เสียงธรรมจากห้อง “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”
วันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน 2568
เรื่อง กรรมฐานใช้งาน
โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค
กำหนดสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ผ่อนคลายปล่อยวางร่างกายทุกส่วน พร้อมกับความรู้สึกที่ปลดปล่อยความเชื่อมโยงในผัสสะ ตัดขันธ์ห้าร่างกาย แยกกายแยกจิต ผ่อนคลาย ปล่อยวางร่างกาย ปล่อยวางให้ละเอียดที่สุดลึกที่สุด จนรู้สึกได้ว่าจิตเราเบา จิตเราเข้าถึงความสงบ ปล่อยวางความวิตกกังวล ภาระทั้งหลาย กิจการงานที่คั่งค้างทั้งหลาย ความห่วงความอาลัยในทรัพย์สินวัตถุ หรือแม้แต่ตัวบุคคล วางทั้งกาย วางทั้งภาระของใจ วาง ละนิวรณ์ทั้งห้าออกไปจากใจของเรา กำหนดรู้อยู่กับความสงบเบา
จากนั้นจึงกำหนด สติรู้ในลมหายใจ จินตภาพเห็นลมหายใจเป็นเหมือนกับแพรวไหม พลิ้วผ่านเข้าออกในกาย
ลมหายใจเข้ามีประกายละอองละเอียดระยิบระยับ เป็นเหมือนกับกากเพชร เป็นเหมือนกับแพรวไหม พลิ้วผ่านเข้าออกในกาย ลมหายใจละเอียด สงบ ราบรื่น พลิ้วไหว กำหนดว่าลมที่เราหายใจเข้า เป็นปราณ เป็นพลังชีวิตจากธรรมชาติ กระแสลมหายใจเราใช้จิตกลั่นให้เป็นปราณ เป็นภาพที่มีความละเอียดเบา ไหลเวียนผ่านเข้าสู่กาย ลมหายใจยิ่งละเอียดเบาสบาย จิตยิ่งเข้าถึงความสงบ จดจ่ออยู่กับลมหายใจสบาย จดจ่ออยู่กับลมหายใจละเอียด
กำหนดรู้ในความสงบ กำหนดรู้ว่าจิตของเรา อารมณ์ใจของเรา มันมีความสบาย คือความสุขของความสงบ ความสบายความสุข ที่เราละวาง ความวิตก ความห่วง ความกังวล นิวรณ์ห้าออกไป มีแต่ความสบายใจสบายกาย ลมสบาย จิตสบาย ทรงสภาวะในอารมณ์สบายนี้ไว้ จดจำอารมณ์นี้ เพราะเป็นอารมณ์ของอุปจารสมาธิ อารมณ์จิตที่สบาย อารมณ์จิตที่ใช้เป็นกำลังในการนำสมาธิจิตไปใช้งาน
กำหนดอารมณ์สบาย ให้อารมณ์สบาย ลมหายใจสบายนี้มีความทรงตัว คือประคองอารมณ์นี้ให้ทอดนานยาวไป จิตเราได้เรียนรู้ถึงความสุขของความสงบ ได้เรียนรู้ว่าเมื่อเราปล่อยวาง ความเบาความสบายความสุขของใจมันก็ปรากฏ
วางที่เราเบาที่สุด วางด้วยการเข้าสมาธิ สมถะก็กลายเป็นวิปัสสนา เพราะเราวาง เพราะเราเป็นไปเพื่อการบรรเทาเบาบางเพื่อการดับทุกข์ วางบ่อยเข้าบ่อยเข้า เราก็ตัดใจทิ้งอารมณ์ที่เคยทำให้เราทุกข์ทำให้เราหนักอกหนักใจได้ไปในที่สุด ลมสบาย สงบ ปล่อยวาง
เมื่ออารมณ์จิตนั้นมีความทรงตัวดีแล้ว ลำดับต่อไป เราก็กำหนดในลมสบาย ในลมที่มันมีความละเอียดเบาลงนั้น เรากำหนดหยุดจิต นิ่งหยุด หยุดการปรุงแต่ง หยุดความคิด หยุดจนจิตเข้าถึงเอกัคคตารมณ์ นิ่งหยุด รู้สภาวะในอุเบกขารมณ์ คือจิตนิ่งสงบหยุดความคิด รู้ในผัสสะทางอายตนะทั้งห้าที่มากระทบ แต่จิตเราหยุดปรุง อุเบกขาคือการที่เรารู้กระทบแต่เราหยุดการปรุง นิ่งหยุด
จากนั้นเดินจิตต่อจากฌานสี่ในอานาปา จากจุดที่หยุด กำหนดให้กลายเป็นวงกลม เป็นเส้นวงกลม จากวงกลมกำหนดให้กลายเป็นทรงกลม คือเป็นสามมิติ ทรงกลมปรากฏเป็นแก้วสว่างใสขึ้น เชื่อมโยงนิมิต เชื่อมโยงกสิณให้เป็นหนึ่งเดียวกับจิตของเรา ดวงกลมดวงแก้วใสนั้น จงสว่างขึ้นใสขึ้น จนกระทั่งกลายเป็นเพชรประกายพรึก เป็นเพชรระยิบระยับสว่าง มีเส้นแสงรัศมีแผ่สว่างกระจายออก กำหนดความรู้สึกความเชื่อมโยงระหว่างภาพนิมิตของจิต นิมิตของกสิณ สัมพันธ์กับจิตใจ สัมพันธ์กับสมาธิ ยิ่งสว่างจิตยิ่งเปี่ยมพลัง จิตยิ่งเข้าถึงความสุข
อารมณ์สุขนั้นเป็นอารมณ์สำคัญที่ก่อให้เกิดความเป็นทิพย์ อารมณ์ความสุขเป็นอารมณ์สัมมาอภิญญา จิตเป็นสุข จิตผ่องใส จิตประภัสสร จิตมีความเป็นทิพย์ ทุกสิ่งเป็นหนึ่งรวมอยู่ ณ จุดเดียว ยิ่งสว่างยิ่งเป็นสุข ยิ่งเกิดความรู้สึกเปี่ยมพลัง เปี่ยมล้นในจิตในใจของเรา แสงรัศมีจิตยิ่งแผ่แสงสว่างกระจายออก เจิดจ้าเจิดจรัส เราทรงสภาวะทรงอารมณ์ของความประภัสสรของจิตเราไว้ พร้อมกับความรู้สึกที่เราเชื่อมโยงให้รัศมีจิตของเรานั้น ความสุขที่เกิดขึ้นในใจเรา รัศมีที่แผ่จากความสุขจากความเป็นทิพย์ เรากำหนดให้เป็นกระแสรัศมีจิต เป็นรัศมีแห่งความเมตตาจากจิตของเรา ฝึกเป็นฐานจากกำลังของเราก่อน จิตผ่องใส จิตเป็นสุข จิตประภัสสร จิตมีแต่กระแสของเมตตาอันไม่มีประมาณ แผ่ออกไปสว่างออกไป ทรงสภาวะที่จิตประภัสสรพร้อมกับกระแสแห่งเมตตาแผ่อยู่ตลอดเวลานั้น ความรู้สึกว่าจิตของเราเป็นประดุจดาวฤกษ์ ประดุจดวงอาทิตย์ มีแต่ความสว่างเจิดจ้าเจิดจรัส เห็นจิตนั้นเป็นเพชรสว่างเจิดจ้า สว่างยิ่งกว่าพระอาทิตย์ร้อยดวงพันดวง สว่างยิ่งกว่าพระอาทิตย์หมื่นเท่าแสนเท่า ส่องสว่างเจิดจ้าไปได้ทั่วจักรวาลทั่วสามภพภูมิ
ดวงอาทิตย์หนึ่งดวงยังแผ่แสงสว่างออกไปได้แค่ระบบของตัวเอง คือระบบสุริยะจักรวาลของตัวเองแค่ดวงเดียว แต่จิตของเราที่มีกระแสเมตตาอันไม่มีประมาณ แผ่แสงสว่างออกไปได้ทั่วอนันตจักรวาล คือสุดทุก Galaxy ส่องสว่างแผ่เมตตาไปได้ข้ามมิติ คือภพภูมิที่เป็นสุคติภูมิ ภพภูมิที่เป็นทุกข์คติภูมิคือด้านล่าง กระแสจิต กระแสเมตตา ความสว่าง ความประภัสสรของจิตเรา เปล่งประกายเจิดจ้าเจิดจรัสในแสงสว่างแห่งกุศล ในแสงสว่างแห่งบุญ ทรงอารมณ์ ทรงสภาวะความเป็นทิพย์ของจิตไว้ ยิ่งทรงอารมณ์ได้นาน ตบะเดชะ กำลังฌานสมาบัติ ก็ค่อยๆเพิ่มพูนสะสมเพาะบ่ม มีความแก่กล้าขึ้นตามลำดับ ทรงอารมณ์ทรงสภาวะจิตที่เจิดจรัสนี้ไว้ จิตอันประภัสสรนี้ไว้
กำหนดตั้งกำลังใจรู้ว่าครูบาอาจารย์ท่านเคยสอนว่า เราฝึกสมาธิแค่เห็นแสงสว่างแวบเดียว เท่ากับหัวไม้ขีด จุดไฟวูบขึ้นก็ได้บุญมากกว่าใส่บาตรจนขันลงหินสึก อันนี้คือเกิดแสงสว่างนิมิตโอภาสเป็นแค่นิดเดียว ตอนนี้เรากำลังทรงอารมณ์ทั้งความเจิดจรัสของจิตประภัสสร ของกระแสเมตตาอันไม่มีประมาณ ทรงอารมณ์แห่งกสิณจิตในความประภัสสร ความเป็นประกายพรึก ความเป็นทิพย์ของจิตสูงสุด ยิ่งตั้งมั่นยาวนานมากเท่าไร ตบะเดชะกำลังบุญก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้น กำลังจิตความทรงตัวความตั้งมั่นก็เพิ่มพูนขึ้น ทรงอารมณ์นี้ไว้
กำหนดรู้ว่าจิตของเราตอนนี้เป็นบุญ ไม่มีกิเลสคือความโลภโกรธหลง ความติดในกายมาเจือ กายมันหายไปหมด เหลือแต่ดวงจิตสว่างยิ่งกว่าดวงอาทิตย์เจิดจ้าเจิดจรัส จิตมีกำลัง ทรงอารมณ์ไว้ ทรงสภาวะไว้
เมื่อจิตมีกำลังทรงตัวตั้งมั่น มีความประภัสสร มีกำลังจิตอันเป็นฐานแห่งความพากเพียรการปฏิบัติ ความสม่ำเสมอ ธรรมะฉันทะในการฝึกฝนขัดเกลาจิต พัฒนาจิต ฝึกจิตให้มีความก้าวหน้าขึ้น เราก็ตั้งกำลังใจว่า กำลังใจที่ข้าพเจ้าปฏิบัตินี้ ขอถวายเป็นปฏิบัติบูชา ถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ตอบแทนคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม ครูบาอาจารย์พระอริยะสงฆ์ ที่ท่านเหนื่อยยากพากเพียรสั่งสอน ปรารถนาให้เราเป็นคนดี ปรารถนาให้เราได้มรรคผลพระนิพพาน ตั้งใจว่าจิตที่ตั้งไว้ว่าการปฏิบัติเป็นพุทธบูชานี้ เราขออาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าเป็นที่สุด มีสมเด็จองค์ปฐมเป็นประธานท่ามกลางพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ ครูบาอาจารย์พระโพธิสัตว์เจ้าทุกพระองค์ อธิษฐานอาราธนาขอกำลังพุทธานุภาพ ขอเกิดพุทธนิมิตในดวงจิต มีกำลังมีความศักดิ์สิทธิ์ประดุจพระพุทธองค์ทรงเสด็จประทับมาอยู่กลางจิตกลางใจของข้าพเจ้า ณ บัดนี้ด้วยเทอญ และด้วยกำลังแห่งพุทธานุภาพอันไม่มีประมาณนี้ ขอให้จิตข้าพเจ้านี้ระเบิดกำลังแห่งความสว่างด้วยกระแสพุทธบารมี สว่างออกไปเหมือนกับจักรวาลนี้เกิดการระเบิดเกิดซุปเปอร์โนวา ระเบิดสว่างออก เป็นกำลังยิ่งยวดยิ่งกว่ากำลังที่ข้าพเจ้าเองแผ่เมตตาเปล่งแสงสว่างในจิตประภัสสรด้วยกำลังตนเองนั้น
ขอกำลังแห่งพุทธานุภาพแผ่กำลังออกไปไม่มีประมาณ มากมายมหาศาล จนจิตข้าพเจ้าตระหนักอย่างเข้าถึงคำว่า “พุทโธอัปปมาโณ” บารมีพระคุณแห่งพระพุทธเจ้านั้นไม่มีประมาณ ขอให้กำลัง ขอให้นิมิต ขอให้จิตสัมผัสถึงกำลังพุทธานุภาพนี้ได้อย่างรู้ขึ้นในจิตเป็นปัจจัตตังด้วยเถิด องค์พระท่านอยู่ในจิตเราพร้อมกับแผ่คลื่นกระแสพลังพุทธานุภาพสว่างออกไป เป็นคลื่นเป็นพลังงานที่ยิ่งมากมายมหาศาลยิ่งกว่าที่เรากำหนดเมื่อสักครู่มากมาย
กำหนดรู้กำหนดเข้าถึงพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ ข้าพเจ้ามีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ เป็นสรณะเป็นที่พึ่งที่อาศัยตลอดชีวิตตราบเท้าเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ทรงสภาวะที่จิตมีองค์พระอยู่ภายใน ด้วยความเคารพ ด้วยความนอบน้อม ขอกระแสขอกำลังแห่งพุทธานุภาพของพระพุทธองค์มาสถิตประดิษฐานอยู่ภายในจิตในใจของข้าพเจ้า ขอนับแต่นี้ ในยามวาระที่ข้าพเจ้าอาราธนาบารมีแห่งพุทธานุภาพ ขอให้พลังกำลังความศักดิ์สิทธิ์ อิทธิความอัศจรรย์ จงปรากฏในทุกครั้งทุกวาระด้วยเถิด
จากนั้นกำหนดจิต อาราธนาบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ขอยกจิตข้าพเจ้าเป็นอาทิสมานกายเป็นแสง พุ่งไปปรากฏอยู่บนพระนิพพานท่ามกลางมหาสมาคม มีสมเด็จองค์ปฐมทรงเป็นประธาน ท่ามกลางพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทุกๆพระองค์บนพระนิพพานด้วยเถิด เมื่อกำหนดจิตขึ้นไปได้แล้ว ก็กำหนดรู้ในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมในความเป็นทิพย์ ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมบนพระนิพพาน ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมในความเป็นกายที่เป็นกายอาทิสมานกาย กายพระวิสุทธิเทพ ความรู้สึกว่ากายทิพย์ตอนนี้สว่างเจิดจ้าใส มีเครื่องทรง มีมงกุฎ มีเครื่องประดับแห่งความเป็นทิพย์ เครื่องประดับแห่งความเป็นพระวิสุทธิเทพ กำหนดรู้ในจิต
การกำหนดรู้ในจิตนี้เป็นการกำหนดรู้เพื่อตรวจสอบใจของเรา ว่าการขึ้นมาบนพระนิพพานไม่ใช่เป็นเพียงภาพจำ คือ จำภาพได้ว่านิพพานเป็นอย่างไร แต่การตรวจสอบดูจิตของเราก็คือ ดูว่าจิตของเราเมื่อยกขึ้นมาบนพระนิพพานแล้ว จิตของเราตัดภพจบชาติ คือมีความอาลัยในภพต่างๆไหม มีความอาลัยความติดในกายในความเป็นมนุษย์ไหม มีความติดมีความเสียดายในความเป็นเทวดาพรหมไหม กำหนดจิตว่าเราขึ้นมาบนพระนิพพานด้วยจุดมุ่งหมายว่า ตายเมื่อไรจากอันตภาพนี้จากชีวิตในชาตินี้ เราจะขึ้นมาอยู่บนพระนิพพาน
เมื่อกำหนดแล้ว จิตมีความตั้งมั่น จิตมีความเกาะอยู่กับพระนิพพานแล้ว ก็กำหนดจิตต่อไป อธิษฐาน ขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ข้าพเจ้าจะขอพุทธานุญาตในการเรียน ในการเจริญพระกรรมฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหัวข้อในเรื่องของการใช้กรรมฐานเป็นกำลัง คือนำมาใช้งาน คือนำมาใช้ประโยชน์
จากนั้นกำหนดให้เห็นกายของวิสุทธิเทพที่ปรากฏนั้น นั่งขัดสมาธิ คือฝึกเจริญพระกรรมฐานอยู่บนรัตนบัลลังก์ดอกบัวแก้วอยู่บนพระนิพพานนั้น พร้อมกับกำหนดจิตพิจารณาว่า เป้าหมายในการเจริญพระกรรมฐานของข้าพเจ้านี้ เป็นไปเพื่อเจริญวิปัสสนาญาณ ขัดเกลาชำระล้างสรรพกิเลสทั้งหลาย ความโลภโกรธหลงทั้งหลาย อนุสัยทั้งหลาย สันดอนสันดานทั้งหลาย ออกจากจิตจากใจ ตัดภพจบชาติตัดสังโยชน์ทั้งสิบ เพื่อพระนิพพานในชาตินี้ และในขณะที่ข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่ มีขันธ์ห้า มีกายเนื้ออยู่บนโลกมนุษย์ ข้าพเจ้าทั้งหลายก็ขออธิษฐาน ขอพุทธานุญาตพระพุทธองค์ในการใช้กำลังสมาธิ กำลังฌานสมาบัติ ใช้กำลังแห่งพุทธานุภาพไปในทางที่เป็นสัมมาสมาธิ สัมมาอภิญญา เป็นไปเพื่อการคุ้มครอง เพื่อความปลอดภัย เพื่อความสวัสดิมงคล เพื่อช่วยเหลือเพื่อเกื้อกูลสรรพสัตว์ ช่วยเหลือเกื้อกูลกัลยาณมิตรญาติธรรม ให้ปลอดภัย ให้มีสุขภาพสมบูรณ์ ให้มีความคล่องตัว และขอให้อภิญญาที่เป็นสัมมาทิฐินี้ ก่อเกิดประโยชน์ คือยังศรัทธาให้กับบุคคลที่ยังไม่ศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ได้ศรัทธาในพระพุทธศาสนา บุคคลที่ยังไม่มีกำลังใจ ไม่มีความสนใจ ไม่มีธรรมะฉันทะในการเข้ามาฝึกเข้ามาปฏิบัติพระกรรมฐาน เมื่อได้เห็นได้สัมผัสความศักดิ์สิทธิ์ความอัศจรรย์ สัมมาอภิญญาที่ปรากฏขึ้นอันมีผลจากการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้ว ก็กลับมาเกิดความศรัทธาความสนใจ ในการปฏิบัติธรรมการปฏิบัติมรรคผลพระนิพพานเพิ่มขึ้นตาม
ขอให้สิ่งที่ข้าพเจ้านำไปใช้นี้ก่อให้เกิดสัมมาศรัทธา สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา และก็เป็นสัมมาอภิญญาด้วยเถิด
ขอให้จิตข้าพเจ้ากำหนดรู้นำไปใช้แต่สิ่งที่เป็นสัมมาทิฐิ หากแม้นข้าพเจ้ามีความมัวเมามีความหลง มีความเผลอไผลหรือทำไปด้วยความไม่รู้ ทำไปด้วยมานะทิฐิก็ขอให้พระพุทธองค์ เทวดาพรหมทรงเมตตายับยั้งไม่ให้สิ่งที่ข้าพเจ้ากระทำนั้น อภิญญาที่ข้าพเจ้าจะนำไปใช้เป็นมิจฉาอภิญญานั้น ขอจงอย่าเกิดผล ขอจงได้เสื่อมไป เพื่อป้องกันโทษภัยที่จะพึงบังเกิดแก่ข้าพเจ้า เพื่อป้องกันเวรภัยที่เกิดกับข้าพเจ้าด้วยเถิด
ตั้งจิตอธิษฐานไว้ ทำความเข้าใจให้ลึกซึ้ง ว่าการที่เราจะได้อภิญญานั้น เราจะได้เพราะอะไร ไม่ได้เป็นไปเพื่อสนองมานะ อัตตาตัวตน ความเก่ง แต่เป็นไปเพื่อเกื้อกูลเพื่อยังศรัทธาในพระพุทธศาสนาให้เพิ่มพูนขึ้น เป็นไปเพื่อสงเคราะห์เกื้อกูลสัตว์โลก คุ้มครองป้องกันช่วยเหลือสัตว์โลกให้รอดพ้นปลอดภัยจากภัยทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภัยพิบัติที่ต่อไปจะเริ่มเกิดรุนแรงขึ้น กระชั้นขึ้น ถี่ขึ้น ตามลำดับ เมื่อเราตั้งใจดีแล้ว ตั้งจิตเป็นกุศลแล้ว เราก็อธิษฐาน กำหนดจิต เริ่มที่จะเรียนวิชาแต่ละวิชา
วิชชาแรก สิ่งที่เราจะเรียนก็คือ การอาราธนาบารมีพระ ซึ่งที่จริงเราก็เคยฝึกกันมาอยู่แล้วในทุกครั้งในการเจริญพระกรรมฐาน เวลาที่เราต้องการที่จะคุ้มครองป้องกันอาณาบริเวณ คุ้มครองสถานที่เขตปริมณฑล เช่นบ้านเรือนเคหะสถาน หรือบุคคลจากภัยพิบัติทั้งหลาย สิ่งที่เราทำก็คือ ตั้งจิตน้อมอาราธนากระแสแห่งพระนิพพาน กระแสของพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ กระแสบุญจากพระนิพพานเป็นกระแสเป็นแสงสว่างเป็นลำลงมา พอสว่างลงมาแล้วก็คลุมบุคคลนั้นหรืออาณาบริเวณนั้น ถ้าสมมุติว่ามันเกิดเหตุการณ์ที่มันมีความคับขันมันมีอันตราย เราก็ขออาราธนาบารมีพระท่าน แล้วก็ขอให้บุคคลที่เราต้องการคุ้มครองนั้นให้เขาพนมมือนึกถึงพระ ภาวนาพุทโธก็ดี หรือสวดอิติปิโส หรือสวดเป็นคาถานะโมตัสสะ คือตามกำลังใจของบุคคลนั้นที่พอกระทำได้ แต่คือให้จิตเป็นสมาธิระลึกถึงพระพุทธองค์ตาม อันนี้ก็คือสิ่งที่เวลาเราจะนำไปใช้ในการคุ้มครอง อันนี้คือกรณีที่บุคคลที่เราช่วยสงเคราะห์นั้นเขามีความศรัทธา มีความเชื่อที่เราสามารถบอกกล่าวได้ แต่หากเป็นบุคคลที่เขายังไม่มีศรัทธาแต่เราอยากช่วย เราก็อาจจะไม่ต้องไปบอก ซึ่งบางทีบางครั้งไปบอกไปพูดมากก็กลายเป็นเขาปรามาส เกิดโทษกับตัวเขา เราก็ทำเฉยๆ กำหนดจิตอาราธนากระแสพุทธานุภาพลงมาคลุมบุคคลนั้นคุ้มครองไว้ แล้วก็อาราธนาขอบารมีพระ กำหนดนิมิตเป็นภาพองค์พระอยู่เหนือศีรษะของบุคคลนั้น ขอบารมีพระให้ท่านเมตตาดลจิตดลใจคุ้มครองให้บุคคลนั้น คิดในสิ่งที่เป็นกุศลในสิ่งที่เป็นสัมมาทิฐิ อันนี้ก็คือสิ่งที่เราสามารถช่วยเหลือสงเคราะห์ได้ อันนี้คือเรื่องของการอาราธนาบารมีพระคุ้มครอง
เวลาที่ขอบารมีพระคลุมนั้น จะมีตั้งแต่หนึ่ง เราน้อมกระแสนึกภาพให้องค์พระนั้นคลุมอยู่เหนือศีรษะของเราคือ พระเสด็จมาอยู่เหนือศีรษะของเรา หรือถ้าต้องการกำลังของพุทธานุภาพคุ้มครองมากกว่านี้ ก็กำหนดว่าเหมือนกับมีองค์พระองค์ใหญ่ องค์พระ 10 เมตร หน้าตัก 10 เมตร คลุมกายเราทั้งกาย เป็นองค์พระองค์ใหญ่ ไม่มีกำลังหรือสิ่งใดที่ทะลุเข้ามายังองค์พระได้
ตอนนี้ก็ให้เราทุกคนลองนึกภาพ กำหนดจิตตาม ว่ามีภาพองค์พระองค์ใหญ่ มีความหนา มีความแข็งแกร่งเป็นเพชร มีความแกร่งยิ่งยวด ไม่มีพลังงานลบ ไม่มีอวิชชา ไม่มีคุณไสย ไม่มีสิ่งใดที่จะทะลุทะลวงมาทำภยันอันตรายต่อกายต่อจิตของเราได้ เราก็กำหนดไว้แบบนี้ อันนี้ก็เป็นการที่เป็นวิชาปกติที่เราคนที่ได้มโนมยิทธิ คนที่มีจิตเข้าใจเรื่องกำลังของพุทธานุภาพก็ทำเป็นเรื่องปกติ ครูบาอาจารย์ท่านก็ทำกันเป็นปกติทุกสาย
คราวนี้ต่อมาอีกเรื่องหนึ่งก็คือ เรื่องของการที่เราอธิษฐานในการทำน้ำมนต์
การทำน้ำมนต์นั้นจริงๆแล้วก็มีอยู่ในพระพุทธศาสนาตั้งแต่ยุคของพุทธกาลคือ พระพุทธเจ้าทรงตรัสให้ทำน้ำมนต์ในยามที่เกิดโรคระบาด แล้วก็เกิดรัตนปริตรสูตร การที่เราในยามที่เกิดภัยพิบัติก็ดี เกิดโรคระบาดก็ดี ในการทำน้ำมนต์นั้น สามารถกระทำได้ตั้งแต่ 1_บุคคลที่ไม่ได้มีกำลังฌาน ไม่ได้มีกำลังอภิญญาสมาบัติ ไม่ได้มีกำลังของความเป็นทิพย์มากนัก คือเป็นสุกขวิปัสสโก ก็อาจจะอาศัยเพียงแค่อธิษฐานจิตนึกถึงพระพุทธเจ้า คุณของพระพุทธเจ้า ขอมาประสิทธิ์ประสาทให้น้ำมนต์มีความศักดิ์สิทธิ์ อันนี้คือวิสัยของสุกขวิปัสสโก
ส่วนอีกประเภทหนึ่ง วิธีการหนึ่งก็คือขอ คือบังเอิญมีแผ่นยันต์ทำน้ำมนต์บ้าง มีพระเครื่องที่ตนเองมีความเคารพศรัทธา ซึ่งพระนั้นถ้าหากเป็นพระที่เป็นพระโลหะหรือพระเหรียญ เราก็สามารถแช่ในน้ำเพื่อทำน้ำมนต์ได้ แต่ถ้าเป็นพระผงก็อาจจะทำให้องค์พระนั้นมีความเสียหาย อย่างพระคำข้าวหางหมากถ้าจะแช่ทำน้ำมนต์ก็ต้องมีการเลี่ยมกันน้ำก่อนถ้าจะไปแช่ทำน้ำมนต์ ที่จริงก็มีเหรียญทำน้ำมนต์ มีแผ่นยันต์เกราะเพชร แผ่นยันต์ทำน้ำมนต์โดยเฉพาะ เวลาที่บุคคลที่เขาไม่ได้ความเป็นทิพย์ เขาก็ใช้การอาราธนาพระไปแช่ในน้ำและอธิษฐาน คือไม่ได้นึกภาพไม่ได้นึกความเป็นทิพย์ แต่สำหรับเราที่ฝึกที่ปฏิบัติมาถึงจุดนี้กัน ถึงแม้ว่าเราอาราธนาพระ เหรียญทำน้ำมนต์ก็ดี พระเครื่องก็ดี แผ่นยันต์ทำน้ำมนต์ แผ่นยันต์เกราะเพชรลงไปในน้ำด้วยก็ดี เราก็ต้องนึกภาพให้กระแสกำลังพุทธานุภาพของพระพุทธองค์ลงมาจากบนพระนิพพานเป็นลำลงไปในน้ำ องค์พระหรือแผ่นยันต์นั้นเกิดความสว่างเกิดความเป็นทิพย์ น้ำนั้นเกิดความเป็นเพชร เกิดประกาย เกิดแสงสว่าง จะขัน จะภาชนะ จะเป็นพานที่เราใส่น้ำมนต์นั้น สว่างกลายเป็นเพชร พอเราเห็นแบบนี้กำหนดจิตว่า กำลังพุทธานุภาพมาประสิทธิ์ประสาท จะว่าคาถากำกับด้วยก็ได้ หรือจะเสกเป่าไปด้วยก็ได้ ขึ้นอยู่กับกำลังใจ แต่ของเรา พูดถึงถ้ากำลังสมาธิได้ กำลังจิต กำลังความเป็นทิพย์ได้ ความศรัทธาได้ น้ำมนต์ที่ตั้งจิตอธิษฐานก็มีความศักดิ์สิทธิ์เพราะจิตเรามีความเป็นทิพย์จากฌานสมาธิ มีความเคารพในพระรัตนตรัย จิตเชื่อมกระแสกับพุทธานุภาพลงมาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลใดที่ตั้งกำลังใจตัดสังโยชน์ 3 ประการ หรือก้าวเข้าสู่ความเป็นพระโสดาบัน คืออยู่ในโสดาปัตติมรรค จิตของปุถุชนที่มีความหนาแน่นด้วยกิเลสยังไม่ได้ปรารถนาพระนิพพานแต่มีฌานสมาบัติ ความศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่เท่ากับจิตของบุคคลที่ก้าวเริ่มเข้าเข้าสู่เขตของความเป็นอริยเจ้า เพราะ 1 อภิญญาที่เกิดขึ้นนั้นเป็นโลกุตระอภิญญา 2 ด้วยจิตที่ปรารถนาในพระนิพพาน จิตจึงมีความศรัทธา มีความเคารพ ต่อพระพุทธองค์มากกว่าประชาชนทั่วไป
ดังนั้นกระแสที่สามารถเชื่อมกำลังพุทธานุภาพลงมา กำลังพุทธานุภาพที่อาราธนาลงมาได้ก็มีกำลังมากกว่าบุคคลที่เป็นปุถุชน ถึงแม้ว่าทรงอภิญญาทรงฌานสมาบัติ ดังนั้นยิ่งกำลังใจเราปรารถนาจะไปพระนิพพานชาตินี้ ปฏิบัติตัดสังโยชน์ ถ้าเราจะทำน้ำมนต์ ตัดสินใจจะทำน้ำมนต์ ความลังเลสงสัยว่าน้ำมนต์นั้นจะศักดิ์สิทธิ์ไม่ศักดิ์สิทธิ์ต้องไม่มีในจิตเรา เหตุผลเพราะอะไร เหตุผลเพราะว่าจริงๆเราคิดว่าเราเป็นคนทำน้ำมนต์ หรือเป็นน้ำมนต์ที่พระพุทธองค์ท่านทรงประสิทธิ์ประสาทให้ ถ้าเรามั่นใจมั่นคงว่าพระพุทธองค์ท่านทรงประสิทธิ์ประสาทให้ ความสงสัยว่าจะเกิดผลหรือไม่ ศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ จะไม่มีในจิตของเรา ดังนั้นเมื่อไรก็ตามที่เราเข้าใจแก่น ความเข้าใจที่อาจารย์ได้อธิบายนี้ เราก็จะเกิดจิตที่ศักดิ์สิทธิ์ขึ้น อันนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลที่ปฏิบัติเพื่อปรารถนาในพระนิพพานในชาตินี้
อันนี้พอเราเข้าใจในเรื่องหลักการอาราธนา คราวนี้เราอธิษฐานสิ่งใด ความศักดิ์สิทธิ์ก็เริ่มเกิดขึ้น พอจิตเราเริ่มศักดิ์สิทธิ์ เกิดผลเพิ่มขึ้นมากขึ้นไปเรื่อยๆ ตัวเราเองนี่ก็เกิดความมั่นคงในไตรสรณคมน์ มั่นใจในการปฏิบัติ มั่นใจว่าพุทธานุภาพนั้น ท่านมีจริงและท่านก็ยังผลเกื้อกูลสงเคราะห์ยังประโยชน์ให้กับเราได้จริง อันนี้ให้จิตของเราเร่งก้าวข้ามความสงสัยเร่งก้าวข้ามไป พอเราทำได้จุดนี้ก็จะเป็นประโยชน์กับส่วนรวม เวลาที่เราทำสิ่งต่างๆ ก็ทำเพื่อการเกื้อกูลสงเคราะห์ ถ้าจิตของเรามีความตั้งมั่นเต็มที่ ไม่มีวัตถุมงคลใดเลยก็ตาม เรากลั้นใจกำดินขึ้นมากำไว้ อธิษฐานจิตนึกถึงพระพุทธเจ้า ดินนั้นก็กลายเป็นปฐวีภาคถูกกลั่นด้วยกำลังของพุทธานุภาพ ด้วยกำลังของจิต ก็เกิดความศักดิ์สิทธิ์ได้เช่นกัน ดังนั้นธาตุดินน้ำลมไฟทั้งหลายที่เราประกอบกับความศรัทธาในพระรัตนตรัย เราก็สามารถที่จะอาราธนาให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ได้
จำไว้เสมอตามที่ครูบาอาจารย์หลวงพ่อพระราชพรหมยานหลวงพ่อฤาษีท่านสอน ความศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ใช่กำลังใจที่เราสร้างที่เราเสก แต่ความศักดิ์สิทธิ์นั้นเกิดขึ้นด้วยกำลังของพุทธานุภาพ ยิ่งจิตศรัทธาว่าพุทธานุภาพไม่มีประมาท สิ่งที่เราอธิษฐานก็มีความศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีปัญหา ถ้าจิตเรามีความเชื่อครึ่งๆกลางๆ ลังเลสงสัย จะได้ผล ไม่ได้ผล จะเกิดผล ไม่เกิดผล เราอารานาได้ ได้หรือไม่ได้ วัตถุนั้น สิ่งของนั้น น้ำมนต์นั้น หรือกำลังที่เราอธิษฐานนั้น มันก็เป็นไปตามจิตของเรา แต่ถ้าเราจิตเราตั้งมั่นในพุทธานุภาพอย่างถึงที่สุด อย่างมอบกายถวายชีวิต อย่างไม่มีความลังเลสงสัย ทุกสิ่งที่เราอธิฐานก็มีความศักดิ์สิทธิ์เต็มกำลัง
ตอนนี้ก็ให้เราทุกคนตั้งจิตอธิษฐาน ตอนนี้ถ้าใครห้อยสร้อยคอ มีวัตถุมงคลอยู่ ก็อธิฐานจิต ขออาราธนาบารมีกำลังพุทธานุภาพมาผนึกในพระเครื่อง ในวัตถุมงคลที่เราบูชา ที่เราสวมใส่นี้ เห็นเป็นเพชรประกายพรึกสว่างไปทั่วจักรวาล อารมณ์จิตผ่องใส
จากนั้นก็ตั้งกำลังใจว่า และในแต่ละวัน ในเมื่อเหตุการณ์ต่างๆบนโลกมนุษย์มีความวุ่นวายมากขึ้น ทั้งภัยพิบัติก็ดี ทั้งโรคภัยไข้เจ็บก็ดี ทั้งภัยทางด้านเศรษฐกิจก็ดี ข้าพเจ้าจะเพิ่มกำลังใจความเข้มข้นในการปฏิบัติให้เพิ่มขึ้น เริ่มต้นตั้งแต่เช้าที่ตื่นขึ้น เราก็ตั้งใจกราบพระ กราบให้ถึงพระพุทธองค์บนพระนิพพาน กราบถึงสมเด็จองค์ปฐมบนพระนิพพาน ตั้งจิตว่ามอบกายถวายชีวิตต่อพระพุทธองค์ถ้าตายไปในวันนี้ก็ขออยู่กับพระพุทธเจ้าปางพระนิพพานคราวนี้เวลาที่เราอาบน้ำก็กำหนดจิต มีกระแสพุทธานุภาพลงมา น้ำที่เราตักเป็นน้ำทิพย์เป็นน้ำมนต์ทุกครั้งที่เราตักน้ำ ชำระล้างอวิชชาคุณไสย บาปเคราะห์ เสนียดจัญไร ขอให้สลายล้างออกไปจากร่างกายของเรา เวลาตักน้ำอาบก็อธิษฐานแบบนี้ หรือปัจจุบันอาบฝักบัวก็กำหนดให้เห็นสายน้ำเป็นน้ำมนต์เป็นน้ำทิพย์เป็นสายลงมา ล้างกายล้างจิต ล้างอวิชชา ล้างคุณไสย ล้างมลทิน ล้างอกุศล ล้างความคิดชั่วความคิดเลวความคิดร้าย ล้างกายล้างจิตในทุกครั้ง ในขณะที่ต่อมาเราทานข้าว อธิษฐานจิตจับจานข้าวนึกให้เป็นเพชรประกายพรึก ยกถวายข้าวพระบนพระนิพพานทุกมื้อ 3 มื้อ กินกี่มื้อกินของว่างกินน้ำ เราอธิษฐานเสก ขอให้เป็นเพชร หากน้ำอาหารมีเชื้อโรค มีอวิชชา มีคุณไสย มีของ มีมนต์ดำ ที่ใครก็ตามที่เขาคิดร้าย หรือบังเอิญใส่มา จะเจตนาไม่เจตนา เวลาที่เราจับจานอาหาร
อธิษฐานเห็นพรึบเป็น อาหารทุกอย่าง จาน น้ำ กลายเป็นเพชร กลายเป็นแก้ว กลายเป็นทิพย์ทั้งหมด ยกถวายพระ พอยกถวายพระแล้วลาลงมา อาหารกลายเป็นอาหารทิพย์ น้ำกลายเป็นน้ำมนต์ น้ำเป็นน้ำทิพย์ ใครป่วยก็อธิษฐานรักษาโรค อาหารก็กลายเป็นทิพโอสถรักษาโรค น้ำก็กลายเป็นน้ำมนต์รักษาโรค แล้วก็ทำแบบนี้ไปทั้งวัน กินกี่มื้อเราก็กำหนดจิตอธิษฐานแบบนี้ พอถึงเวลาก่อนนอนเราก็กำหนดจิตว่า ขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ พิจารณาตัดตาย ถ้าตายไปคืนนี้ร่างกายก็เหมือนกับซากศพ เราพิจารณาปล่อยวาง ทรัพย์สินบ้านเรือน บุคคล ตัดห่วง ตัดความอาลัย ตัดความอาวรณ์ในทุกสิ่ง พอพิจารณาตัดจนหมดแล้วก็ตั้งใจว่า เราตัดห่วงตัดอาลัยทั้งหลาย ตัดภพจบชาติ ขอยกจิตขึ้นไปบนพระนิพพานตั้งแต่หลับยันตื่น ก็เท่ากับเราทรงอารมณ์อยู่บนพระนิพพาน ถ้าตายไปคืนนี้ก็ขออยู่กับพระพุทธองค์บนพระนิพพาน จริงๆทำให้ได้แค่นี้ทุกวัน อารมณ์จิตเราก็ถือว่าเข้มข้น พอถึงเวลาเรานั่งสบายๆจับลม ก็นึกถึงทรงภาพพระตลอด อารมณ์ใจสบายๆก็สวดคาถาเงินล้านด้วยอารมณ์สบาย กำหนดจิตว่าไปสวดอยู่บนพระนิพพาน อธิษฐานว่ากายทิพย์กายพระวิสุทธิเทพนั่งสวดสบายๆโดยตรงอยู่กับพระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านผู้เป็นเจ้าของคาถา อธิษฐานว่าขอให้กำลังแห่งการสวดคาถาเงินล้าน คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น พระปัจเจกพระพุทธเจ้าองค์ต้นวิชาได้เมตตาประสิทธิ์ประสาทรับรู้รับทราบ และเพิ่มกำลังให้ผลอานิสงส์ในการสวดนั้น มีความอัศจรรย์เพิ่มขึ้นด้วยเถิด เราก็ทำแบบนี้ไป พอกำลังใจที่เราใช้งาน ยิ่งทำยิ่งใช้จนกลายเป็นปกติ ก็ให้เราสังเกตดูว่า 1 พอเราทรงอารมณ์ความเป็นทิพย์มากเข้าบ่อยเข้า บางครั้งเพียงแค่จังหวะที่เรานึกอยากได้อะไร เราก็ได้โดยที่บางครั้งไม่ต้องดิ้นรนไม่ต้องเอ่ยปาก ทำอะไรมันก็มีแต่ความคล่องตัว ทำอะไรก็มีแต่คนรักคนเมตตาเป็นปกติ พยายามทรงอารมณ์ใจไว้ให้ได้แบบนี้ เราปฏิบัติกรรมฐาน จิตยิ่งละเอียดยิ่งอ่อนโยน ยิ่งปราณีตยิ่งมีเมตตา ยิ่งเปลี่ยนจิตของเราเป็นสภาวะแบบนี้ได้มากเท่าไร ความเป็นทิพย์อภิญญาจิตทั้งหลาย ยิ่งเกิดยิ่งปรากฏเพิ่มขึ้นมากขึ้นเพียงนั้น
ตอนนี้ก็เรากำหนดจิตอธิษฐาน ให้เห็นกายพระวิสุทธิเทพของเราสว่างแพรวพราวเป็นทิพย์เป็นสุข ทรงอารมณ์แห่งความสุขความผ่องใส “นิพพานัง ปรมังสุขัง” พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง กำหนดจิตว่า ถ้าเกิดภัยพิบัติ เกิดโรคภัยไข้เจ็บ เราตายไป เราก็ขออยู่กับพระพุทธองค์บนพระนิพพาน ดังนั้นภัยพิบัติจะเกิดขึ้น ใจเราก็ไม่ทุกข์ไม่ได้หล่นจนเกินไป แต่หากข้าพเจ้ายังมีวาระที่ต้องอยู่ช่วยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาสืบต่อไป เข้ายุคชาววิไล ก็ขอให้ข้าพเจ้าอยู่รอดปลอดภัย พระคุ้มครองบุญรักษา เทวดาพรหมคุ้มครองรักษา แคล้วคลาดจากภัยพิบัติทั้งปวง ปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งปวง
จากนั้นกำหนดจิตทรงอารมณ์ในกายพระวิสุทธิเทพไว้ จิตสว่างผ่องใส กำหนดอธิษฐานขอให้ข้าพเจ้ามีกำลังใจในการปฏิบัติ ขอให้ข้าพเจ้ามีบารมีเต็มในวิริยะบารมีในความเพียร มีความสม่ำเสมอในการปฏิบัติ และก็ขอให้พระพุทธองค์ท่านทรงมีพระพุทธเมตตา ประทานความศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์ ขอให้เกิดปาฏิหาริย์กับการปฏิบัติธรรมของข้าพเจ้า จะเป็นสิ่งใดก็ตาม ก็ขอให้ปรากฏขึ้นจนจิตข้าพเจ้ายิ่งกระจ่างแจ้งในพุทธานุภาพที่ท่านเมตตาสงเคราะห์เกื้อกูลข้าพเจ้าด้วยเถิด ใครที่มีพระธาตุก็ขอให้พระธาตุท่านใสขึ้นเสด็จมาเพิ่มองค์ใหญ่ขึ้น จิตที่นึกเกิดความสมปรารถนา เกิดมีความคล่องตัว การปฏิบัติธรรมส่งเสริมเกื้อกูลให้ชีวิตทางโลก ปัดเป่าคลายจากวิบาก คลายจากความทุกข์ คลายจากความยากลำบาก วิบากกรรมจงคลายตัวจงบรรเทาจงสลายไปในที่สุด อธิษฐานขอให้บุญจงส่งผล เกิดความสว่างผ่องแผ้ว อารมณ์จิตที่เป็นสุขเพิ่มขึ้นมากขึ้น จิตเข้าถึงความสงบความเบาความสบายได้นานขึ้นมากขึ้น ความเร่าร้อนที่เคยแผดเผาใจดับลงคลายลงสลายตัวลงไป บุคคลที่เคยกระทบเคยสร้างความสะเทือนใจกับเราก็เบาลงห่างไปคลายออกไปหายไปจากชีวิตของเรา ขอให้เมื่อปฏิบัติธรรมแล้ว ปฏิบัติตรงแล้ว ก็ขอให้มีแต่สิ่งดีๆหลั่งไหลเข้ามาสู่ชีวิตของข้าพเจ้าด้วยเถิด แล้วก็ให้เรากำหนดใจของเรา ทบทวนย้อนดูว่า เมื่อเราปฏิบัติธรรม เมื่อเราตั้งกำลังใจตรงตั้งกำลังใจถูก มาปฏิบัติธรรมแล้วจิตต้องผ่องใส จิตอย่ามีความซึมเศร้า จิตเราอย่าเศร้าหมอง จิตเราอย่าน้อยอกน้อยใจ จิตเราต้องมีความอิ่มความเต็ม ความปิติ ความปรีดาปราโมทย์ ความผ่องใส ความผ่องแผ้ว ความประภัสสร จำไว้ว่าอารมณ์ใจที่เราคิดพิจารณาทุกข์จนจิตเศร้าหมองก็ถือว่าเป็นอารมณ์ที่เป็นอกุศลจิต พิจารณาแล้ววาง วางแล้วต้องผ่องใส วางแล้วต้องเบา วางแล้วต้องคลาย วางแล้วต้องเป็นสุข
กำหนดจิตเราตอนนี้ให้ผ่องใสสว่างเป็นสุข กำหนดว่าธรรมที่ปฏิบัติยังประโยชน์สุข ตั้งแต่การมีชีวิตทางโลกความทุกข์คลายตัว ธรรมที่ปฏิบัติก่อให้เกิดอภิญญาจิต เกิดความศักดิ์สิทธิ์ เกิดความอัศจรรย์ จิตเรายิ่งปฏิบัติจิตยิ่งเข้าถึงความศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์ ธรรมที่ยิ่งปฏิบัติจิตเรายิ่งเกิดเมตตา จิตยิ่งเกิดความร่มเย็น จิตยิ่งเกิดความผ่องใส ตอนนี้น้อมให้ใจเราเอิบอิ่มผ่องแผ้วสว่าง อธิษฐานขอให้กรรมฐานได้นำไปใช้งานยังประโยชน์ให้เกิดขึ้นทั้งทางโลกทางธรรม ขอให้ประโยชน์ทางธรรมก็ล้ำเลิศ ประโยชน์ทางโลกก็ประเสริฐที่สุด กายจิตตอนนี้สว่าง กายยิ้มจิตยิ้ม เอิบอิ่มผ่องใส ตั้งใจว่านับแต่นี้ กำลังของพุทธานุภาพท่านมาประสิทธิ์ประสาท จิตมีความศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์ นึกถึงสิ่งใดก็สำเร็จสมความปรารถนา ภยันอันตรายทั้งหลายก็แคล้วคลาด มีแต่ความปลอดภัย เหล่าคนพาลมิจฉาชีพก็หลีกเร้นห่างหาย ไม่อาจกล้ำกายไม่อาจเข้าใกล้ได้ ทรงอารมณ์ผ่องใส กายพระวิสุทธิเทพสว่างเป็นเพชรประกายพรึก
อธิษฐานจิต อาราธนาขอน้อมกระแสจากพระนิพพาน แผ่เมตตาลงมายังสามภพภูมิ กระแสบุญ กระแสพระพุทธเมตตา กระแสบุญศักดิ์สิทธิ์ จากพระนิพพานที่พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ บำเพ็ญมาดีแล้ว ขอแผ่ลงมายังภพของอรูปพรหมทั้ง 4 พรหมโลกทั้ง 16 ชั้น อากาศเทวดาทั้ง 6 ชั้น รุกขเทวดาภูมิเทวดาทั่วอนันตจักรวาล มนุษย์และสัตว์ที่มีขันธ์ 5 กายเนื้อทั่วอนันตจักรวาล ดวงจิตโอปปาติกะสัมภเวสี ชาวเมืองบังบดลับแล ผู้ที่อยู่ในมิติที่ทับซ้อนทั้งหลายทั่วจักรวาล แผ่เมตตาให้กับบรรดาเปรตอสุรกาย ลงไปจนถึงสัตว์นรกทุกขุมในนรกภูมิสามภพภูมิ ขอกระแสแห่งพระนิพพาน กระแสบุญ กระแสแห่งเมตตาแผ่ไปถึงทุกดวงจิต ท่านที่เป็นสุขอยู่แล้วก็ขอให้สุขยิ่งขึ้นไป ท่านที่เป็นทุกข์ประสบความทุกข์ก็ขอให้พ้นทุกข์ สลายจากความทุกข์ สลายจากอกุศล เข้าสู่กุศล จิตเข้าถึงบุญ จิตละเว้นบาป จิตละเว้นการเบียดเบียน ขอกระแสเมตตาจงส่องสว่างยังประโยชน์สุข ยังสันติสุขให้เกิดขึ้นกับสังสารวัฏนี้ด้วยเถิด บุญจงส่องสว่างในทุกดวงจิต สันติภาพสันติสุขความร่มเย็นจงเกิดขึ้นในทุกดวงจิต แผ่กระแสเมตตาสว่างลงมาจากพระนิพพานลงมา จิตเรายิ่งยินดีมีความอิ่ม มีความสุข มีความผ่องใส กายทิพย์สว่าง กายพระวิสุทธิเทพสว่าง พิจารณาซ้ำว่าเราไม่ใช่ขันธ์ 5 กายเนื้อกายหยาบ เราเป็นเพียงจิตที่มาอาศัยขันธ์ 5 กายเนื้อนี้เพียงชั่วคราว และ ณ บัดนี้ เรามีคติที่ไปคือพระนิพพาน นับแต่นี้กายทิพย์เราจะทรงสภาวะแห่งการเป็นกายพระวิสุทธิเทพ กายทิพย์นี้กายพระวิสุทธิเทพนี้จะเป็นกายสุดท้าย กายนี้จะออกจากสังสารวัฏอย่างปราศจากความอาลัย ตัดภพจบชาติในสังสารวัฏนี้อย่างถาวร จิตเกาะอยู่กับเพียงพระนิพพานเพียงจุดเดียว กำหนดน้อมพิจารณา กายพระวิสุทธิเทพสว่างผ่องใส
จากนั้นกำหนดจิตอธิษฐาน กราบลาพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ อธิษฐานจิตขอครูบาอาจารย์ หลวงปู่หลวงพ่อหลวงตาครูบาอาจารย์ที่ท่านมีวาสนาบารมีเกี่ยวพันโดยตรงกับข้าพเจ้า เมตตาปรากฎกายทิพย์มาให้ข้าพเจ้าได้กราบได้สักการะได้รำลึกถึงพระคุณท่านด้วยเถิด จากนั้นกราบลาทุกท่านทุกๆพระองค์ ด้วยความเคารพ ด้วยความรู้สึกนอบน้อม ด้วยความรู้สึกสำคัญอีกจุดหนึ่ง ว่าเราสามารถอยู่กับท่าน กราบท่านได้เสมอตลอดเวลา ไม่เฉพาะเวลาที่เราฝึกปฏิบัติ นึกถึงท่านเมื่อไร กายทิพย์เราถึงท่านได้ กราบท่าน กราบเรียน กราบทูลถามท่านได้ตลอดเวลา ก้าวพัฒนาจิตให้เข้าถึงจุดนี้กำลังใจให้ถึงจุดนี้กันให้ได้ทุกคน
เมื่อกราบลาแล้วก็อธิษฐานจิต ขอน้อมกระแสจากพระนิพพานลงมา ส่องตรงมายังกายเนื้อขันธ์ 5 บนโลกมนุษย์พร้อมกับพุ่งจิตกลับลงมา อธิษฐานขอกระแสพระนิพพานลงมาชำระล้างฟอกธาตุขันธ์ ธาติธรรมฟอกธาตุขันธ์ สลายโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง ผมขนเล็บฟันหนังจงเป็นแก้วใส ธาตุดินน้ำลมไฟจงกลายเป็นแก้วใสบริสุทธิ์ โครงกระดูกทั่วร่างจงกลายเป็นแก้วใสบริสุทธิ์ หลอดเลือดเส้นเอ็นจงสะอาด ชำระล้างกลายเป็นแก้วใสบริสุทธิ์ เซลล์ทุกเซลล์อวัยวะทุกส่วนกล้ามเนื้อทุกมัดจงกลายเป็นแก้วใสบริสุทธิ์ อาการทั้ง 32 อวัยวะทั่วร่างกายจงกลายเป็นแก้วใสบริสุทธิ์ ธาตุธรรมฟอกธาตุขันธ์ โรคภัยไข้เจ็บเซลล์มะเร็งเซลล์เนื้องอกเซลล์ที่ผิดปกติ จงสลายตัวไปในที่สุด
จากนั้นอธิษฐาน ขอกระแสบุญจากพระนิพพาน เปิดสายบุญสายทรัพย์สายสมบัติของข้าพเจ้า ขอจงหลั่งไหลลงมา ขอจงมีความคล่องตัว ขอจงเป็นเบี้ยต่อไส้ เป็นความคล่องตัว เป็นมนุษย์สมบัติ ที่หล่อเลี้ยงชีวิตข้าพเจ้าอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย สามารถมีกำลัง ในการทำบุญสร้างกุศลทำนุบำรุงส่วนรวม ทำนุบำรุงดูแลรักษาท่านผู้มีพระคุณพ่อแม่ ดูแลรักษาครอบครัว มีความคล่องตัวทุกประการด้วยเถิด
จากนั้นตั้งจิต ขอโมทนาสาธุกับกัลยาณมิตรที่ปฏิบัติธรรมในห้องเมตตาสมาธิทั้ง 89 ท่านในวันนี้ รวมถึงท่านที่มาฟังในภายหลัง กำลังใจกำลังจิตที่ก้าวขึ้น ฌานสมาบัติที่สูงขึ้น ความเพียรในการปฏิบัติที่เพิ่มพูนขึ้นของแต่ละท่านแต่ละบุคคล ข้าพเจ้าขอโมทนาและมีส่วนร่วมด้วยเถิด
จากนั้นหายใจเข้าช้าๆลึกๆ 3 ครั้ง หายใจเข้าพุท ออกโธ จิตเข้าถึงพระพุทธเจ้า ครั้งที่ 2 ธัมโม จิตน้อมแนบอยู่กับกระแสพระธรรม ครั้งที่ 3 สังโฆ จิตเคารพศรัทธาในครูบาอาจารย์พระอริยเจ้าพระอริยสงฆ์ทุกๆพระองค์
จากนั้นจึงค่อยๆลืมตาถอดจิตช้าๆจากสมาธิด้วยจิตอันเป็นสุข ด้วยจิตอันเป็นกุศล ด้วยจิตอันเอิบอิ่มผ่องแผ้ว
สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน มีข่าวประชาสัมพันธ์ในเรื่องการจัดสร้างพระเจ้าองค์แสนดวงจิตพระนิพพาน ในวาระที่เราได้ทำบุญถวายผ้าไตร ถวายปัจจัยในบุญบูชาพระเขี้ยวแก้วที่ประเทศศรีลังกา ก็มีข่าวดีที่ทำตัวแทนคือคุณหนุ่ยกับคุณอ๊อฟที่ได้เดินทางไปเป็นตัวแทนกลุ่มเมตตาสมาธิของพวกเราทุกคน ได้อัญเชิญแผ่นทองเขียนคำอธิษฐาน ซึ่งพระสังฆราชของศรีลังกาทั้งสองนิกายได้เมตตาจารคำอธิษฐาน ในการสร้างพระเจ้าองค์แสนดวงจิตพระนิพพานให้ทั้งสองพระองค์ อันนี้ก็ถือว่าเป็นสิริมงคลเป็นบารมีกับเราทุกคน ในฐานะที่เราทุกคนมีส่วนร่วมในการจัดสร้าง ก็ขอแจ้งให้เราโมทนา
สำหรับแผ่นทองก็ขอให้เราทุกคนคนไหนที่ตกค้างอยู่เขียนข้างอยู่ก็พยายามรวบรวมและจัดส่งขึ้นมาในกำหนดเวลาที่ได้ประกาศ พยายามจัดการรวบรัดให้เร็วขึ้น เพราะเดี๋ยวอีกไม่นานก็จะเข้าสู่ช่วงของการงานหล่อพระเจ้าองค์แสนดวงจิตพระนิพพาน ซึ่งตรงนี้ก็อยากเชิญชวนพวกเราทุกคนในฐานะที่ร่วมได้อธิษฐานจิต ได้มาร่วมในงานหล่อ ซึ่งจะหล่อที่โรงหล่อองค์ปฐม ใกล้วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี แล้วก็ใครมีจิตศรัทธา หรือมีกำลังพอที่จะช่วยเป็นต้นบุญ คือบอกบุญกระจายข่าวรวบรวม ในการที่จะจัดหาทองคำที่จะมาหล่อจะมาเสริมตรงนี้ก็ต้องรีบรวบรวมก่อนวันหล่อ จะได้มอบให้โรงหล่อเขาในการหล่อในวันหล่อ อันนี้ใครมีจิตศรัทธาก็สามารถจะถวายทองคำได้ ตอนนี้ทางคณะทีมงานก็เริ่มที่จะลองรวบรวมดูแล้ว อันนี้ก็ขึ้นอยู่กำลังศรัทธา ตามกำลังของเราตามที่พอไหว เพราะตอนนี้ทองคำก็ขึ้นแพงมากเหลือเกิน วันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน ภัยพิบัติมันก็ค่อนข้างจะมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น เดือนพฤษภาคมนี้น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงหลายๆเรื่องทั้งเหตุบ้านการเมืองด้วย สงครามที่มาประชิดชายแดนด้วย สงครามในระดับโลกอาจจะมีการประกาศแต่คาดว่าไม่มีผลกระทบกับเรา แล้วก็อาจจะมีภัยพิบัติเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม อันนี้ก็ให้เราไม่ประมาทไว้ก่อน คำว่าไม่ประมาทไว้ก่อน ก็พิจารณาว่าตายเมื่อไรเราไปพระนิพพาน แต่ถ้าเรามีชีวิตเรามีกำลัง เราพอเตรียมตัวบางอย่างได้ เราก็เตรียมเท่าที่จะเตรียมได้ แต่ถ้าเราเฉพาะชีวิตทางโลกก็เหนื่อยหนักแล้ว เราก็ไม่ต้องไปทุกข์ไปวุ่นวายกับมันมากเกินไป สิ่งสำคัญก็คือ ในเมื่อภัยพิบัติมันเกิดหรือมีแนวโน้มจะเกิด เราก็มาเร่งความเพียรเร่งปฏิบัติให้มากขึ้น ตรงนี้ก็จะตรงจุดมากกว่า สุดท้ายภัยในสังสารวัฏที่น่ากลัวที่สุดก็คือการเวียนว่ายตายเกิด ภัยพิบัติมันก็ไม่น่ากลัวเท่าภัยในวัฏสงสาร พลาดไปทีร่วงลงนรกภัย พิบัติบางทีเราโดนหนเดียวโดนไปแป๊บเดียวมันตายละ แต่ล่วงลงนรกนี่ตายแล้วตายอีก เกิดใหม่กลับมามีร่างใหม่ ตายใหม่โดนแทงใหม่ โดนเผาใหม่ซ้ำไปซ้ำมา ถึงบอกว่าที่จริงแล้วภัยในสังสารวัฏน่ากลัวกว่า
สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน ให้ทุกคนเกิดปัญญาในธรรม เกิดกำลังใจในการปฏิบัติ เกิดความเพียร เกิดจิตที่มีความศักดิ์สิทธิ์ในการปฏิบัติธรรมกันทุกคน สวัสดี
ถอดเสียงและเรียบเรียง โดย คุณ Be Wilawan