวาทุกพระองค์พร้อมกัน อธิษฐานจิตขอให้เกิดดอกบัวแก้วแห่งบุญกุศล น้อมถวายทุกท่านทุกๆพระองค์พร้อมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านผู้มีพระคุณ เทวดาเทพพรหมเทวาที่เมตตาดูแลรักษาช่วยเหลือข้าพเจ้า ขอจงเกิดบุญฤทธิ์ ขอจงเกิดเทพฤทธิ์ เกิดบารมีความอัศจรรย์สงเคราะห์ข้าพเจ้าได้ทันท่วงทีเต็มกำลังทุกครั้ง แม้ข้าพเจ้าอาจจะลืมพลั้งเผลอประมาทพลาดพลั้งไม่ได้ขอให้ท่านช่วย ก็ขอให้ท่านช่วยทันทีโดยอัตโนมัติด้วยเทอญ น้อมกระแสกราบขอบคุณทุกท่านทุกๆพระองค์

จากนั้นอาราธนากระแสจากพระนิพพานลงมายังกายเนื้อยังโลกมนุษย์ ขอกระแสบุญ กระแสกุศล บุญบารมีที่สะสม ทาน ศีล ภาวนา จงหลั่งไหลลงมาปรากฏ เปิดสายบุญ สายทรัพย์ สายสมบัติ ความคล่องตัว ขอจงมีแต่บุญกุศลหนุนนำ ขอจงรวยชาตินี้ นิพพานชาตินี้ สายบุญ สายทรัพย์ ทิพยสมบัติจงเปลี่ยนปรับกลั่นเป็นมนุษย์สมบัติ กลายเป็นสมบัติเงินทอง โอกาส ผู้สนับสนุน ผู้เกื้อกูลสงเคราะห์ช่วยเหลือ เกิดทรัพย์สินเงินทองที่จับต้องได้ ไว้ให้ข้าพเจ้าทั้งหลาย ดูแลตนเอง ดูแลครอบครัว สร้างบุญ สร้างกุศล สร้างบารมี สร้างความดีทำนุบำรุงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ได้เต็มกำลังสืบต่อไปด้วยเทอญ ขอปู่โสมผู้เฝ้าทรัพย์ ขอพญานาคผู้พิทักษ์รักษาทรัพย์ ขอท้าวเวสสุวรรณผู้คุ้มครองรักษาทรัพย์สมบัติในดินทั้งหลาย ทรัพย์ในดิน  ทรัพย์ในน้ำ ทรัพย์ในอากาศ ทรัพย์อันเป็นทิพยสมบัติ ขอจงเปิดประตูแห่งทรัพย์จงเปิด ขอเทวดาทั้งหลายจงอนุญาต ท่านทั้งหลายจงเกื้อกูลสงเคราะห์ ท่านทั้งหลายจงมีส่วนร่วมในบารมี ในบุญกุศลทั้งหลายของข้าพเจ้าทุกครั้งด้วยเทอญ

            กำหนดน้อมนะให้เห็นแสงสว่างกระแสจากพระนิพพานส่งลงมายังกายเนื้อฟอกร่างกายธาตุขันธ์จากโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง เห็นกาย เห็นอวัยวะ เห็นอาการ 32 เห็นเซลล์ทุกเซลล์ เห็น DNA ของเรา กลายเป็นแก้ว กลายเป็นเพชรระยิบระยับ กระแสธรรมฟอกร่างกายธาตุขันธ์ สะอาดผ่องใสมีราศี มีพลังชีวิต มีกระแสบุญกุศลหล่อเลี้ยง กายสว่างเป็นแก้วใส สลายล้างโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวงไปจนหมด กายเนื้อกายทิพย์สว่างเป็นเพชร ใจเอิบอิ่มเบิกบาน ปลื้มปิติ ยินดีในการปฏิบัติ จิตเป็นสุขทั้งก่อนปฏิบัติ จิตผ่องใสในยามปฏิบัติ และยามที่จบการปฏิบัติแล้ว จิตก็ยังเอิบอิ่มเบิกบานอยู่งดงามในเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุด จากนั้นน้อมจิตโมทนาสาธุกับกัลยาณมิตรที่ปฏิบัติธรรมเจริญพระกรรมฐานด้วยกัน ทั้งที่อยู่ในประเทศไทยในทุกจังหวัด ทั้งที่อยู่ในต่างประเทศ ในทุกๆทวีป น้อมจิตโมทนาก่อให้เกิดสานสายบุญสายกุศลคุ้มครองรักษาทุกคน ให้เกิดความรักความสามัคคี ให้เกิดสวัสดิมงคล ให้เกิดความเจริญสุข ก้าวหน้าทั้งทางโลกทางธรรม โมทนาสาธุกับทุกคน จากนั้นหายใจเข้าลึกๆช้าๆ หายใจเข้าพุท ออกโธ ครั้งที่ 2 ธัมโม ครั้งที่ 3 สังโฆ ค่อยๆถอนจิตช้าๆจากสมาธิ ใจผ่องใสเอิบอิ่มปิติยินดี

สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนากับทุกคน ขอให้ทุกคนมีความสุข มีความเจริญก้าวหน้า ขอให้ธรรมะงอกงามในจิตทุกดวง ขอให้ความเจริญมั่งคั่งในทางโลก ในทรัพย์สินเงินทองทั้งหลาย หลั่งไหลเข้ามาสู่ชีวิตของทุกๆคนอย่างอัศจรรย์ สำหรับวันนี้สวัสดีครับ   

ถอดความและเรียบเรียงโดย : คุณวรรณภา

You cannot copy content of this page