green and brown plant on water

พุทธปาฏิหาริย์ สู่อภิญญาใหญ่

เวลาอ่าน : 4 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”  

วันเสาร์ที่ 19 กรกฏาคม  2568

เรื่อง พุทธปาฏิหาริย์ สู่อภิญญาใหญ่

 โดย อาจารย์ คณานันท์  ทวีโภค

กำหนดสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ผ่อนคลายร่างกายทุกส่วน ปลดปล่อยกำลัง ปล่อยวางความรู้สึกเกาะเกี่ยวกับอาการทางกายทั้งหมด ผ่อนคลายตัดร่างกาย กำหนดสติให้การผ่อนคลายนั้น น้อมรวมจิตเรา  ตัดร่างกายขันธ์ 5 จนจิตเข้าถึงความสงบ ตัดกายเพื่อแยกจิต แยกรูป แยกนาม จดจ่ออยู่กับจิต จดจ่ออยู่กับความสงบนิ่ง กำหนดรู้ว่าการผ่อนคลายร่างกาย คือการปล่อยวางร่างกาย ตัดร่างกายขันธ์ 5 ก็คือการปล่อยวาง ความสนใจอาการที่เกิดขึ้นทางกายทั้งหมด เราก้าวข้ามไป สนใจอยู่กับจิต สนใจอยู่กับความสงบ สนใจอยู่กับการประคับประคองรักษาจิตให้สงบนิ่งเบาสบาย ผ่องใส

จากนั้นใช้สติกำหนดรู้อยู่กับลมหายใจ จินตภาพเห็นลมหายใจเหมือนกับแพรวไหมพริ้วผ่านเข้าออกในกาย ลมหายใจผ่านเข้าออก สติรู้ตลอดสาย ลมหายใจที่เหมือนกับแพรวไหมมีความละเอียดเบาสงบ กำหนดรู้อยู่กับลมหายใจกำหนดรู้อยู่กับการปล่อยวาง ประคับประคองอารมณ์จิตให้อยู่กับลมหายใจที่ละเอียดเบาสบายนั้น ไม่ไปคิด ไม่ไปปรุงแต่ง ไม่ไปฟุ้งซ่านเกี่ยวกับสิ่งใด อยู่กับลมหายใจที่เหมือนแพรวไหมเบาสบายสงบ เมื่อจิตเข้าถึงความสบาย คือลมหายใจสบาย จิตชินอยู่กับอารมณ์ใจที่เบาสงบ อารมณ์จิตนี้ก็คืออุปจารสมาธิ อารมณ์จิตเบาๆสบายๆ เป็นอารมณ์จิตที่เราใช้ในการเจริญวิปัสสนาญาณก็ดี เป็นอารมณ์จิตที่เราใช้กำหนดในการใช้อภิญญาจิต ใช้กำลังของมโนมยิทธิครึ่งกำลัง กำหนดรู้และยกจิต เดินจิตขึ้นสู่ฌานที่สูงขึ้น กำหนดหยุดจิตนิ่งหยุด เข้าถึงเอกัคคตารมณ์  เข้าถึงอุเบกขาอารมณ์ จิตหยุดจากการปรุงแต่ง จิตอุเบกขาต่อสิ่งที่มากระทบทางอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นิ่งหยุด จิตเกิดจิตตานุภาพในการบังคับ จากจิตที่ฟุ้งซ่านซัดส่าย ให้มันนิ่งสงบรวมเป็นหนึ่งได้ นิ่งหยุด เมื่อเข้าถึงฌาน 4 ในอานาปานสติแล้ว ก็คือเข้าถึงองค์ฌานเอกัคคตารมณ์ มีอาการเพียงหนึ่งเดียวก็คือ จิตตั้งมั่นรวมเป็นหนึ่ง อุเบกขาต่อทุกสิ่งที่มากระทบ เราก็เดินจิตขึ้นสู่สมถะที่สูงขึ้น ก็คือกสิณ

กำหนดจากจุดที่หยุดให้ขยายการเป็นวง จากวงกลายเป็นทรงกลม คือการเป็นลูกแก้วสว่าง ลูกแก้วที่สว่าง สว่างขึ้น ขยายใหญ่ขึ้น กำหนดเชื่อมโยงกสิณกับจิต ก็คือกสิณจิต จิตคือกสิณ กสิณคือจิต กสิณมีความสว่างผ่องใสเพียงใด อารมณ์จิต จิตของเราก็ผ่องใสเบิกบานสว่างเพียงนั้นด้วยเช่นกัน ผนึกจิตเป็นหนึ่งเดียวกับกสิณ กสิณเป็นหนึ่งเดียวกับจิต  จิตกลายเป็นดวงแก้ว นิมิตดวงแก้วสว่าง สว่างผ่องใสมีประกายระยิบระยับ จากนั้นเดินจิตต่อ จากอุคคหนิมิตคือเป็นดวงแก้วใสสว่างมีประกาย กลายเป็นดวงจิตที่เป็นดวงแก้วอันเป็นเพชรรูปเจียรนัยละเอียดระยิบระยับทั้งดวง มีเส้นแสงรัศมีพุ่งกระจายออกมาโดยรอบ 360 องศา พ้นเลยจากเส้นแสงรัศมีจิต ปรากฏเป็นสภาวะความเป็นทิพย์  มีบรรยากาศพร่างพรายโปรยปรายรายรอบ เป็นเพชรระยิบระยับ ทรงอารมณ์จิตของเราในปฏิภาคนิมิต ในจิตอันเป็นประภัสสร เข้าถึงจิตอันมีความเป็นทิพย์เต็มกำลังสว่าง ทรงสภาวะ ทรงความรู้สึก เชื่อมโยงภาพนิมิตกับอารมณ์พระกรรมฐาน นิมิตสัมพันธ์จิตใจ ยิ่งจิตเราเป็นเพชรสวยงามแพรวพราวเพียงใด ใจเรายิ่งยิ้มเอิบอิ่มเบิกบาน จิตเราเปล่งประกายแสงสว่าง รัศมีของจิตเปล่งประกายออกมาจากจิตมากมายสว่างไกลออกไปเพียงใด อารมณ์ใจของเรารู้สึกถึงความเปี่ยมพลังจากภายในจิต จิตกลายเป็นแหล่งปฏิกรณ์พลังงานอันมหาศาลอันไม่มีประมาณ จิตเปล่งประกายอย่างถึงที่สุด จิตเป็นสุขอย่างถึงที่สุด จิตมีความสว่างไสวระยิบระยับแพรวพราวงดงามอย่างที่สุด

กำหนดรู้ว่าในขณะที่จิตเราสว่างที่สุด ใสที่สุด จิตเป็นสุขที่สุด เราปราศจากอกุศลจิตทั้งปวง จิตมีแต่กุศล จิตมีแต่พลังงานที่เป็นบวก จิตไร้ซึ่งความโลภ โกรธ หลงทั้งปวง จิตเสวยอารมณ์แห่งฌานความสุข กำลังของจิตปรากฏ ยิ่งเปล่งประกาย ยิ่งส่องสว่าง จิตยิ่งมีกำลังเพิ่มขึ้น ยิ่งทรงอารมณ์นานเท่าไหร่ ใจเรายิ่งเข้าถึงความสุขขึ้น สุขจากฌานสมาบัติ สุขที่ปราศจากวัตถุ อามิส คือสิ่งของที่ต้องมาสนอง ปรนเปรอร่างกาย สุขของฌานสมาบัติคือสุขของความสงบ สุขของความผ่องใส สุขในสภาวะที่จิตเราเปี่ยมพลังงาน เพราะจิตเปี่ยมพลังงานจึงเปล่งประกายออกมาได้ พลังงานที่เปล่งประกายออกจากจิตมาได้ เกิดขึ้นจากสมถะ คือการเจริญพระกรรมฐานสมาธิจิต และพลังงานที่เปล่งประกายออกมาจากจิตเราได้ มาจากกำลังของบุญกุศลที่เราสร้างสะสมไว้ในจิตดวงนี้ ตั้งแต่ปฐมชาติ ตั้งแต่อดีตกาล กำหนดจิต ให้จิตเราเปล่งประกายสว่างอย่างที่สุด จงจำไว้ว่ายิ่งเปล่งประกายมากเท่าไหร่ จิตยิ่งเพิ่มพูนกำลัง อย่าไปคิดว่าจิตเราเมื่อเปล่งประกายแสงสว่างแล้ว พลังมันจะหมดเหมือนแบตเตอรี่ มันกลายเป็นว่าจิตนั้น มีคุณสมบัติพิเศษ ยิ่งสว่างมากเท่าไหร่ กำลังของจิตยิ่งเพิ่มพูนขึ้น แผ่เมตตามากเท่าไหร่ บุญกุศลยิ่งเกิดเพิ่มพูนขึ้น ยิ่งเปล่งประกาย ยิ่งให้ ยิ่งได้ ยิ่งแผ่ออก ยิ่งเกิดกำลัง เหตุผลที่เกิดกำลังก็คือ เมื่อใดที่จิตเราเอาชนะกิเลส ชนะนิวรณ์ 5 ประการได้ จิตก็เข้าสู่สภาวะจิตเดิมแท้อันเป็นประภัสสร คือระเบิดแหวกทำลายร้างสรรพกิเลสที่เข้ามาห่อหุ้มจิตของเรา

ดังนั้นสภาวะที่เราเอาชนะกิเลสด้วยกำลังของฌานสมาบัติ ด้วยกำลังของเมตตาฌาน ด้วยกำลังอนุภาพของกสิณจิต จิตเราก็มีกำลัง แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่จิตเราซึมเศร้า จิตเราเศร้าหมอง จิตเรามีความทุกข์ความกังวล นั่นก็คือกำลังของจิตปิดตัวลง จากการที่ถูกกิเลส ถูกความเศร้าหมอง ถูกสิ่งที่เป็นความทุกข์ความกังวลเข้ามาห่อหุ้ม จิตก็เสียกำลังไปด้วยเหตุฉะนี้ เมื่อกำหนดรู้แล้ว เราก็เปล่งประกายรัศมีของจิต จิตคือกสิณ กสิณคือจิต เปล่งประกายความสว่าง ความผ่องใสของจิตเต็มกำลัง ความรวยจน ไม่มีผลกับกำลังจิตตานุภาพ ความเป็นเด็ก ความเป็นหนุ่มสาว ความเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ ไม่มีผลกับจิตอันประภัสสรขณะนี้ พ้นจากกาย พ้นจากสมมุติ พ้นจากความรวยความจน จิตประภัสสรเต็มกำลัง ทรงสภาวะที่จิตเป็นเพชรประกายพรึกสว่าง รัศมีของจิตเรากำหนด น้อมให้เป็นกระแสของเมตตาอันไม่มีประมาณ แผ่ไปพร้อมกับรัศมีของจิต ในขณะที่จิตเราประภัสสรที่สุด เราอาศัยกำลังฌานสมาบัตินี้ เจริญเมตตาพรหมวิหารในเมตตาอัปปนาฌาน แผ่เมตตาไปอย่างไม่มีประมาณ

กำหนดน้อมให้กำลังของจิตตานุภาพ กำลังบุญกุศล ส่งผลให้จิตดวงนี้มีกำลัง กำลังของจิตเราน้อมนำไปใช้เป็นอภิญญาจิต น้อมนำไปใช้เป็นกำลังความเป็นทิพย์ ใช้ตัดกิเลส ใช้ในกำลังของมโนมยิทธิ เพื่อยกจิตขึ้นไปบนพระนิพพาน เมื่อเราใช้กำลังของจิตไปในทางที่เป็นสัมมาสมาธิ อภิญญาที่เกิดขึ้นกับจิตของเรา ก็เป็นสัมมาอภิญญา ไม่ใช่เป็นมิจฉาอภิญญา สัมมาอภิญญาก็คืออภิญญาจิต ความสามารถ ศักยภาพความเป็นทิพย์ของจิต ที่เราน้อมนำไปใช้ เพื่อยังประโยชน์ในการตัดกิเลส ใช้เพื่อละเพื่อตัดกิเลส และก็ใช้เพื่อสงเคราะห์เกื้อกูล บุคคลที่เขาตกทุกข์ได้ยาก ใช้ในการนำพา ให้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ปลอดภัยจากภยันอันตรายทั้งปวง ในขณะนี้ถ้าเราสังเกตดู เราก็จะเห็นความวุ่นวายอย่างยิ่งของโลก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแผ่นดินประเทศไทยนี้ มีความวุ่นวายสับสนไปหมด ทั้งในเรื่องของชาติบ้านเมือง ศึกสงครามก็ดี ในเรื่องของพระพุทธศาสนา หรือแม้แต่ในเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้นในช่วงนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงพรรษากาลนี้ พระท่านก็ส่งคำสั่งลงมาว่า เราทั้งหลายที่เป็นสาธุชน คนที่ตั้งใจดีมีจิตดี มีจิตเจตนาดีต่อชาติบ้านเมืองส่วนรวม พึงเร่งการปฏิบัติธรรมให้เข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ขณะนี้ เป็นภัยของพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง อันตรายอย่างยิ่ง น่าห่วงน่าวิตกกังวลอย่างยิ่ง ดังนั้นก็เป็นวาระที่อภิญญาใหญ่ก็จะเริ่มเปิดขึ้น เพิ่มขึ้น แต่เดิมตัวอาจารย์เองก็ตั้งใจว่า ขอให้พระที่เป็นพระอาจารย์ในดง พระที่ท่านทรงอภิญญามาช่วย มาโปรดบ้านเมือง แต่สุดท้ายแล้วก็มีครูบาอาจารย์ที่ท่านสามารถเชื่อมต่อกับในดงได้ ท่านก็บอกว่าไม่ใช่หน้าที่ท่าน สุดท้ายแล้วมันก็กลายเป็นหน้าที่พุทธบริษัทอย่างพวกเรา กลับกลายมาเป็นหน้าที่ของฆราวาสที่ปฏิบัติธรรมกับมีความตั้งใจ อธิษฐานจิตลงมาทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ที่จะเป็นวาระในการช่วยส่วนรวมบ้านเมือง

ตอนนี้ก็ให้เราทุกคนตั้งกำลังใจ กำหนดจิตให้เกิดความผ่องใสที่สุด ไม่ต้องไปสนใจเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น ทรงอารมณ์ให้ผ่องใสประภัสสรที่สุด เป็นประกายพรึกที่สุด สว่างที่สุด จากนั้นตั้งจิตอธิษฐาน ขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ขอยกจิตข้าพเจ้าขึ้นไปบนพระนิพพานอยู่เบื้องหน้ามหาสมาคม มีพระพุทธเจ้าสมเด็จองค์ปฐมทรงเป็นประธาน พร้อมด้วยพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ด้วยเถิด เมื่อกำหนดจิตแล้ว เราอธิษฐานลองฝึกที่จะเปลี่ยนจากจิตที่เป็นดวงแก้วใส ตอนนี้ก็ให้เราลองอธิษฐาน อยู่เบื้องหน้ามหาสมาคม เบื้องหน้าสมเด็จองค์ปฐม อธิษฐานให้เป็นดวงแก้วสว่างใส เป็นเฉพาะดวงแก้ว เพราะจิตจริงๆก็คือมีลักษณะเป็นทรงกลม เป็นดวงแก้วดวงจิต จากนั้นกำหนดจิต อธิษฐาน จิตที่บริสุทธิ์วิมุตหมดจด จิตที่พิจารณายินดีในพระนิพพาน ตัดภพจบชาติ พิจารณาตัดวาง เห็นทุกข์ในภพภูมิต่างๆของสังสารวัฏ ขอให้เกิดสภาวะเกิดขึ้นช้าๆ ตอนนี้ฝึกช้า ให้จากจิตที่เป็นดวงแก้วประภัสสร ค่อยๆก่อเกิดรูปเป็นกายทิพย์เป็นกายพระวิสุทธิเทพขึ้นมาช้าๆ จากดวงแก้วสว่างขยายขนาด ยืดขนาด จนค่อยๆกลายเป็นกายพระวิสุทธิเทพ คราวนี้ให้เราสังเกตดูว่าเมื่อเราค่อยๆเปลี่ยน กายพระวิสุทธิเทพในขณะนี้ใสกว่าปกติไหม ใสละเอียดอย่างยิ่งไหม กำหนดรู้ความรู้สึกว่ากายพระวิสุทธิเทพคือตัวเราขณะนี้ ปรากฏอยู่บนพระนิพพานอย่างชัดเจน

จากนั้นกำหนดขอกายพระวิสุทธิเทพ น้อมลงบรรจงกราบทุกท่าน ทุกๆพระองค์บนพระนิพพาน กราบด้วยความนอบน้อม กราบให้ถึงแทบพระบาทของพระพุทธองค์ เมื่อเรากราบลงได้แล้ว ก็กำหนดอธิษฐานต่อไป ขอความรู้ทั้งหลายคือสรรพวิชาทั้งหลาย ในอดีตชาติของข้าพเจ้า กรรมฐานทุกกอง วิชชาความรู้ต่างๆทางโลกทางธรรมที่พึงก่อให้เกิดประโยชน์ ในขณะที่ข้าพเจ้ายังดำรงธาตุขันธ์กายเนื้อบนโลกมนุษย์อยู่นี้ ขอสรรพวิชาทั้งหลาย จงรู้ตื่นรู้แจ้งรู้กระจ่างขึ้นในจิตของข้าพเจ้าด้วยเถิด จากนั้นอธิษฐานต่อไป กำหนดจิต ทบทวนพิจารณาการเรียนทั้งหมด กำหนดพิจารณาดูในจิตของเรา ฌาน 4 ในอานาปานสติ เราสามารถทำได้ไหมด้วยตัวเอง โดยที่ไม่ต้องมีอาจารย์นำอีก กำหนดที่จะทรงอารมณ์ กำหนดที่จะเข้าอารมณ์สบาย กำหนดที่จะหยุดจิตเป็นเอกัคคตารมณ์ทำเองได้ไหม พิจารณาทบทวนต่อไป ว่าทำไมเราถึงต้องฝึกตรงนี้ ฝึกไปทำไม เพื่อระงับนิวรณ์ เพื่อระงับความฟุ้งซ่าน เพื่อให้จิตปรับจากความเศร้าหมอง จากความสับสนวุ่นวาย มาอยู่กับสภาวะที่จิตเข้าถึงอุปจารสมาธิ คือความเบาความสบายของจิต อันเป็นอารมณ์ที่เป็นฐานตั้งต้น แล้วก็เป็นกรรมฐานสำคัญที่เรียกว่าวิหารธรรมก็คือ เป็นธรรมเครื่องอยู่ของจิต ซึ่งเราควรที่จะต้องทรงอารมณ์เช่นนี้เป็นมาตรฐานอยู่ให้นานที่สุด มากที่สุด เป็นที่พักของจิตคือทรงอารมณ์นี้ให้เป็นปกติตลอดทั้งวัน ตลอดทั้งชีวิตให้ได้ ซึ่งที่จริงมันก็ไม่ยากเกินไป ถ้าทรงอารมณ์ที่เราอยู่ในอารมณ์สบายได้ตลอดเวลา อารมณ์อกุศลก็จะเข้าน้อยมีแต่อารมณ์ที่เป็นกุศล จิตมีความพร้อมที่จะยกขึ้นสู่กำลังของมโนมยิทธิได้ทันทีตลอดเวลา จิตมีความผ่องใสเป็นปกติ สิ่งสำคัญจุดหนึ่งก็คือ เมื่อเราทรงอารมณ์เช่นนี้ได้ตลอดเวลา ความโลภ โกรธ หลง อกุศลมันก็จะห่างจากจิตไป

ดังนั้นเรากำหนด ว่าเราจะทรงอารมณ์ความผ่องใสให้ได้ อย่างน้อยในช่วงพรรษานี้ก็ฝึก เพื่อที่จะให้ทำได้ตลอดเวลา ให้มากที่สุด ให้นานที่สุด เท่าที่จะทำได้ คราวนี้ทบทวนต่อไปว่า พอยกขึ้นมาให้อารมณ์ของอานาปานสติเข้มข้นขึ้น ก็คือนิ่งหยุด หยุดจิต หยุดจิตได้เมื่อไหร่ เราก็หยุดอกุศล หยุดความโกรธ หยุดความอาฆาตพยาบาทจองเวร หยุดการปรุงแต่งได้บัดนั้น นั่นก็เหมือนกับจิตที่เมื่อก่อนเราเคยไหลไปกับอารมณ์ต่างๆ ไหลไปกับอกุศลต่างๆ แต่ตอนนี้เรามีจิตตานุภาพคือหยุดจิต หยุดไม่ให้ปรุงแต่งต่อ หยุดไม่ให้ไหลต่อ เมื่อหยุดตรงนี้ได้ ตรงนี้ก็ถือว่าเราสามารถที่จะใช้กำลังฌานสมาบัติกดข่มสรรพกิเลส พอกดข่มให้มันสงบระงับลงได้ เราก็ใช้วิปัสสนาญาณคือปัญญาละ ละออก ถอดถอนกิเลสออกไปจากจิต โดยพิจารณาว่าอารมณ์ที่เป็นอกุศลทั้งหลายเราไม่ปรารถนา อารมณ์ที่เศร้าหมองทั้งหลายเราไม่ปรารถนา อารมณ์ทั้งหลายเหล่านี้เป็นเหตุแห่งอบายภูมิ เราไม่เอา เราปรารถนาแต่อารมณ์แห่งกุศล อารมณ์แห่งการตัด ละกิเลส ละความเศร้าหมอง เมื่อกำหนดพิจารณาเพิกถอนออก ตรงนี้ก็เป็นวิปัสสนา ดังนั้นก็คือหยุด เหมือนอุปมาว่าเราเจอกับเสือ เรามีกำลังกดคอเสือก่อน กดคอเสือให้นิ่ง หลังจากนั้นจึงใช้ดาบหรือศาสตราวุธที่มีความคม ประหัตประหารตัดศีรษะของสัตว์ร้าย ก็คือกิเลสนั้นออกจากใจของเรา ดังนั้นต้องใช้ผนวกควบทั้ง 2 ก็คือกำลังฌานสมาบัติและกำลังวิปัสสนาญาณ พอพิจารณาแบบนี้แล้ว ก็กำหนดว่าเมื่อเห็นคุณแห่งการฝึกการปฏิบัติ เราก็ขยันฝึกจนเป็นวสี คือมีความชำนาญเข้าถึงเข้าฌาน 4 ลัดนิ้วมือเดียวทำให้เป็นปกติ เมื่อทำให้เป็นปกติได้ ก็กลายเป็นเรื่องที่ไม่ยาก กลายเป็นเรื่องที่ง่าย หยุดจิตได้แล้ว ต่อไปก็กำหนดที่จะฝึกพิจารณาทบทวนต่อไปว่า สิ่งที่เราทำได้มีอะไรอีก ฝึกกำหนดในกสิณจิต ยังจิตให้ประภัสสร ฝึกที่จะทำให้เป็นปกติ เราเข้าฌาน 4 ได้ลัดนิ้วมือเดียวในอานาปานสติฉันใด เราก็กำหนดจิตให้ประภัสสรได้ทันที รวดเร็วเพียงแค่ลัดนิ้วมือเดียวฉันนั้น

กำหนดทรงอารมณ์ให้จิตประภัสสรสว่างที่สุด ในกายพระวิสุทธิเทพบนพระนิพพานขณะนี้ กำหนดให้สว่างที่สุด ใสที่สุด เปล่งประกายที่สุด รู้สึกถึงกายทิพย์มีพลังเปี่ยมมากที่สุด เมื่อทรงสภาวะได้แล้ว ก็กำหนดจิตต่อไป ซักซ้อมว่าคราวนี้วิธีฝึกวิธีปฏิบัติของเรา เมื่อไหร่ก็ตามที่เราประนมมือขึ้นนึกถึงพระ ประนมมือ มือประกบกัน เรากำหนดเห็นจิตเราสว่างระเบิดแสงสว่างกระจายออก จนทะลุกายเนื้อเราให้หมดทันที ประนมมือปุ๊บ จิตเราสว่างประภัสสรเต็มกำลังทุกครั้ง อันนี้ให้เราฝึกให้ได้ให้เป็นปกติ วิธีการที่จะนำไปใช้คือใช้งานก็คือ เวลาที่เราประนมมือขึ้น จะสวดมนต์ก็ดี จะใช้คาถาก็ดี จะอธิษฐานจิตก็ดี เราประนมมือขึ้นเมื่อไหร่ จิตเราสว่างผ่องใสเต็มกำลังเมื่อนั้น เมื่อจิตเราผ่องใสสว่างเต็มกำลังเมื่อนั้น ยามที่เราสวดมนต์ก็ดี ท่องภาวนาคาถาต่างๆก็ดี หรืออธิษฐานจิต กำลังความเป็นทิพย์เกิดขึ้นจากความผ่องใส จากจิตที่ประภัสสรที่สุด เราทำเช่นนี้ได้เมื่อไหร่ ผลลัพธ์ของการอธิษฐานการสวดมนต์ การใช้คาถาต่างๆ ก็เกิดผลสัมฤทธิ์ มากกว่าคนที่ยังจิตซัดส่าย จิตเศร้าหมอง จิตซึมๆ จิตมีความลังเลสงสัย ดังนั้นก็ให้เราฝึกที่จะทำไว้เช่นนี้ให้เป็นปกติอยู่ตลอดเวลา เมื่อทำได้แล้ว เราก็กำหนดต่อไป พิจารณาทบทวนว่าเมื่อจิตประภัสสรที่สุด เราฝึกที่จะทรงภาพพระ อันนี้ยังเชื่อมโยงกับการที่เราอยู่บนโลกมนุษย์กายเนื้อ ทรงภาพพระสามฐาน องค์พระอยู่เหนือศีรษะ องค์พระอยู่ในศีรษะ องค์พระอยู่ในกายของเราสว่างออกมา อธิษฐานจิตว่า การที่เราอาราธนาบารมีพระ 3 ฐานไว้ได้ ทรงภาพพระหลับตาลืมตา เห็นภาพพระตลอดเวลาไว้ได้ ตรงจุดนี้ถือว่าจิตเราเชื่อมโยงกับพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน ตราบที่เราทรงภาพพระ 3 ฐาน เรามีกำลังของพุทธานุภาพ กำลังของพระพุทธองค์ มาสถิตรักษาอยู่กับกาย วาจา จิตของเราเป็นปกติ กำลังพุทธานุภาพไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณเพียงใด จิตของเราก็สามารถน้อมอาราธนาบารมีของพระพุทธองค์มายังจิตของเรามากเพียงนั้นเช่นกัน จุดนี้ก็คือจุดสำคัญที่ว่า จิตแต่ละคนนั้นสามารถเชื่อมกระแสคือ อาราธนากำลังพระ กำลังพุทธคุณลงมาได้ไม่เท่ากัน จิตก็เกิดความศักดิ์สิทธิ์ได้แตกต่างกัน คนที่มีจิตตั้งมั่นอยู่กับพระพุทธเจ้า จิตเชื่อมั่นกับพระพุทธองค์ จิตปราศจากความลังเลสงสัย กำลังของพุทธานุภาพที่ก่อเกิดประจักษ์แจ้งกับบุคคลนั้น ก็ย่อมมากกว่าคนที่ลังเลสงสัย ในเรื่องของความลังเลสงสัยหรือวิจิกิจฉานั้น จะสรุปให้ฟังคร่าวๆตรงนี้สำคัญควรจะต้องจำแล้วก็แก้อารมณ์ตัวให้ได้

 1.ถ้ายังลังเลสงสัยก็คือมีความรู้สึกอารมณ์จิตว่า กำลังของพระท่านลงมาหรือยัง ลงมาได้จริงหรือไม่ คิดแค่นี้ก็วิจิกิจฉา พลังก็หายไปค่อนข้างเยอะ ตั้งแต่ 80- 90 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป

2. รู้สึกตั้งมั่น มั่นคงสัมผัสได้ว่ากำลังพุทธานุภาพอยู่กับเราจริง แต่ยังอดไม่ได้ที่จะถามอาจารย์ว่า มีกำลังไหม ทำได้ไหม สำเร็จไหม ถ้ายังถามก็แปลว่ายังวิจิกิจฉา ยังไม่เต็มร้อย ถ้าเต็มร้อยจะไม่ถามใครจะตั้งมั่นเชื่อมั่นในพระพุทธเจ้า จดจ่ออยู่กับพระพุทธเจ้า หรืออย่างกำลังของมโนมยิทธิก็เช่นกัน ยกจิตขึ้นไปแล้ว จะยังต้องไปถามคนอื่นอีกว่า เห็นตัวเองอยู่ข้างบนจริงไหม ถ้าถามก็แปลว่าวิจิกิจฉาเกิด คนที่ไม่มีวิจิกิจฉาจะไม่มีคำถาม จะหมดคำถาม จะไม่สงสัย ดังนั้นจะให้คนอื่นช่วยยืนยันก็ดี ให้คนอื่นช่วยตรวจสอบว่ามาได้มาไม่ได้ทำได้ทำไม่ได้ ตรงนี้ถือว่าวิจิกิจฉาทั้งสิ้น ถ้ายังมีวิจิกิจฉาอยู่ ก็ยังถือว่ากำลังยังไม่เต็ม 100% ถ้าจะให้กำลังของพุทธานุภาพที่เราฝึกที่เราปฏิบัติเต็ม 100% ต้องไม่สงสัย

ความหมายความเข้าใจในจิตของแต่ละบุคคลที่ว่า พุทโธอัปปมาโณ คือคุณพระพุทธเจ้าไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ ก็มีไม่เท่ากัน บางคนยังสงสัยว่าแค่ไหน เอาเป็นว่า ไม่มีกำลังใดสูงกว่าพระพุทธเจ้า ไม่มีกำลังใดสูงกว่าพุทธคุณ ไม่มีคาถาบทใดศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่า บทที่เป็นพุทธคุณ ก็คืออิติปิโส ซึ่งเป็นที่มาของยันต์ทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งยันต์เกราะเพชร ดังนั้นเมื่อเราเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งในจิต ตรงนี้เป็นสิ่งที่บางคนมองข้าม หรือเป็นจุดที่เราผ่านเลยไป ในพรรษานี้ก็พยายามตั้งกำลังใจของเราให้หมดวิจิกิจฉา ไม่จำเป็นต้องให้คนช่วยยืนยัน อย่างประสบการณ์ที่อาจารย์พบลูกศิษย์ที่ชอบให้อาจารย์ช่วยยืนยัน บางคนฝึกมาจนถึงขั้นสูง ก็ยังจะให้ยืนยันจุดนั้น ดังนั้นก็ยังก้าวข้ามขั้นในการปฏิบัติที่สูงขึ้นของตนไปไม่ได้ ก็เพราะว่ายังมัวแต่ให้ยืนยันอยู่ วิธีจะให้ยืนยันที่ดีที่สุดก็คือปฏิบัติจนเข้าถึงกำลังอภิญญาปาฏิหาริย์ จริงๆปาฏิหาริย์ต่างๆ อภิญญาต่างๆ ส่วนหนึ่งก็เป็นไปเพื่อเป็นเครื่องยืนยันผลของการปฏิบัติ อภิญญา ปาฏิหาริย์ต่างๆก็คืออย่างเช่น นึกสิ่งใดก็สำเร็จดังปรารถนา อันนี้ก็ถือว่าเราใช้แรงอธิษฐานของเราก็ดี กำลังบุญฤทธิ์ของเราก็ดี หรือแม้แต่การที่เราอาราธนาขอบารมีพระ แล้วเกิดผลสัมฤทธิ์ขึ้นมาก็ดี อันนี้เมื่อเกิดขึ้น จิตเราต้องมีความศรัทธามากขึ้นเพิ่มขึ้น วิจิกิจฉาต้องหายไป จำไว้ว่าวิจิกิจฉาจะเป็นธรรมฝ่ายอกุศล วิจิกิจฉานี้ถือว่าเป็นอกุศล ที่อยู่ตรงกันข้ามกับศรัทธา ถ้าจิตมีศรัทธามาก วิจิกิจฉาก็จะน้อย เชื่อมั่นในพุทธคุณมาก วิจิกิจฉาก็จะสิ้นไป ตรงนี้เราต้องทำให้เพิ่มพูนขึ้นมากขึ้น อภิญญาปาฏิหาริย์ที่เป็นสิ่งที่จริงๆแล้วอยากแนะนำให้ทำโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพรรษานั้นก็คือ

ถ้าหากใครบูชาพระบรมสารีริกธาตุคือมีพระบรมสารีริกธาตุที่บ้าน วิธีในการที่จะบูชาพระธาตุที่ให้ดีที่สุด  ไม่ใช่การที่เราขยัน หมั่นเอาดอกไม้เครื่องหอมมาบูชาท่านแต่อย่างเดียว อันนั้นทำก็ถือว่าดีมีประโยชน์ควรทำ แต่สิ่งที่ควรยิ่งกว่าก็คือปฏิบัติบูชา ทำจิตให้ใสที่สุด สว่างที่สุด และอธิษฐานตรงกับพระบรมสารีริกธาตุว่า หากข้าพเจ้าปฏิบัติ มีความผ่องใสของจิต มีความบริสุทธิ์หมดจดของจิต มีความสะอาดของจิตเพียงใด ก็ขอให้กุศลแห่งความผ่องใสของจิตนี้ น้อมถวายเป็นปฏิบัติบูชา บูชาพระบรมสารีริกธาตุคือบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็ขอให้พระบรมสารีริกธาตุนี้แสดงปาฏิหาริย์ เช่นวรรณะที่ขุ่นกลายเป็นแก้วใสขึ้น ขาวขึ้น วรรณะมีความสะอาดบริสุทธิ์ขึ้น หรือเสด็จเพิ่มขึ้น จำนวนเพิ่มขึ้น อันนี้เมื่อไหร่ที่เราทำได้ถึงขั้นนี้ พระธาตุเสด็จบ้าง พระธาตุเพิ่มจำนวนบ้าง พระธาตุเปลี่ยนวรรณะบ้าง ตรงจุดนี้ก็ให้เรายิ่งเพิ่มความศรัทธาในคุณพระพุทธเจ้า เชื่อมั่นในจิตเพิ่มพูนในจิต จนจิตสิ้นความลังเลสงสัยในคุณของพระพุทธเจ้า เมื่อไหร่ที่จิตเราเข้าถึงสภาวะนี้ขั้นนี้ได้เมื่อไหร่ กำลังจิตเวลาที่เราขอบารมีพระทุกเรื่อง จะเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างอัศจรรย์อย่างยิ่ง จิตเราก็จะศักดิ์สิทธิ์ขึ้น

ดังนั้นสิ่งที่ครูบาอาจารย์โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลวงพ่อพระราชพรหมยานหลวงพ่อฤาษีท่านสอน ท่านบอกว่าทุกอย่างขอบารมีพระ จะทำการสิ่งใดก็ขออนุญาตพระท่านก่อนเสมอทุกเรื่อง ถามทุกเรื่อง ขอบารมีพระทุกเรื่อง อันนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี ก็มีตัวอย่างลูกศิษย์ที่ตั้งใจ แม้แต่การทำกิจการงานหน้าที่ ธุรกิจทางโลกก็ขอบารมีพระถามพระตลอดเวลา จนกระทั่งธุรกิจก็มีความเจริญรุ่งเรืองขึ้น มีความก้าวหน้าขึ้น มีชื่อเสียงขึ้น ชีวิตดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อันนี้ก็ถือว่าเป็นความดี ดังนั้นบางคนอย่าไปสำคัญผิดคิดว่า เราเกรงใจท่าน ไม่ถามพระ ไม่ขอบารมีพระ จริงๆเคล็ดลับสูงสุดของวิชามโนมยิทธิก็คือ ขอบารมีพระ อยากไปรู้สิ่งใด อยากย้อนกลับไปดูอดีต ขอบารมีพระ อยากยกจิตขึ้นไปบนพระนิพพานขอบารมีพระ อยากที่จะขอให้วัตถุมงคลของเราเกิดความศักดิ์สิทธิ์ขอบารมีพระ ถามเรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคตขอบารมีพระ จะสร้างพระจะทำบุญขอบารมีพระ มีเหตุที่มันมีวิบากมาประสบพบเจอขึ้นขอบารมีพระ คือถามท่านว่าทำยังไงเพราะอะไรจะแก้ไขอย่างไร ดังนั้นจำไว้ ทุกสิ่งทุกอย่างขอบารมีพระเสมอ อย่างอาจารย์จะทำผ้ายันต์เกราะเพชรแสนผืนแจก ก็ขอบารมีพระ พระท่านอนุญาตก็แจก พอจัดสร้างจัดทำขึ้น ครูบาอาจารย์ท่านก็เมตตาสงเคราะห์อธิษฐานจิตให้เต็มกำลังทุกรูปทุกองค์ ในการที่ไปจ่ายแจกออกไป ก็กลายเป็นว่า ผู้ใหญ่ท่านก็คือนายทหารทั้งหลาย ทั้งแม่ทัพ ทั้งผู้บัญชาการสูงสุด ก็เมตตาที่จะรับ กลายเป็นสิ่งที่เราซึ่งเป็นคนเล็กๆไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรมาก มีจิตอันบริสุทธิ์ที่จะทำผ้ายันต์แจก กลายเป็นผู้ใหญ่ท่านก็เมตตา เข้าใจไปถึงผู้ใหญ่ ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างจำไว้ว่าเมื่อไหร่ที่เราขอบารมีพระ ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะสำเร็จสัมฤทธิ์ผลอย่างอัศจรรย์ อันนี้คือเคล็ดลับสำคัญที่เราทุกคนจะต้องจดจำ เดินตามเป็นแบบอย่าง

สำหรับวันนี้โดยสรุปง่ายๆ

  • พยายามฝึกที่จะเข้าฌานสมาบัติให้เร็ว
  • พยายามฝึกที่จะกลั่นจิตให้ใสที่สุด สะอาดที่สุด
  • พยายามฝึกที่จะขัดเกลาให้วิจิกิจฉาในจิตเราสิ้นไปให้มากที่สุด
  • พยายามฝึกที่จะอาราธนากระแสพุทธานุภาพลงมายังจิตของเราให้มากที่สุด

จำไว้ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่วิจิกิจฉาในจิตเราหมด หรือสิ้น หรือจางลง ความอัศจรรย์ของพระพุทธศาสนา ความศักดิ์สิทธิ์ของพุทธานุภาพก็จะเริ่มปรากฏ ประจักษ์แจ้งกับจิตของเรา

สำหรับใครก็ตามที่เราปฏิบัติมาจนถึงในระดับที่พระธาตุเปลี่ยนวรรณะ เสด็จเพิ่ม ใสขึ้น ขยายขนาดขึ้น จากข้อใดข้อหนึ่งหรือครบทั้งหมดก็ตาม ก็พยายามแจ้งให้ทราบในโพสต์ เพื่อให้รู้ผลตอบกลับของการปฏิบัติกันมาด้วย

ต่อไปในการปฏิบัติ ก็ให้เราฝึกโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการเจริญวิปัสสนาญาณ ฝึกละให้มากที่สุด ปล่อยวางให้มากที่สุด ตัวละ ตัวปล่อยวางก็คือ ตัวที่ทำให้จิตเราเข้าพระนิพพานได้เร็ว ยิ่งเกาะ ยิ่งยึดมั่นถือมั่นมากเท่าไหร่ ยิ่งไปได้ยาก ยิ่งฝึกปล่อยวาง มีอะไรกระทบฝึกปล่อยวาง มีอะไรที่เรารักมาก ชอบมาก  หลงมาก ห่วงมาก ปล่อยวาง ฝึกที่จะวางให้เร็ว ละให้เร็ว รู้ได้เร็ว รู้ว่าตอนนี้เรายึด เรารีบฝึกวาง จริงๆก็คือแค่วางจากใจของเรา เราไม่ได้ทิ้งมันไป หมายความว่าในระหว่างที่เรายังมีชีวิตอยู่ในชาตินี้ ของบางอย่างเช่น เงินทอง ถามว่าเรายังต้องใช้ไหม เราต้องใช้ ปล่อยวางก็คือไม่ใช่เราทิ้ง เราใช้แต่เรากำหนดในใจเราว่า ตายเมื่อไหร่เราก็ไม่ใช้ เราก็ไม่ได้ยึด เราก็ไม่ได้ห่วง เราก็ไม่ได้โลภจนเกินพอดี เราใช้เพื่อประโยชน์ ประโยชน์ในการดูแลชีวิตของเรา ใช้เพื่อยังประโยชน์ในการทำนุบำรุงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แต่ใจของเราวาง หรือของที่เรารัก ที่เราห่วง เป็นของที่มีค่ามีราคา บ้าน รถ เราก็กำหนดใช้ กำหนดดูแลรักษา แต่กำหนดว่าเราวางใจ คือวางจากมัน วางจากความห่วงได้ไหม เราฝึกที่จะวางให้หมด บุคคลทั้งหลายก็เช่นกัน ฝึกที่จะวาง พ่อแม่เราก็ต้องฝึกวาง คนรักของเราก็ต้องฝึกวาง ลูกของเรา หลานที่เรารักก็ต้องฝึกวาง ฝึกวางให้หมด เพราะท้ายที่สุด แม้แต่ขันธ์ 5 ร่างกายเรา เมื่อตายไปเราก็ต้องวาง ดังนั้นเราฝึกวางก่อนแต่แรก ก็คือวางกาย ผ่อนคลายร่างกาย คือวางกาย ทิ้งกาย ตัดกายไปตั้งแต่แรก จำไว้ว่ากรรมฐานการฝึกการปฏิบัติทั้งหมด อันที่จริงสามารถควบกอง เช่นควบกองกรรมฐาน สามารถใช้สลับกอง คือสลับหน้าหลัง ถอยหน้าถอยหลังได้ อย่างคาถาก็ตาม เราก็คงเคยได้ยินว่าสวดอิติปิโสถอยหลัง คือปกติก็อิติปิโสไป สวดถอยหลังก็อีกแบบหนึ่ง หรืออย่างเอาแค่นะโมตัสสะ ถอยหลังก็คือสะตัสโมนะ หรืออนุโลมปฏิโลมอันนี้ก็คือถอยหน้าถอยหลัง มีสลับไปสลับมา อันนี้ก็คือต้องฝึก ถ้าสำหรับคนที่ฝึกอภิญญา

ก่อนที่จะจบ ก็ขอให้เราแต่ละบุคคลตั้งใจทรงอารมณ์ ทรงอารมณ์พระนิพพานสูงสุด ทรงสภาวะในการเป็นกายพระวิสุทธิเทพ อยู่เบื้องหน้าสมเด็จองค์ปฐมพระพุทธเจ้า พระปัจเจกฯ พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ กำหนดพิจารณาในอารมณ์พระนิพพาน ตัดวางทุกสิ่ง ตัดภพจบชาติ ตัดสังโยชน์ทั้ง 10 จิตตั้งมั่นแนบกับพระนิพพานให้มากที่สุด จิตไม่ลังเลสงสัยในคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ให้มากที่สุด กำหนดจิตว่า เรามีโชคดีมหาศาล เราพบพระดีทุกท่าน ทุกดวงจิตบนพระนิพพานแห่งนี้ รับประกันได้ว่าทุกท่านสิ้นอาสวะกิเลสเป็นพระอรหันต์แน่นอน เราเลิกที่จะแสวงหาไขว่คว้าดิ้นรนจนเกินไป อธิษฐานจิตว่าขอให้พบเจอแต่พระอริยสงฆ์เท่านั้น นับตั้งแต่บัดนี้ ไม่ไปผิดเนื้อนาบุญ ไม่ไปผิดที่ผิดทาง ขอการทำบุญสร้างกุศลของข้าพเจ้า เป็นไปเพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา การทำบุญตั้งจิตทุกครั้งคือถวายเป็นสังฆทาน เป็นของสงฆ์ บุคคลใดที่เป็นสมมุติ เราไม่สนใจ เราถือว่าถวายสงฆ์ไปแล้ว ปล่อยวาง ใครไปทำเช่นไร เราได้อานิสงส์ของเรา ใครไปทำอย่างไร ก็เป็นกรรมของเขา เราก็อุเบกขา

จากนั้นเรากำหนดจิต ตั้งใจว่าขอให้กำลังพุทธานุภาพ มาประสิทธิ์ประสาท การสวดมนต์ของข้าพเจ้า การเจริญพระกรรมฐานของข้าพเจ้า ขอจงก่อเกิดความศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์ มีกำลังพุทธบารมีคุ้มครอง ขอให้ข้าพเจ้าเข้าถึงกำลังแห่งอภิญญาใหญ่ เข้าถึงกำลังแห่งอภิญญาจิต โดยที่เป็นสัมมาอภิญญา เป็นกำลังอภิญญาที่เนื่องจากพุทธานุภาพอันไม่มีประมาณด้วยเถิด ตั้งจิตอธิษฐาน จากนั้นขอให้สรรพวิชาจงหลั่งไหลรวมลงสู่ข้าพเจ้า ณ บัดนี้ ขออภิญญาใหญ่ก็ดี ขอวิปัสสนาญาณ ขอฌานสมาบัติ ขอโลกุตระธรรมเจ้าทั้ง 9 ประการ จงมาสถิตรักษาในจิตในอาทิสมานกายของข้าพเจ้านี้ จากนั้นกำหนดน้อมอาราธนากระแสของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ รวมลงเป็นกระแสบุญศักดิ์สิทธิ์จากพระนิพพาน แผ่เมตตาลงไปยังสามภพสามภูมิ กระแสบุญกุศลแผ่รวมลงยังอรูปพรหมทั้ง 4 พรหมโลกทั้ง 16 ชั้น มีท่านท้าวสหัมบดีพรหม ทรงเมตตาเป็นประธาน แผ่เมตตาต่อไปยังอากาศเทวดาทั้ง 6 ชั้น ขอพระอินทร์ท้าวมหาราชทั้ง 4 เมตตา แผ่เมตตาต่อไปยังรุกขเทวดา  ภูมิเทวดา ทั่วอนันตจักรวาล แผ่เมตตาลงไปยังภพของมนุษย์และสัตว์ที่มีขันธ์ 5 กายเนื้อทั่วอนันตจักรวาล แผ่เมตตาลงไปยังภพของโอปปาติกะสัมภเวสี ดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลาย บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่อาศัยอยู่ในมิติ ในเมืองบังบดลับแล แผ่เมตตาให้กับบรรดาเปรตอสูรกายทั้งหลาย แผ่เมตตาให้กับบรรดาสัตว์นรกทั้งหลาย ในทุกขุม

จากนั้นน้อมกระแสอาราธนากำลังพุทธานุภาพของสมเด็จองค์ปฐม ทรงเปิดโลกสามแดนโลกธาตุ แผ่เมตตาถึงทั้งสามแดนโลกธาตุพร้อมกันสว่าง แผ่เมตตาต่อไป น้อมกระแสบุญครอบคลุมลงมายังโลกใบนี้ ขอให้โลกใบนี้ บรรเทาจากภัยพิบัติ บรรเทาจากศึกสงคราม บรรเทาจากความวุ่นวาย น้อมกระแสจากพระนิพพานลงมายังแผ่นดินไทย อธิษฐานขอให้เห็นผืนยันต์เกราะเพชรขนาดใหญ่ คลุมประเทศไทยทั้งหมด ป้องกันอาณาเขตดินแดนจากศึกสงครามอริราชศัตรูทั้งภายในประเทศ บุคคลผู้คิดร้ายและข้าศึกที่มาประชิดในจตุรทิศคือชายแดนทั้ง 4  ขอให้ประเทศไทยรอดปลอดภัยจากภยันอันตรายภัยพิบัติทั้งปวง

จากนั้นน้อมกระแสจากพระนิพพานลงมายังประชาชนคนไทยทั้งหมด ขอให้รู้ตื่นขึ้น สู่ความรักชาติ สู่ความเสียสละ สู่ความสามัคคี สู่คุณธรรมศีลธรรม ขอจงรู้ตื่นขึ้น น้อมกระแสจากพระนิพพานลงมายังเขตพระพุทธศาสนา น้อมกำลังพุทธานุภาพลงมาชำระล้างวัดวาอารามทุกแห่ง สถานปฏิบัติธรรมทุกแห่ง พระพุทธรูป วัตถุมงคล พระเครื่อง ผ้ายันต์ตะกรุดทั้งหลาย ขอจงมีแต่กำลังพุทธานุภาพ สลายล้างอวิชชาคุณไสย สลายล้างมิจฉาทิฏฐิ สลายล้างอลัชชีทั้งหลายออกไปจากเขตพระพุทธศาสนา ขอกำลังพุทธานุภาพยังความบริสุทธิ์ ขอพุทธบริษัท 4 ได้น้อมรับกระแสแห่งโลกุตระ กระแสมรรคผลนิพพาน กระแสแห่งสัมมาทิฏฐิ ลงสู่จิตสู่ใจ กระแสของกุศล กระแสของคุณธรรมความดี จงหลั่งไหลลงมาสู่จิตสู่ใจ ขอกระแสแห่งหิริโอตัปปะ ความเกรงกลัวความละอายต่อบาป จงหลั่งไหลลงมาสู่จิตสู่ใจ ขอเขตพระพุทธศาสนาจงคงความบริสุทธิ์หมดจดอีกครั้งและเจริญรุ่งเรืองดั่งสมัยพุทธกาลด้วยเถิด

จากนั้นอธิษฐานจิตขอกำลังพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพลงมาพิทักษ์รักษา องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมราชินีนาถ พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ บุคคลที่เสียสละอุทิศตน ดำรงตนเพื่อส่วนรวม กำลังพุทธานุภาพขอน้อมรวมลงมา เพิ่มกำลังบุญญฤทธิ์ เทพฤทธิ์ให้กับพระสยามเทวาธิราช ดวงวิญญาณ ดวงพระวิญญาณของบูรพมหากษัตริย์ทุกๆพระองค์ เพิ่มกำลังแห่งพุทธานุภาพ บุญญฤทธิ์ เทพฤทธิ์ยังพระหลักเมือง พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง เทวดาผู้รักษาพระบรมมหาราชวัง พระราชวัง พระตำหนักทุกแห่ง เทวดาผู้รักษาเศวตฉัตร เทวดาผู้รักษาเครื่องเบญจกกุธภัณฑ์ เทวดาผู้รักษาพระราชบัลลังก์ ขอจงมีกำลังแห่งบุญญฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์ เทพฤทธิ์ พรหมฤทธิ์ ความศักดิ์สิทธิ์ ขอกระแสกุศลรัศมีกายของท่านทั้งหลายจงสว่างรุ่งโรจน์ สร้างคุณประโยชน์พิทักษ์คุ้มครองชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ได้อย่างเต็มกำลังด้วยเถิด จากนั้นน้อมกระแสบุญทั้งหลายที่เราเจริญไว้ดีแล้ว ทาน ศีล ภาวนา น้อมรวมลงถึงเทวดา พรหมที่พิทักษ์รักษาคุ้มครองตัวเรา ขอเทวดารักษาข้าพเจ้า จงมีบุญญฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์ เทพฤทธิ์ พรหมฤทธิ์เต็มกำลัง สิ่งใดที่ข้าพเจ้าจะประสบภยันอันตราย ขอท่านเมตตาคุ้มครองป้องกันช่วยเหลือทันที หากมีเหตุมีวาระใดเกิดขึ้น ขอท่านดลจิตดลใจช่วยเหลือข้าพเจ้าทันที ขอเทพฤทธิ์ พรหมฤทธิ์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองข้าพเจ้านี้ ดลบันดาลให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ กลายเป็นอภิญญาด้วยเถิด

จากนั้นเราน้อมจิตกราบลาทุกท่านทุกๆพระองค์บนพระนิพพาน อธิษฐานขอให้เทพพรหมก็ดี ครูบาอาจารย์ พระอริยเจ้า พระอริยสงฆ์ที่สงเคราะห์เกื้อกูลข้าพเจ้าก็ดี ขอเมตตาปรากฏในทิพยจักขุญาณปรากฏเบื้องหน้ากายพระวิสุทธิเทพของข้าพเจ้า ณ บัดนี้ ให้ข้าพเจ้าได้กราบ ได้น้อมสำนึกถึงพระคุณท่านด้วยเทอญ อันนี้ก็ให้เราน้อมดู ท่านใดที่มาบ้าง ท่านใดเมตตาสงเคราะห์เรา อธิษฐานว่าขอให้ท่านสงเคราะห์ข้าพเจ้าเพิ่มขึ้น มากขึ้น ทันท่วงทีขึ้น และขอให้บุญทั้งหลายที่ข้าพเจ้ายังประโยชน์ไว้ดีแล้ว ในทาน ในศีล ในภาวนา ในพระกรรมฐาน ในการปฏิบัติในปฏิปทาสาธารณประโยชน์เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้ทุกท่านทุกๆพระองค์โมทนาสาธุทุกอย่างทุกประการด้วยเถิด จากนั้นเรากราบลาทุกท่านทุกพระองค์อีกครั้งหนึ่ง พุ่งจิตอาทิสมานกายเป็นแสงกลับลงมาคลุม พุ่งลงมายังกายเนื้อ

จากนั้นน้อมกระแสจากพระนิพพานตามลงมา ธาตุธรรมฟอกชำระล้างธาตุขันธ์ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง จนกลายเป็นแก้วใส โครงกระดูกทั่วกายจงเป็นแก้วใส ธาตุธรรมฟอกธาตุขันธ์ เมื่อข้าพเจ้าดับขันธ์ตายไปจากร่างกายนี้ ขอให้อัฐิธาตุข้าพเจ้าจงประจักษ์แจ้งในความดีในกุศล หากข้าพเจ้าเข้าถึงคุณธรรมความดีใด ก็ขอให้อัฐิธาตุข้าพเจ้าเปลี่ยนวรรณะเป็นแก้วใสแพรวพราวตามคุณธรรมความดีข้าพเจ้าด้วยเช่นกัน ธาตุธรรมฟอกธาตุขันธ์ ชำระล้าง กระดูกเส้นเอ็นหลอดเลือดทั้งหลาย ใสสะอาดบริสุทธิ์ ธาตุธรรมฟอกธาตุขันธ์ชำระล้างโรคภัยไข้เจ็บ เซลล์ทุกเซลล์กลายเป็นแก้วใส อวัยวะทุกส่วนกลายเป็นแก้วใส อาการ 32 ทั่วกายกลายเป็นแก้วใส ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ กลายเป็นแก้วใส ธาตุขันธ์ทั้งหลายมีธาตุธรรมหล่อเลี้ยง เยียวยารักษาโรคภัยไข้เจ็บสลายหายไปจนหมดสิ้น เซลล์ที่ผิดปกติจงสลายตัวไป เนื้องอกทั้งหลายจงสลายตัวไป ร่างกายขันธ์ 5 เซลล์ทุกเซลล์จงมีแต่ความสมบูรณ์แข็งแรง จิตมีความผ่องใสเพียงใด ก็ให้เซลล์ทุกเซลล์ ร่างกายทุกส่วน วรรณะข้าพเจ้ามีความเบิกบานชื่นบานผ่องใส มีบุญญราศีปรากฏสว่างกระจายออกไปจากกายเนื้อนี้ด้วยเช่นกัน

จากนั้นหายใจเข้าช้าๆ หายใจเข้าพุท ออกโธ หายใจเข้าครั้งที่ 2 ธัมโม หายใจเข้าช้าๆครั้งที่ 3 สังโฆ จากนั้นถอนจิตช้าๆจากสมาธิ ใจแย้มยิ้ม เบิกบาน ผ่องใส กายจิตเบิกบานเต็มที่เต็มกำลัง ตั้งจิตโมทนาสาธุกับกัลยาณมิตร กับเพื่อนๆที่เจริญพระกรรมฐานด้วยกันในวันนี้ สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน สำหรับพรุ่งนี้อาจารย์มีสอนในคอร์สพลังแห่งความโชคดีภาคกายทิพย์ พรุ่งนี้ก็ของดสอนเนื่องจากวันนี้ก็ได้รวบสอนในวันนี้เรียบร้อยแล้ว

สำหรับงานในเรื่องการจัดสร้างพระเจ้าองค์แสนดวงจิตพระนิพพาน ก็ยังสามารถร่วมบุญกันได้อีก หากท่านใดที่มีจิตศรัทธาจะเป็นต้นบุญ ก็สามารถทักแจ้งให้ทราบ รวบรวมกองบุญหรือมาร่วมในการจัดสร้างจัดหล่อในวันเสาร์ที่ 27 กันยายนได้ ที่โรงหล่อป้าเนียร จังหวัดอุทัยธานี โรงหล่อองค์ปฐม โรงหล่อของป้าจำเนียร ตอนนี้การจัดสร้างก็ยังต้องใช้ปัจจัยอีกจำนวนหนึ่ง ก็ยังเปิดรับร่วมบุญกันได้อยู่ ใครจะเป็นต้นบุญก็จะเป็นที่ยินดีอย่างยิ่ง

สำหรับช่วงเข้าพรรษานี้ก็อย่าลืมที่จะรักษาจิตเข้มข้นเป็นวาระที่อภิญญาใหญ่จะขึ้น อันนี้ก็คือพระท่านบอกมา แล้วหลายคนก็รู้สึกตรงกัน การที่เราที่เป็นฆราวาสจะได้เป็นอภิญญาใหญ่ ตรงนี้ก็จะเป็นเครื่องที่จะช่วยให้พระพุทธศาสนาตรงแนวทางขึ้น เมื่อไหร่ที่โยมที่ฆราวาสเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าได้มาก ก็จะรู้ว่าจะทำบุญกับเนื้อนาบุญใด ทำสิ่งใดปฏิบัติอย่างไรถึงจะถูกต้องดีงาม ทำสิ่งใดถึงจะเป็นการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ทำสิ่งใดแล้วเป็นอันตราย ทำสิ่งใดแล้วที่เราคิดว่าดี แต่กลายเป็นทำลายพระพุทธศาสนาทางอ้อม เราก็จะไม่ทำ ดังนั้นการที่ญาติโยมทั้งหลายได้เข้าถึงความดีเข้าถึงมรรคผล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โยมปฏิบัติเป็นฆราวาสตายไปกระดูกเป็นพระธาตุ ตรงนี้ก็จะยิ่งเกิดผลที่จะทำให้พุทธบริษัท 4 ทั้งหมด จะเป็นบรรพชิตหรือฆราวาสก็ดี มีกำลังใจที่จะปฏิบัติ เพราะปฏิบัติแล้วก็ยังมีบุคคลที่สามารถยืนยันคุณธรรมความดีได้อยู่ ว่ามรรคผลมีจริง การปฏิบัติมีจริง พระนิพพานมีจริง ดังนั้นตรงนี้เป็นข้อสำคัญที่พระท่านสั่งมา ทำไมถึงจะต้องอธิษฐานฟอกกระดูกให้กลายเป็นแก้วกัน อันนี้สำคัญ อย่าไปคิดว่าเราทำเพื่อตัวเอง อันนี้เราทำเพื่อยืนยันถวายเป็นเครื่องประจักษ์แจ้ง คือเอากระดูกของเรานี่แหละเป็นเครื่องยืนยันคุณธรรมความดีของพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ของตัวเรา เป็นเครื่องยืนยันคุณธรรมความดีของครูบาอาจารย์ที่สั่งสอน ดังนั้นตรงนี้เราไม่ต้องยั้งตัว ทำเต็มที่ไป ถ้าเราปฏิบัติธรรมตั้งจิตเพื่อพระนิพพาน เราบอกลูกบอกหลานไว้ได้เลยว่า เราตายไป พ่อตายไป แม่ตายไปคือตัวเรา ให้ดูด้วย ถ้ามีก็แยกเก็บไว้หน่อย ให้รู้ว่าการปฏิบัตินั้นมีผล ตรงนี้ก็ฝากเราทุกคนไว้ เมื่อก่อนก็ไม่ได้เปิดเผยมาก แต่บางคนก็พอทราบอยู่ว่าทำไมถึงฝึกถึงปฏิบัติแบบนี้ อันนี้ก็ให้เราทำ พอเข้าใจแล้วก็ยิ่งทำให้ยิ่งขึ้น ก้าวหน้าขึ้นไปอีก ก็ขอให้เราทุกคนนั้นที่ตั้งใจปฏิบัติสามารถเข้าถึงมรรคผลพระนิพพานกันได้ทุกคนทุกท่าน เข้าถึงความดีในพระพุทธศาสนา เข้าถึงอภิญญาจิตกันได้ทุกคน ขอให้มีความเพียรในการปฏิบัติ มีความมั่นคงสม่ำเสมอในการปฏิบัติ ขอให้มีความแนบในพระนิพพาน

สำหรับวันนี้ก็ขอสวัสดีทุกคน พบกันใหม่สัปดาห์หน้า

ถอดเสียงและเรียบเรียงโดย : คุณวรรณภา

คุณไม่สามารถคัดลอกเนื้อหาของหน้านี้ได้