เสียงธรรมจากห้อง “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”
วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน 2568
เรื่อง การปล่อยวางก่อนยกจิตขึ้นพระนิพพาน
โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค
กำหนดสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ผ่อนคลายร่างกายกล้ามเนื้อทุกส่วน ปลดปล่อยความเชื่อมโยงความห่วง ผัสสะความรู้สึกที่เกี่ยวเนื่องกับร่างกาย ผ่อนคลายปล่อยวางพร้อมกับการตัดขันธ์ห้า กำหนดความรู้สึกที่ปล่อยวางเป็นความสงบ ความสงบของจิตเกิดขึ้นจากการตัดกาย ปล่อยวางขันธ์ห้าร่างกาย กำหนดจนจิตสามารถรำลึกรู้ได้ด้วยตนเอง กระจ่างแจ้งได้ด้วยตัวเอง ตัดกายปล่อยวางร่างกายแล้วปรากฏความสงบ ทรงสภาวะอารมณ์ของความสงบจากการปล่อยวาง วางกาย วางจิต คือวางความวุ่นวายความฟุ้งซ่าน ปล่อยวางทั้งกายและจิต อยู่กับความสงบ สมถะพร้อมรวมกับวิปัสสนาญาณ วิปัสสนาญาณจากการปล่อยวางส่งเสริมสมถะ
กำหนดจดจ่อหยุดกับอารมณ์ความสงบ ให้จิตสามารถทรงสมาบัติได้อย่างทรงตัว สงบ ปล่อยวาง วางกาย วางความวุ่นวายของจิต
เมื่อความสงบของใจเราทรงตัวดีแล้ว เราก็เริ่มปฏิบัติเดินจิตยกกำลังสมถะสมาธิให้ถึงจุดที่สูงที่สุด เจริญสมถะสมาธิเต็มกำลัง เพื่อใช้เป็นเครื่องเป็นแรงผลักดันในการตัดกิเลส จินตภาพกำหนดรู้ในลมหายใจ จินตภาพเห็นลมหายใจเป็นเหมือนกับแพรวไหมเป็นประกายระยิบระยับ พลิ้วเข้าออกในกายต่อเนื่องราบรื่นตลอดสายตลอดทั้งกองลม ลมหายใจที่เหมือนกับแพรวไหมพลิ้วผ่านเข้าออก
สติกำหนดดูกำหนดรู้อยู่กับลมหายใจตลอดทั้งสายตลอดทั้งกองลมนั้น ลมหายใจละเอียดราบรื่นต่อเนื่องลื่นไหล ยิ่งลมหายใจละเอียด จิตยิ่งมีความเบาความสงบความสบาย จดจ่ออยู่กับลมหายใจสบาย จดจำอารมณ์สบายและลมหายใจที่สบายนี้ ว่าอานาปานสติเป็นเครื่องระงับความฟุ้งซ่านความวุ่นวายและนิวรณ์ทั้งห้าประการ ลมหายใจยิ่งละเอียด สงบ ราบรื่น บ่งบอกว่าจิตของเรามีความสงบ มีความสบาย มีความตั้งมั่น ยิ่งลมหายใจละเอียด สมาธิ ฌาน ยิ่งมีกำลังสูงขึ้น คุมลมหายใจให้อยู่ในสภาวะเป็นลมละเอียดสบาย คุมลมหายใจได้ คุมพลังได้ คุมปราณได้ คุมจิตได้ ลมหายใจละเอียดราบรื่น สงบ เบา สบาย ลมหายใจละเอียดราบรื่นสงบแต่เปี่ยมพลัง ทรงสภาวะความสงบไว้ ลมหายใจละเอียดขึ้นอีก เบาขึ้นอีก จนกระทั่งเข้าสู่ฌานสี่ของอานาปานสติ ลมหายใจสงบระงับ หยุดจิต นิ่งหยุด หยุดการปรุงแต่ง ทรงสภาวะที่จิตหยุดนิ่งเป็นเอกัคคตารมณ์ไว้ ลมหายใจหยุด การปรุงแต่งความคิด หยุดเป็นตัวสำเร็จ
เมื่อทรงสภาวะทรงอารมณ์ได้ มีความตั้งมั่นได้ เดินจิตต่อไป จากอานาปานสติขึ้นสู่กสิณ จากจุดที่อยู่หยุด จินตภาพให้ปรากฏขึ้นชัดเจนกลายเป็นดวงแก้วใสขึ้นสว่างขึ้นมีขนาดใหญ่ขึ้น จากจุดขนาดใหญ่ขึ้นจนเป็นดวงแก้วขนาดใหญ่ กำหนดรู้อยู่ดวงแก้วยิ่งมีขนาดใหญ่เท่าไรสว่างเท่าไร จิตเรายิ่งเป็นสุข จิตเรายิ่งเปี่ยมพลัง กำหนดรู้ว่าเราทรงสภาวะของกสิณในอุคคหนิมิต เชื่อมโยงภาพนิมิตเป็นหนึ่งเดียวกับจิต จิตคือกสิณ กสิณคือจิต
จิตตานุภาพกำลังฌานกำลังความเป็นทิพย์ของกสิณปรากฏขึ้นเพียงใด จิตเรามีกำลังอภิญญามีพลังของความเป็นทิพย์เฉกเช่นเป็นหนึ่งเดียวกับภาพนิมิตของกสิณนั้นด้วยเช่นกัน
เมื่อกำหนดเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวเป็นกสิณจิตแล้ว เราก็กำหนด จากดวงแก้วใสสว่างกลายเป็นเพชรระยิบระยับประกายพรึก จิตที่เป็นเพชรระยิบระยับประกายพรึกสว่าง มีเส้นแสงรัศมีออกไปโดยรอบ ทรงสภาวะไว้ พ้นลอยเลยขอบเขตจากเส้นรัศมีจิต ปรากฏสภาวะความเป็นทิพย์พร่างพราย เหมือนกากเพชรโปรยปรายรายรอบทั่วบรรยากาศ ทรงสภาวะที่จิตประภัสสรจิตเป็นเพชรประกายพรึกนี้ไว้ จิตมีความสุขมีความอิ่มใจ มีความรู้สึกว่า จิตนั้นมีความเปี่ยมพลังอยู่ภายใน เป็นกำลังที่ปรากฏขึ้นจากฌานสมาบัติที่สะสมเพาะบ่มไว้ดีแล้ว ทรงสภาวะที่จิตเป็นเพชรประภัสสร คงสภาวะให้จิตมีความทรงตัว เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างนิมิตกับอารมณ์จิต ยิ่งจิตเรามีความสวยงามสว่างแพรวพราว อารมณ์จิตเรายิ่งเอิบอิ่มเป็นสุข อารมณ์ยิ่งมีความรู้สึกสุขใจอิ่มใจเปี่ยมพลังอยู่ภายในมากยิ่งกว่าสภาวะที่เป็นอุคคหนิมิต
อุคคหนิมิตนั้นเหมือนกับการที่เรารวบรวมกำลังของจิตให้ค่อยๆเพิ่มขึ้นสว่างขึ้นสูงขึ้น แต่พอเมื่อไรที่จิตเราแปรสภาพเป็นปฏิภาคนิมิต เหมือนกับจิตนั้นระเบิดกำลังเปล่งประกายระเบิดออกสว่างออก มีพลังงานมีความผ่องใสมีความสุขอย่างไม่มีประมาณ
อีกหนึ่งอุปมาก็คือ อุคคหนิมิตนั้นเหมือนกับดอกไม้ที่ยังตูมอยู่ แต่เมื่อไรก็ตามที่กลายเป็นปฏิภาคนิมิตนั้น ก็เหมือนกับจิตเรากลายเป็นดอกไม้ที่เบ่งบานสวยงามเต็มที่ อยู่ในสภาวะที่สวยที่สุด เบ่งบานที่สุด มีกลิ่นหอมหวานที่สุด
กำหนดรู้เชื่อมโยงสัมพันธ์ระหว่างนิมิตกับอารมณ์กรรมฐาน จิตเป็นปฏิภาคนิมิตสว่าง และในขณะเดียวกันรัศมีของจิตที่เปล่งประกายแผ่ออกจากจิตที่เป็นปฏิภาคนิมิต เราก็น้อมให้เป็นกระแสของเมตตาอันไม่มีประมาณ ความสุขความอิ่มใจพลังงานของจิต เรากำหนดเป็นกระแสของเมตตา กระแสของความรักความปรารถนาดี กระแสของเมตตาอันไม่มีประมาณที่แผ่ออกไปจากจิตของเราที่เป็นประภัสสรนี้ ทรงสภาวะไว้ เปล่งประกายส่องสว่างระยิบระยับอย่างที่สุด สำหรับใครที่นึกภาพไม่ออกก็ให้เรากำหนดลองนึกภาพอุณาโลมที่เป็นเพชรที่สวยงามสว่าง จิตเราก็ประภัสสรเป็นเพชรระยิบระยับเช่นนั้น ทรงอารมณ์ทรงสภาวะไว้ให้เกิดวสีให้เกิดกำลังของสมาบัติความตั้งมั่นของจิตที่มีความเสถียร ทรงสภาวะความผ่องใสไว้ จิตประภัสสร จิตผ่องใส
จากนั้นกำหนดต่อไปว่าความผ่องใสแสงสว่างความสวยสดงดงามของจิตเราที่เราทรงอารมณ์ขณะนี้ เราตั้งจิตถวายเป็นพุทธบูชา เป็นการปฏิบัติการยังจิตให้ผ่องใสสะอาดจากกิเลส สะอาดจากนิวรณ์ห้า ถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา จิตของเรามีความเคารพในพระพุทธองค์อย่างที่สุด การปฏิบัติธรรมของเราไม่ได้เป็นไปเพื่อสนองกิเลส คือ ก่อให้เกิดมานะทิฐิความถือตัวถือตน ความรู้สึกแข่งดีอยากเก่งอยากมีฤทธิ์มีอำนาจ แต่การปฏิบัติธรรมของเรานั้นเป็นไปเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง สัมมาสมาธิ สัมมาอภิญญา สัมมาปฏิบัติ จิตเราตั้งมั่นปฏิบัติตรงเพื่อมรรคผลพระนิพพาน
จากนั้นตั้งจิตอธิษฐานรำลึกนึกถึงพระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กำหนดน้อมนึกว่าพุทธนิมิตของพระพุทธองค์ทรงปรากฏอยู่เบื้องหน้า ประดุจพระพุทธเจ้าทรงเสด็จมาประทับอยู่ด้วยพระองค์เอง กำหนดให้องค์พระท่านมีความใสขึ้นสว่างขึ้น เป็นเพชรระยิบระยับจนภาพพุทธนิมิตมีกำลังพุทธานุภาพเต็มกำลัง ทรงเปล่งฉัพพรรณรังสีรัศมีสว่างเจิดจรัสอย่างยิ่ง สว่างอย่างยิ่ง เป็นเพชรระยิบระยับแพรวพราวอย่างยิ่ง
เรากำหนดจิตทรงสภาวะตั้งมั่นจดจ่ออยู่กับพระพุทธองค์
จากนั้นอธิษฐานจิต ขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ขอยกจิตข้าพเจ้าขึ้นไปบนพระนิพพาน จากนั้นพุ่งจิตขึ้นไปบนพระนิพพาน ไปปรากฏอยู่เบื้องหน้ามหาสมาคม มีสมเด็จองค์ปฐมทรงเป็นประธาน พรั่งพร้อมด้วยพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกๆพระองค์บนพระนิพพาน กายพระวิสุทธิเทพของเราบรรจงกราบลง แยกกายทิพย์ให้ถึงทุกท่านทุกๆพระองค์ที่ปรากฏอยู่นั้น กราบลงด้วยความนอบน้อมด้วยความเคารพ
จากนั้นอธิษฐานพิจารณาในกาย ว่ากายที่ปรากฏอยู่ขณะนี้คือกายพระวิสุทธิเทพ มีสภาวะเป็นแก้วเป็นเพชรสว่างใส มีเครื่องทรง ทั่วทั้งร่างกายนั้นมีแสงสว่างทะลุ มีความระยิบระยับแพรวพราว กำหนดตัวรู้พิจารณาว่า กายนี้คือกายทิพย์อันเกิดขึ้นจากบุญกุศลจากบารมีทั้งสามสิบทัศที่หลอมรวมกัน กายพระวิสุทธิเทพนี้เกิดขึ้นจากการตัดสังโยชน์ทั้งสิบ ตัดภพจบชาติ พิจารณา ละ วาง ความยึดมั่นถือมั่นที่เกิดขึ้นในโลกในวัฏสงสารจึงปรากฏกายเช่นนี้
เราไม่มีในร่างกายที่เป็นกายเนื้อ กายเนื้อกายหยาบขันธ์ห้าไม่ใช่ตัวเราของเรา
เรา คือ อทิสมานกาย เราคือกายพระวิสุทธิเทพที่มีเป้าหมายสำคัญ คือเมื่อตายเมื่อไรจากความเป็นมนุษย์ในชาตินี้ จิตเราตั้งไว้เพียงจุดเดียวคือพระนิพพานเป็นที่สุด
จากนั้นทรงสภาวะในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพให้สว่างชัดเจนที่สุด ผ่องใสที่สุด กลั่นกายของเราให้ยิ่งใสขึ้นสว่างขึ้น ยิ่งใสขึ้นเรื่อยๆ สว่างขึ้นเรื่อยๆ จิตมีความอิ่มใจ จิตมีธรรมะฉันทะในพระนิพพาน กำหนดการตั้งกำลังใจในการปฏิบัติ ตั้งกำลังใจว่าในทุกครั้งแต่ละครั้งที่เราได้ยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพาน จิตเราเกิดธรรมะฉันทะมีความผูกพันเชื่อมโยงตั้งมั่นอยู่กับพระนิพพาน รักในพระนิพพาน มั่นคงในพระนิพพาน มีพระนิพพานเป็นหลักชัยที่สุดเพียงจุดเดียว ยิ่งฝึก ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งทำซ้ำ ยิ่งยกจิตมาทรงอารมณ์บนพระนิพพานนานเท่าไร มาเป็นจำนวนครั้งมากเท่าไร มาทุกวันทุกเช้าค่ำ สะสมเพาะบ่มรวมตัวได้มากเท่าไร อารมณ์จิตของเรายิ่งใกล้พระนิพพานอย่างแท้จริงมากขึ้นเพียงนั้น เกิดธรรมะฉันทะในพระนิพพานมากขึ้นเพียงนั้น จุดนี้เป็นอุบายสำคัญเป็นหลักในการปฏิบัติโดยใช้กำลังของมโนมยิทธิ ยกจิตมาที่พระนิพพาน เมื่อไรก็ตามที่เราประสบความทุกข์บนโลกมนุษย์ จิตขอให้เกิดปัญญารู้แจ้ง ให้เห็นว่านี่ละหนอ มันคือทุกข์ของการมีขันธ์ห้าการมีกายเนื้อ การที่ยังต้องเกิดมีชีวิตบนโลกมนุษย์ ตายเมื่อไรเราต้องมาพระนิพพานด้วยเหตุนี้
กำหนดเมื่อพบแรงกระทบบนโลก พิจารณาว่า แรงกระทบนั้น กลับกลายเป็นแรงผลักดัน ให้เรายิ่งเห็นคุณของพระนิพพาน จากแรงกระทบที่ทำให้จิตเราเศร้าหมองแต่เดิม เราเปลี่ยนให้แรงกระทบทั้งหลายเหล่านั้น เป็นแรงผลักดัน ว่า พอกันทีกับความเป็นมนุษย์ พอกันทีกับความทุกข์ในสังสารวัฏ เพราะมันเป็นเช่นนี้หนอ เราไปพระนิพพานดีกว่า พบแรงกระทบเมื่อไร จิตเราก็ยกขึ้นไปบนพระนิพพานทันที กายเนื้อก็ปล่อยให้ทำหน้าที่ทำงานไป พบเจอลืมตาทำเหมือนฟัง ฟังแต่ไม่ปลง อทิสมานกายเราขึ้นไปอยู่กับพระพุทธเจ้าเรียบร้อย อารมณ์ที่กระทบมันก็ไม่ทุกข์ มันก็ไม่สามารถทำอันตรายสร้างความเศร้าหมองให้กับจิตของเราอีกต่อไป หรือในยามที่เราเจ็บไข้ได้ป่วยไม่สบาย เกิดเวทนากล้า แทนที่เราจะเกาะยึดกับร่างกายขันธ์ห้า ว่ามันเจ็บมันปวด ทำไมมันเป็นเช่นนี้ ช่างทรมานเหลือเกิน พอเราปฏิบัติมาถึงขั้นนี้ จิตมีปัญญา จิตสะสมเพาะบ่มบารมี มีเวทนาเกิดขึ้นทางร่างกาย อาการป่วยอาการเจ็บมันปรากฏขึ้น ก็ให้ธรรมมันปรากฏขึ้นไปพร้อมกัน เห็นว่านี่มันก็คือธรรมดาของสังขารร่างกาย ตราบที่ยังมีสังขารร่างกายขันธ์ห้า มันก็มีความแก่ความเสื่อมความเจ็บไข้ได้ป่วยไม่สบาย แล้วก็มีความตายไปในที่สุด พิจารณาแล้วเราก็เดินตามครูบาอาจารย์ เดินตามหลวงพ่อท่าน เมื่อไรมีเวทนาทางกาย เราก็ไม่ต้องทนอยู่กับมัน เพราะเราเป็นบุคคลที่ฝึกมาดีแล้ว เรากำหนดรู้ว่ามันเป็นทุกข์ในร่างกายนี้ กำหนดรู้เกิดปัญญาปล่อยวางก็คือไม่ทุกข์กับมัน เรายกอทิสมานกายของเราไปบนพระนิพพานดีกว่า มองลงมายังขันธ์ห้าร่างกายก็ปล่อยมัน ไม่ต้องไปเสวยอารมณ์อยู่กับเวทนาของความเจ็บไข้ได้ป่วย เราเสวยอารมณ์ของกายพระวิสุทธิเทพอยู่บนพระนิพพาน ขันธ์ห้ามันจะป่วยมันจะเจ็บก็ปล่อยมัน ไม่ต้องไปสนใจ ตัดได้ตัด โดยพิจารณาควบวิปัสสนาญาณว่า ถ้ามันเจ็บปวดขนาดนี้มันจะตายตอนนี้ อทิสมานกายเราอยู่บนพระนิพพาน ถ้ามันตายแต่ตอนนี้เราก็เข้าถึงอรหัตผลเข้าถึงพระนิพพานทันที กลับกลายเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเรา พอกันทีกับขันธ์ห้า พอกันทีกับร่างกายเน่าๆ พอกันทีกับร่างกายที่มันมีความเสื่อมมีความสกปรกโสโครกในขันธ์ห้าร่างกายนี้ พอพิจารณาได้เช่นนี้จิตเราก็เริ่มยกระดับเข้าสู่ภูมิจิตภูมิธรรมที่สูงขึ้น
ทุกการกระทบ สติรู้เท่าทัน ละ ปล่อยวางจากความทุกข์ จิตจากทุกข์ก็กลายเป็นตัดเข้าสู่วิมุตติ คือเข้าสู่พระนิพพาน กำหนดน้อมพิจารณาตาม กำหนดน้อมนำไปใช้ ไม่ว่าสิ่งกระทบมากระทบเราเมื่อไร ยิ่งเป็นแรงผลักดันให้เรายกจิตขึ้นสู่พระนิพพาน เหมือนแรงกระแทกนั้นมากระแทกให้จิตเรารู้ตื่น ให้เห็นความทุกข์และยกจิตขึ้นไปยังพระนิพพาน
กำหนดน้อมพิจารณาย้อนหลัง ดูภาพเหตุการณ์ที่เราเคยแพ้กับกิเลส เราย้อนเหตุการณ์นั้นมาพิจารณาใหม่อีกครั้ง ทุกครั้งถ้าหากเราคิดหรือพิจารณาว่า พอเราปฏิบัติธรรมแล้วมันต้องมีข้อสอบ เราก็มาเจริญวิปัสสนาญาณและสอบซ่อมมันใหม่ในจิตว่า เหตุการณ์แบบนี้ถ้ามันเกิดอีกเราจะพิจารณาแบบนั้น พิจารณาตัดแล้วก็ยกจิตไปบนพระนิพพาน แล้วก็ทรงอารมณ์ว่าเห็นไหม ยิ่งเพิ่มเหตุผลสำคัญว่าทำไมเราถึงต้องเข้าไปนิพพาน
ตอนนี้ให้เราแต่ละคนเจริญวิปัสสนาญาณใช้อดีตังสญาณย้อนหลังเหตุการณ์ว่า เหตุการณ์เดิมที่เมื่อก่อนเราเคยกระทบแล้วไม่ผ่าน คราวนี้เราเปลี่ยนแรงกระทบเป็นแรงกระแทกผลักดันจิตเราขึ้นสู่พระนิพพาน ให้เราแต่ละคนพิจารณาธรรมเป็นปัจจัตตังของตนเอง จะ 1 เหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ 3 4 เหตุการณ์ก็ได้ แต่ลงท้ายว่าเราชนะ ยกจิตขึ้นไปบนพระนิพพานได้ทุกครั้ง จะเป็นเรื่องใดก็ดี พลัดพรากจากของรัก ถูกกระทบจากบุคคลอื่น สิ่งต่างๆมันไม่สมหวัง เจ็บไข้ได้ป่วยไม่สบาย ทุกเหตุการณ์ย้อนพิจารณาให้หมด กำหนดเห็นกายพระวิสุทธิเทพเจริญวิปัสสนาญาณนั่งบนรัตนบัลลังก์ดอกบัวแก้ว ห้อมล้อมด้วยพระพุทธเจ้า พระปัจเจก พระอรหัตน์ทุกๆพระองค์บนพระนิพพาน น้อมกระแสการพิจารณา กระแสวิปัสสนาญาณ จากทุกท่านทุกๆพระองค์ หลั่งไหลลงสู่จิตจนเกิดปัญญารู้แจ้งแทงตลอดในธรรมทั้งปวงด้วยเถิด
กำหนดรู้ กำหนดละ วาง เมื่อยกจิตขึ้นพระนิพพานได้แล้วก็ทรงอารมณ์ให้เกิดความผ่องใสความสว่างทุกครั้ง ความอิ่มใจเกิดขึ้นทุกครั้งที่ยกจิตขึ้นพระนิพพาน เรื่องราวความทุกข์การถูกกระทบบนโลก อารมณ์เราไม่เอาความเศร้าหมองตกค้างขึ้นไปบนพระนิพพานด้วย อารมณ์เป็นการวางความทุกข์การกระทบความขุ่นใจความกังวลวางทิ้งละทิ้งให้หมด ตัดให้หมด พอยกจิตขึ้นไปบนพระนิพพานได้ก็สว่าง ว่าง เพราะวางได้ มีความผ่องใส มีความสุข มีความเอิบอิ่ม ภาระทั้งปวงจบ ปล่อยวางได้หมด
พอปฏิบัติมากเข้า ละเอียดเข้า เราจะเห็นความเป็นธรรมดาในทุกเหตุการณ์ในทุกการกระทบ เมื่อเราเห็นการกระทบ เห็นเหตุการณ์ที่ปรากฏขึ้น ถ้าเห็นและประกอบด้วยญาณเครื่องรู้อันเป็นทิพย์ เราก็จะเห็นเหตุต้นผลกรรม คือมีญาณเครื่องรู้มากำกับว่าเหตุที่เราพบแบบนี้ก็เนื่องมาจากการที่เราเคยสร้างกรรมแบบนี้ เคยสร้างวิบากมาแบบนี้ เคยสร้างเหตุมาเช่นนี้ จึงเกิดผลเกิดการกระทบเกิดวิบาก เราก็พิจารณาดูแล้วก็อโหสิกรรมไปด้วยพร้อมกัน
เวลายกจิตขึ้นไปบนพระนิพพานเราก็ไม่เอาความเศร้าหมองความวุ่นวายความวิตกกังวลความเครียดความกลัวขึ้นไป มีแต่จิตที่มีปัญญาเห็นแจ้งเห็นจริงในสัจธรรม เห็นเหตุการณ์ยกเหตุการณ์ด้วยความรู้สึกที่เป็นอุเบกขา เห็นเหตุการณ์ที่ปรากฏการกระทบที่ปรากฏด้วยความรู้สึกว่า มันเป็นเพราะกรรมผลของกรรมที่เราเคยทำ วางก่อนยกจิตขึ้นพระนิพพานเสมอ เมื่อยกจิตขึ้นพระนิพพานก็จงปรากฏกายพระวิสุทธิเทพที่มีความผ่องใสความสว่างเต็มกำลัง บางคนขึ้นไปบนพระนิพพานขึ้นไปงอแง ขึ้นไปบ่น ขึ้นไปตัดพ้อ อันนี้ก็ยังถือว่าเราขึ้นมาด้วยความผ่องใสยังไม่เต็มกำลัง ถ้าเมื่อไรอารมณ์จิตเข้าเขตอยู่ในเขตความเป็นพระอริยเจ้า ขึ้นมาบนพระนิพพานก็จะมีแต่ความผ่องใส แล้วก็ไม่มีความคิดที่จะไปงอแงไปบ่นกับพระท่านกับหลวงพ่อ ตรงนี้ถ้าใครเคยเป็นอยู่เราก็ค่อยๆปรับค่อยๆแก้จากหยาบไปถึงละเอียด อันนี้พระท่านบอกมาก็เพราะว่า เหตุผลหนึ่งที่ท่านไม่ได้ดุมากคือ ท่านก็หยอกบ้างให้กำลังใจบ้าง เพราะว่าถ้าเกิดในยามที่เราขึ้นไปและอารมณ์จิตของเรายังไม่ค่อยได้ ยังมีความเศร้าหมองมีอาการงอแง มีอาการที่เรามีความเครียดความกลัวความวิตก ถ้าท่านดุเต็มที่หรือท่านห้ามไม่ให้ขึ้นมาก็จะเป็นการตัดทาง แต่ท่านให้ขึ้นมาได้ก็เพื่อที่ว่าอย่างน้อยที่สุด บุคคลนี้ก็ยังเข้าถึงความดีคือ เข้าหาพระเข้าหาพระนิพพาน เมื่อไรที่จิตเขาสะอาดขึ้นบริสุทธิ์ขึ้นใสขึ้น ไอ้อาการอารมณ์แบบนี้มันก็จะค่อยๆจางตัวลงคลายตัวลง ของเราทุกคนก็ปฏิบัติมาค่อนข้างนาน ปฏิบัติมาค่อนข้างมาก ดังนั้นสิ่งใดที่มันเป็นความเศร้าหมองความวุ่นวายความกลัวความวิตกกังวล เราก็ฝึกวางก่อนที่จะมาหาพระ ก่อนที่จะมากราบพระพุทธเจ้า ก่อนที่จะยกจิตขึ้นพระนิพพาน อุปมาเหมือนสถานที่ที่มีความสะอาดอย่างสูง ประดับประดาไปด้วยเพชรทองของมีค่าทั้งหลาย แต่พอเราจะขึ้นมาที่เรือนนี้คือเรือนพระนิพพาน ตัวเราไปคลุกเคล้าขี้โคลนมา เท้าไม่ได้ล้างมีความสกปรกมีมลทินติดกายติดเท้าติดตัวมา เราก็ลุกขึ้นไปบนเรือนที่มีความปราณีตเป็นเพชรด้วยอารมณ์หรือมลทินที่มันติดอยู่ ดังนั้นตรงจุดนี้ก็ให้เราเพิ่มความละเอียดระมัดระวัง ทำให้ดียิ่งขึ้น สิ่งนี้อย่าถือว่าเป็นการดุกัน แต่เป็นการขัดเกลาการวางอารมณ์ใจให้มีความผ่องใสมีความถูกต้องเพิ่มขึ้น
วางก่อนขึ้นไปบนพระนิพพานคือทำจิตให้ละเอียดระยิบระยับสว่างที่สุดใสที่สุดเป็นสุขที่สุดเสมอก่อนขึ้นพระนิพพาน พิจารณาวาง หรือธรรมใดการกระทบเราพิจารณา เราพิจารณาในวิปัสสนาญาณ เราพิจารณาด้วยอุเบกขารมณ์ พิจารณาเห็นจริงตามความเป็นจริง ไม่มีอารมณ์ของอคติอารมณ์น้อยเนื้อต่ำใจมาร่วมกับการพิจารณา เห็นธรรมดา เมื่อไรอุเบกขาเกิด เห็นกรรมและผลของกรรมเมื่อไร อุเบกขาเกิด เมื่อไรจิตเป็นอุเบกขาได้มากเท่าไร จิตก็ปล่อยวาง ยิ่งปล่อยวางมากเท่าไร กิเลสความเศร้าหมองก็ค่อยๆหลุดออกคลายออกห่างออกจากจิตของเราไปทีละน้อยทีละน้อยในที่สุด
ตอนนี้ให้เราทุกคนทรงสภาวะความผ่องใสของจิตเต็มกำลัง ปล่อยวาง ละ วางมลทินเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย ตั้งกำลังใจต่อหน้าสมเด็จองค์ปฐมว่า เราจะขึ้นมากราบท่านด้วยความผ่องใสที่สุด จิตเป็นสุขที่สุด กายทิพย์สว่างที่สุด แล้วตอนนี้ให้เรามองพระพักตร์ของพระองค์ท่าน มองหน้าของหลวงพ่อท่าน ดูว่าท่านยิ้มไหม ท่านดีใจไหม เราปรับกำลังใจใหม่ เรายกระดับภูมิจิตของเรา เราตั้งกำลังใจใหม่ไว้ดีแล้ว ดูว่าท่านยิ้มไหม ท่านหัวเราะไหม แล้วเราพลอยมีความสุขพลอยชื่นใจด้วยไหม ทรงอารมณ์จิตให้ผ่องใส คราวนี้เมื่อเราวางอารมณ์จิตถูก เราขออนุญาตขึ้นไปนั่งบนแท่นในวิมานบนพระนิพพานของเรา อธิษฐานจิตว่าเมื่อข้าพเจ้าวางกำลังใจถูก ตัด ละ วาง ฝึกที่จะละวางความทุกข์ความวิตกกังวลความเศร้าหมองทั้งปวง ก่อนที่จะยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพาน หรือตั้งใจระมัดระวังให้จิตผ่องใส จิตเกิดวิปัสสนาญาณ จิตเกิดความปล่อยวางในโลกในวัฏฏะตลอด เมื่อข้าพเจ้าวางกำลังใจถูก ขอให้วิมานข้าพเจ้ากายทิพย์นี้จงยิ่งสว่างเจิดจ้าเจิดจรัสขึ้นเป็นประกายพรึกยิ่งขึ้นด้วยเถิด ทรงอารมณ์ ดูว่าสว่างขึ้นไหม ใจเราสบายขึ้นไหม อารมณ์พระนิพพานเราเข้าถึงอย่างแท้จริงแล้ว ขอโมทนาสาธุกับทุกคนด้วย
จากนั้นตั้งจิตอธิษฐาน น้อมกระแสอาราธนาบุญบารมีทั้งสามสิบทัศของทุกท่านทุกๆพระองค์บนพระนิพพาน รวมเป็นกระแสบุญน้อมรวมลงมา และอธิษฐานรวมกระแสบุญโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาลกฐินทานของปีนี้ที่สาธุชนทั้งหลายตั้งจิตตั้งใจบำเพ็ญบุญในกฐินทาน ขอทานทั้งหลายบุญทั้งหลายกุศลทั้งหลายน้อมเป็นกระแสบุญแผ่ไปยังสาม ภพภูมิ ไล่มาจากพระนิพพานลงมายังอรูปพรหมทั้งสี่ พรหมโลกทั้งสิบหกชั้น อากาศเทวดาทั้งหก รุกขเทวดาภูมิเทวดาทุกชั้นทั่วโลกทั่วอนันตจักรวาล
แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ที่เป็นภพกลางคือ มนุษย์และสัตว์ที่มีขันธ์ห้ากายเนื้อทั่วโลกทั่วทุกดวงดาวทั่วอนันตจักรวาล
แผ่เมตตาให้กับดวงจิตที่เสวยวิบากความทุกข์ในทุคติภพ ไล่ตั้งแต่ภพของบรรดาโอปปาติกะสัมภเวสีทั้งหลาย มิติที่ทับซ้อนทั้งหลาย ชาวเมืองบังบดลับแลทั้งหลาย เปรตอสูรกายทั้งหลาย ตลอดลงไปถึงสัตว์นรกทุกขุมลึกถึงที่สุด คือ โลกันตมหานรก ขอให้ได้รับผลบุญกุศลกระแสเมตตากระแสบุญจากพระนิพพาน ท่านที่สุขอยู่แล้วก็ขอให้เป็นสุขยิ่งๆขึ้นไป เสวยความสุขในมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ ทิพยสมบัติ พรหมสมบัติ จนกระทั่งถึงพระนิพพานสมบัติ ท่านที่เสวยความทุกข์ก็ขอให้พ้นจากความทุกข์ ขอให้มีกำลังปัญญากำลังกุศลในการโมทนาสาธุ ปรับภพปรับภูมิขึ้นสู่ภพภูมิที่ดีขึ้นสูงขึ้น จากภพที่ลำบากก็สู่ภพที่มีความเป็นทิพย์มีความสุข ขอสรรพสัตว์ทั้งหลายจงพ้นจากอกุศล สรรพสัตว์ทั้งหลายจงพ้นจากมิจฉาทิฐิ สรรพสัตว์ทั้งหลายจงพ้นจากโมหะความหลง สรรพสัตว์ทั้งหลายจงพ้นจากความอาฆาตพยาบาทจองเวรทั้งปวง ขอสรรพสัตว์ทั้งหลายจงน้อมจิตเข้าสู่บุญกุศล มีหิริโอตัปปะความละอายและเกรงกลัวต่อบาปต่อกรรม ขอจงมีปัญญาความรู้ความเชื่อในเรื่องกรรมกฎของกรรมสวรรค์นรก ขอจงมีปัญญารู้ในสิ่งที่ผิดชอบชั่วดี สิ่งใดควรไม่ควร สิ่งใดสูงสิ่งใดต่ำ สิ่งใดเป็นเหตุแห่งความเจริญ สิ่งใดเป็นเหตุแห่งความเสื่อม สิ่งใดเป็นบุญกุศล สิ่งใดเป็นบาปเป็นกรรม ขอจงเกิดปัญญาในทุกดวงจิตด้วยเทอญ
เมื่อแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์แล้วเราก็น้อมรวมบุญช่วยเหลือชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จากกำลังพระกรรมฐาน อาราธนาพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพกำลังบุญทั้งหลาย มีกำลังบุญฤทธิ์ของสมเด็จองค์ปฐมเป็นที่สุด ขอน้อมรวมลงเป็นกระแสบุญคุ้มครองโลกใบนี้ให้สุขสงบสันติ เข้าสู่ยุคชาววิไล น้อมกระแสบุญลงมาคุ้มครองประเทศไทย ให้เป็นแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง ขอให้มีคนดีเข้ามาปกครองชาติบ้านเมืองนำพาชาติเข้าสู่ความเจริญ ขอให้คนชั่วแพ้ภัยตัวเอง เป็นไปตามกฎของกรรมวาระกรรม ขอให้ประเทศไทยเข้าสู่ยุคแห่งชาววิไล น้อมกระแสบุญกระแสพุทธานุภาพลงมายังวัดวาอารามทุกแห่ง สถานปฏิบัติธรรมทุกแห่ง ขอพระพุทธรูปทุกองค์ วัตถุมงคล พระเครื่อง เครื่องรางของขลัง พระธาตุเจดีย์ พระบรมสารีริกธาตุ พระอัฐิธาตุ พระอรหันตธาตุ พระบรมธาตุ ขอจงปรากฏกำลังพุทธานุภาพ สลายล้างอวิชชาคุณไสยทั้งปวงให้หมดสิ้นไป สลายคลายตัวให้หมด ดับล้างให้หมด กลายเป็นมหาสะท้อนไปให้หมด มีแต่พุทธานุภาพพุทธคุณบริสุทธิ์ มีแต่กระแสแห่งความเย็นความเมตตา ขอกำลังบุญกุศลส่งผลให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ในพระพุทธศาสนา กระแสธรรม กระแสคุณธรรม จริยธรรม มรรคผลพระนิพพานหลั่งไหลรวมลงสู่ดวงจิตของพุทธบริษัทสี่ ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นฆราวาสหรือบรรพชิตก็ตาม กระแสสัมมาทิฐิสลายล้างทิฐิอันเห็นผิด ทิฐิอันมีมานะ สลายล้างความหยาบของจิตเข้าสู่ความละเอียดความผ่องใส ขอสัมมาทิฐิจงปรากฏ
จากนั้นตั้งจิตอธิษฐาน ขอกำลังกุศลน้อมลงมาส่งผลคุ้มครองพิทักษ์รักษา องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมราชินี พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ตลอดลงไปจนถึงบุคคลที่เสียสละสร้างความดีด้วยความจริงใจความบริสุทธิ์ เจตนาเป็นกุศลต่อชาติบ้านเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์ ขอกระแสบุญ ขอเทวดาพรหมส่งผลคุ้มครองทุกท่าน และขอให้กระแสบุญกุศลทั้งหลาย น้อมรวมส่งถึงพระสยามเทวาธิราชทุกพระองค์ พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระหลักเมือง พระกาฬไชยศรี เจ้าพ่อหอกลอง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย พระคลังมหาสมบัติ เทวดาอารักษ์ทั้งปวง ที่พิทักษ์ดูแล ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ กระแสบุญทั้งหลายน้อมส่งผลถึงดวงพระวิญญาณของบูรพมหากษัตราธิราชเจ้าทุกพระองค์ ดวงวิญญาณของบรรพชน ดวงวิญญาณของบรรพบุรุษ ดวงวิญญาณของทหารกล้าทุกคน ที่พิทักษ์รักษาเสียสละเพื่อชาติบ้านเมืองมาโดยตลอด ขอบุญกุศลนี้จงส่งผลถึงทุกท่านทุกรูปทุกนาม ขอจงมีกำลังบุญฤทธิ์อิทธิฤทธิ์เทพฤทธิ์ความศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์ ในการเมตตาทำหน้าที่คุ้มครองดูแลรักษาชาติศาสนาสถาบัน และขอน้อมบุญกุศลทั้งหลายจากทานศีลภาวนา บุญทั้งหลายจากกระแสพระนิพพาน ส่งผลถึงเทวดาพรหมที่ปกปักรักษาคุ้มครองข้าพเจ้าทุกคน ให้ได้รับให้ได้โมทนาให้ได้ปรับภพให้เกิดทิพยสมบัติ พรหมสมบัติ ปรากฏบุญฤทธิ์อิทธิฤทธิ์เทพฤทธิ์เต็มกำลัง สามารถสงเคราะห์ช่วยเหลือดลใจเมตตาโปรดให้กับข้าพเจ้าทั้งในยามคับขันฉุกเฉินให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากภยันอันตรายทั้งปวง หรือในยามที่มีสุขมีโชคมีลาภก็ขอให้ปรากฏผลโชคลาภความสุขความดีงามยิ่งทวีคูณขึ้น ยามเจริญรุ่งเรืองก็ไม่หลงระเริง ยังมีจิตใฝ่ในคุณธรรมในความดีในกุศล ในการให้ศีลในการทำทานในการรักษาศีลในการภาวนาต่อไป ขอเทวดาพรหมทั้งหลายโมทนาสาธุคุ้มครองข้าพเจ้าด้วยเทอญ แม้ข้าพเจ้าอาจลืมขออาจลืมบอกกล่าว ก็ขอให้ท่านเมตตาช่วยเหลือข้าพเจ้าทันทีทันใจและฉับพลันด้วยเทอญ
เมื่ออธิษฐานจิตเมื่อใช้กำลังพระกรรมฐานเพื่อปฏิปทาสาธารณประโยชน์ คือ ช่วยชาติบ้านเมืองเรียบร้อยแล้ว เราก็น้อมจิตกราบลาพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทุกๆพระองค์บนพระนิพพาน กราบลาหลวงพ่อด้วยความเคารพนอบน้อม จากนั้นจึงพุ่งจิต กลับลงมาบนโลกมนุษย์ ลงมาที่กายเนื้อเป็นลำแสงคลุมกายเนื้อทั้งหมด น้อมเป็นกระแสพระนิพพานกระแสธรรมฟอกธาตุขันธ์ ผมขนเล็บฟันหนังจงกลายเป็นแก้วใสสว่าง โครงกระดูกทั่วร่างกายจงกลายเป็นแก้วใสสว่าง หลอดเลือดเส้นเอ็นจงกลายเป็นแก้วใสสว่าง กล้ามเนื้อทุกส่วน เซลล์ทุกเซลล์ อาการสามสิบสอง อวัยวะภายในทุกส่วนจงกลายเป็นแก้วใสสว่าง โรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายจงสลายตัวไปด้วยอำนาจแห่งการเจริญพระกรรมฐาน ด้วยอำนาจแห่งธรรมธาตุที่ชำระล้างฟอกธาตุขันธ์นี้ ธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ จงมีความสะอาดบริสุทธิ์ เซลล์มะเร็งเซลล์เนื้องอกภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ พยาธิสภาพเชื้อโรคแบคทีเรียไวรัสทั้งหลายพยาธิทั้งหลาย จงสลายตัวไป มีแต่เซลล์มีแต่อาการสามสิบสองธาตุสี่ที่ถูกหล่อเลี้ยงด้วยกำลังของบุญหล่อเลี้ยง บุญหล่อเลี้ยงกายบุญหล่อเลี้ยงจิต ความเป็นทิพย์สภาวะแห่งความเป็นทิพย์หล่อเลี้ยงกายหล่อเลี้ยงจิตหล่อเลี้ยงเซลล์ทุกเซลล์ พลังปราณพลังชีวิตไหลเวียนถ่ายทอดหล่อเลี้ยงร่างกายหล่อเลี้ยงเซลล์ทุกเซลล์ กำลังบุญส่งผล ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง มีราศีมีรัศมีแห่งผู้ปฏิบัติธรรมแห่งผู้มีบุญ จิตมีความผ่องใส มีกระแสแห่งความเมตตาความสงบเย็น กายทิพย์มีแสงสว่างมีรัศมี กายมีความผ่องใส เทวดาพรหมผู้เป็นสัมมาทิฐิเห็นแต่ไกล ขอการปฏิบัติของข้าพเจ้าจงถึงพร้อมในประโยชน์ทั้งทางโลกทางธรรมด้วยเทอญ ขอทานบารมีทั้งหลายจงเปิดสายบุญสายทรัพย์สายสมบัติ มหาสังฆทานที่ได้สร้างที่ได้บำเพ็ญสะสมไว้ บุญกฐินที่ได้สร้างที่บำเพ็ญไว้ พระพุทธรูปที่เคยร่วมสร้าง วิหารทานที่เคยได้สร้างได้ร่วมได้ทำบุญ ขอจงรวมตัวเปิดสายบุญสายทรัพย์สายสมบัตินับอนันต์ให้หลั่งไหลลงมาชาตินี้ รวยชาตินี้นิพพานชาตินี้ด้วยเถิด
กำหนดให้เห็นด้วยความเป็นทิพย์ ขอสายสมบัติโปรยปรายรายรอบห้อมล้อมทั่วตัวเรา ขอความเป็นทิพย์ที่ปรากฏกับจิตจงกลายเป็นของที่เป็นมนุษย์สมบัติอันจับต้องได้มาในเร็ววัน มีความคล่องตัว เป็นกำลัง เป็นมหาอุบาสก เป็นมหาอุบาสิกา ทำนุบำรุงชาติศาสนาสถาบัน กายจิตมีความเอิบอิ่มมีความผ่องใส
จากนั้นก็ให้เราตั้งจิตโมทนาสาธุกับกัลยาณมิตรและเพื่อนทุกคนที่เจริญพระกรรมฐานทั้ง 58 ท่านในห้องเมตตาสมาธิ รวมทั้งท่านที่มาฟังภายหลัง สาธุ สาธุ สาธุ สาธุบุญถวายมหาสังฆทาน สาธุบุญในการจัดสร้างพระเจ้าองค์แสนดวงจิตพระนิพพาน
จากนั้นถอนจิตช้าๆจากสมาธิ หายใจเข้าช้าๆ หายใจเข้าพุท ออกโธ ครั้งที่ 2 ธัมโม ครั้งที่ 3 สังโฆ
ถอนจิตช้าๆจากสมาธิด้วยจิตอันเป็นสุขยิ้มแย้ม บุญราศีเปล่งประกายส่องสว่าง วันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคนนะครับ สำหรับพรุ่งนี้ก็มีข่าวที่เราจะเริ่มประกาศเปิดให้ลงทะเบียนเมตตาสมาธิครั้งต่อไป ในวันที่ 30 พฤศจิกายน ซึ่งการลงทะเบียนอย่างที่ได้แจ้งให้ทราบแล้วว่า มีความจำเป็นที่จะต้องให้โอนเงินมัดจำในการจองสำหรับผู้ที่จะเข้าร่วมกิจกรรม แล้วก็จะคืนให้หน้างานเมื่อเราลงทะเบียนในวันที่ 30 สำหรับท่านใดที่ลงทะเบียนไว้แล้วมาไม่ได้ ก็ขออนุญาตสงวนสิทธิ์เป็นการทำบุญกับการจัดงานเมตตาสมาธิในครั้งต่อๆไป เป็นกองบุญต่อไป แล้วก็ขออนุญาตประชาสัมพันธ์ว่า ทางลูกศิษย์ของอาจารย์ก็ได้จัดปฏิบัติธรรมแล้วก็เป็นคอร์สที่รวมทั้งเรื่องคอร์สพลังโชคดี Ultimate Healer แล้วก็การเจริญพระกรรมฐาน รวมทั้งเรื่องของการบำบัดเยียวยาร่างกาย จัดที่ชุมพรเป็นเวลา 3 วันคือวันที่ 14 15 16 พฤศจิกายนที่จะมาถึง อันนี้ ถ้าเป็นไปได้ใครสะดวกก็อยากให้ลงทะเบียนมากันมากๆ เพราะว่าเป็นคอร์สที่เข้มข้นแล้วก็คุ้มมาก คือกินอยู่พักเลี้ยงอาหารหมดในช่วงเวลา 3 วัน เป็นการปฏิบัติเข้มข้น ใครที่อยู่ใกล้ทางใต้มาได้ก็เชิญ ที่ชุมพร รายละเอียดก็เดี๋ยวลงประชาสัมพันธ์ให้ทราบต่อไป วันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน
มีข่าวอีกเรื่องหนึ่งก็คือ งานสมโภชพระเจ้าองค์แสนดวงจิตพระนิพพาน จะจัดขึ้นในวันที่ 17 มกราคม ที่วัดพุทธโมกข์ อำเภอโพนนาแก้ว จังหวัดสกลนคร โดยพระอาจารย์หนุนท่านก็เมตตาเป็นประธาน ใครที่สนใจจะเดินทางไป ทางทีมงานก็จะช่วยประสานงานในเรื่องของรถรับส่ง เช่นการเดินทางอาจจะมีรถตู้ หรือว่าใครสะดวกไปเครื่องบินก็จะมีรถตู้มารับจากสนามบินไปที่วัด แต่ว่าจำเป็นต้องจัดว่าอาจจะมีแค่เที่ยวเดียว คือต้องไปไฟท์เดียวกัน
ตอนนี้ทางทีมงานทุกคนก็พยายามช่วยกันประสานตรงนี้อยู่ เพื่อให้ใครที่อยากไปงานฉลององค์พระสามารถเดินทางได้ง่ายที่สุดสะดวกที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ข่าวก็จะแจ้งให้ทราบในลำดับต่อๆไป วันนี้ก็มีเรื่องประชาสัมพันธ์เท่านี้
ขอโมทนาบุญกับทุกคน ให้เราทุกคนมีความสุขมีความเจริญ สามารถน้อมนำเอาการปฏิบัติการเจริญพระกรรมฐานมายกระดับจิตของเราให้ก้าวหน้าขึ้น คือปฏิบัติแล้วต้องมีความก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็เข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้ในที่สุดกันทุกคน สำหรับวันนี้สวัสดี
ถอดเสียงและเรียบเรียง โดย คุณวิลาวัลย์ วลีเดช





