green and brown plant on water

วิธีฝึกอภิญญากายทิพย์พิสดาร

เวลาอ่าน : 4 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”

วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม  2568

เรื่อง วิธีฝึกอภิญญากายทิพย์พิสดาร

โดย อาจารย์ คณานันท์  ทวีโภค

กำหนดสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ผ่อนคลาย ปล่อยวางกล้ามเหนือทุกส่วน พร้อมกับความรู้สึกที่เราปลดปล่อยความเกาะ ผัสสะ ความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายขันธ์ห้านี้ วางกาย วางภาระการมีร่างกาย ปล่อยวาง สงบ เป็นสุขร่มเย็น สติกำหนดรู้อยู่กับการปล่อยวาง วางแล้วจิตเรามีความสบายขึ้นหรือไม่ มีความสงบจากความคิด จากความฟุ้ง จากการปรุงแต่งหรือไม่ ยิ่งวาง ยิ่งว่าง ยิ่งเบา ทรงอารมณ์ ทรงสภาวะที่จิตของเราสงบนิ่งไว้ สภาวะแห่งการปล่อยวาง ให้จิตจดจำอารมณ์ ให้จิตเกิดปัญญาเครื่องรู้จากการปล่อยวาง เพราะแบกว่าจึงหนัก เพราะปรุงจึงเกิดความวุ่นวาย พอยึดมั่นถือมั่นจึงเกิดภพชาติ การปฏิบัติธรรมที่เป็นขั้นสูงสุด ก็คือรู้จักปล่อยวาง เมื่อเรายิ่งปฏิบัติจนสามารถปล่อยวางได้ง่ายปล่อยวางได้เร็ว ปล่อยวางได้จนเป็นปกติ ความทุกข์ ความเดือดร้อน ไฟที่รุมเร้าจิตใจของเรา เมื่อวางมันก็ดับลงกำหนดรู้ในความสงบ

จากนั้นจึงกำหนด กำหนดรู้ในลมหายใจ จินตภาพเห็นลมหายใจเป็นเหมือนกับแพรวไหม พลิ้วผ่านเข้าออกในกาย สติรู้เต็มรอบ ติดตามรู้ในลมหายใจตลอดทั้งสาย ตลอดทั้งกองลมนั้น จิตสงบ เบาสบาย

จากนั้นกำหนด ยกกำลังใจของสมาธิ กำหนดหยุดจิต นิ่ง หยุด จากจิตที่นิ่งที่หยุด กำหนดเดินจิต เดินสมถะสมาธิขึ้นสู่กสิณ กำหนดจากจุดขยายวงขึ้น กลายเป็นดวงแก้วสว่าง จากดวงแก้วสว่าง กำหนดน้อมนึกขึ้นให้เป็นเพชรประกายพรึก จากเพชรประกายพรึกก็กำหนดให้สว่างขึ้น ใสขึ้น เป็นเพชรระยิบระยับแพรวพราวสว่างไสว ทรงสภาวะที่จิตประภัสสร สว่างนั้น เชื่อมโยงสัมพันธ์ระหว่างภาพนิมิตกสิณกับอารมณ์จิต อารมณ์พระกรรมฐาน ยิ่งภาพนิมิตสว่างแพรวพราวระยิบระยับเพียงใด อารมณ์จิตเรายิ่งเป็นสุขเอิบอิ่มใจ รู้สึกว่ารัศมีของจิตแผ่ไพศาลขึ้น กว้างขวางขึ้น ใหญ่ขึ้นตามนั้น ทรงสภาวะที่จิตเข้าถึงกำลังฌานสมาบัติสูงสุด คือจิตนั้นเกิดสภาวะอันประภัสสรสว่างที่สุด ทรงสภาวะที่จิตประภัสสรเป็นปฏิภาคนิมิต จิตเปล่งประกายสว่าง รัศมีของจิตเป็นเส้น พ้นจากเส้นเกิดบรรยากาศสภาวะอันเป็นทิพย์ คือชั้นบรรยากาศโดยรอบ พ้นจากขอบที่เป็นเส้นรัศมีจิต มีสภาพเป็นเหมือนกับกากเพชรโปรยปรายรายรอบ ระยิบระยับ พร่างพรายเต็มไปหมด ทรงสภาวะที่จิตเปี่ยมพลัง เปี่ยมความผ่องใส จิตประภัสสรที่สุด รัศมีจิตที่เปล่งประกายแผ่ออกมาเป็นรัศมี กระแสของเมตตาอันไม่มีประมาณ ทรงสภาวะไว้

จิต ภาพนิมิตยังแพรวพราวระยิบระยับสว่างเจิดจ้าอย่างยิ่ง จิตเป็นสุขอย่างยิ่ง ประคองความสว่าง ความแพรวพราวระยิบระยับไว้ เป็นการฝึกให้จิตมีความทรงตัว ฌาน 4 ในกสิณทรงตัว ตั้งมั่นสว่างไสวแพรวพราว จิตมีความเสถียรภาพ ทรงสภาวะความผ่องใสของจิตเต็มกำลังไว้ เมื่อจิตตั้งมั่นจนเกิดวสี สามารถบังคับควบคุมให้ความผ่องใสของจิต ให้ฌาน 4 เต็มกำลัง คือจิตอันปรากฏนิมิตที่เป็นปฏิภาคนิมิต จิตมีสภาวะประภัสสร สามารถทรงตัวอยู่ได้นานเท่านาน เท่าที่เราต้องการ ฐานกำลัง พื้นฐานของจิตในสมถะของเรา ก็เป็นพื้นฐานที่ตั้งมั่นเต็มกำลัง กำหนดรู้ทำความเข้าใจว่าในการปฏิบัติ ในการฝึกฝน ในศาสตร์ทั้งหลายนั้น สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เราต้องสามารถทรงฌาน ทรงอารมณ์เข้าถึงอารมณ์พระกรรมฐานให้ได้ โดยที่ไม่ต้องตั้งท่า ไม่ต้องใช้เวลา สามารถเข้าสู่สภาวะพระกรรมฐานหรืออารมณ์จิตที่เราต้องการได้ในเวลารวดเร็วเพียงแค่ลัดนิ้วมือเดียว และสมาธิฌานสมาบัติที่ทำได้ก็ไม่ใช่ว่าขึ้นๆ ลงๆ ตกๆ หล่นๆ แต่มีความเสถียร คืออยู่ในสภาวะที่อารมณ์พระกรรมฐานเราตั้งมั่นในอารมณ์สูงสุด คือจิตประภัสสรทรงไว้ ตั้งไว้ได้นานเท่า นานเท่าที่ต้องการ เรียกว่า วสีในการทรงสมาบัติ ในการทรงสมาธิในอารมณ์พระกรรมฐานกองนั้นๆ

วสีนั้นประกอบไปด้วย

  1. ความชำนาญ ความคล่องตัวในการเข้าสมาธิ คือเข้าสู่อารมณ์กรรมฐานนั้น กรรมฐานกองนั้น
  2. วสีในการทรงอารมณ์ คือ สามารถทรงอารมณ์จิตได้นานเท่านั้น
  3. วสีความชำนาญในการพลิกแพลงในการสลับกองเปลี่ยนกองเช่น   สลับฌาน4 ไปที่ฌาน 1, สลับฌาน1 ไปที่ฌาน 2 หรือแม้แต่สลับกอง เช่น เปลี่ยนจากกสินน้ำไปกสิณไฟ กสิณไฟ ไปอสุภกรรมฐาน สามารถเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนกองคล่องตัวได้ดั่งใจ ไม่มีการติดขัด อันนี้ถือว่าเป็นการพลิกแพลง เป็นการไล่ฌาน ถอยฌาน สลับฌาน อันนี้คือเป็นคนที่ชำนาญมากขึ้น
  4. และสุดท้ายเป็นส่วนที่ปิดท้ายก็คือ วสีความชำนาญในการออกฌาน บางครั้งบางคนเข้าสู่ฌาน 4 ละเอียด เข้าไปอยู่ในอารมณ์ที่แนบแน่นในสมาธิไม่สามารถออกได้ ต้องให้ฌานคลายตัวเองจึงจะถอยจิตออกจากฌานนั้นๆ ได้ แต่บุคคลที่มีความชำนาญ มีวสีในการออกฌาน เรานึกจะออกเมื่อไหร่ก็สามารถออกได้ เรื่องวสีในการออกฌานนั้น สำหรับคนที่ยังไม่สามารถเข้าถึงก็จะไม่เข้าใจ แต่คนที่เข้าถึงแล้ว เคยติดอยู่ในฌาน ออกไม่ได้ ก็จะมีประสบการณ์ว่า ทำไมตรงจุดนี้ถึงเป็นเรื่องที่สำคัญ มีเรื่องเล่าในสมัยที่อาจารย์บวชพระอยู่ที่วัดบวร มีพระอาจารย์รูปหนึ่ง เป็นพระที่ท่านตั้งใจปฏิบัติเจริญพระกรรมฐาน เป็นพระสุปฏิปันโน ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ มีวันหนึ่งท่านไม่ออกไปบิณฑบาต พระรูปอื่นในคณะเดียวกันก็ไปเคาะประตู่เรียก ไปเคาะประตู่เรียกก็ไม่มีใครตอบ สุดท้ายเปิดประตู่เข้าไปก็เห็นว่าท่านทำสมาธิอยู่ เรียกยังไงก็ไม่ยอมออกจากสมาธิ สุดท้ายพระที่เป็นเพื่อนอยู่ในคณะนั้น ไม่รู้จะทำเช่นไร ก็ไปกราบทูลสมเด็จพระสังฆราช คือสมเด็จญาณสังวรในสมัยนั้นสมเด็จท่านทราบ ท่านก็เมตตามาที่กุฏิและนั่งเจริญพระกรรมฐาน คือนั่งหลับตา พอนั่งหลับตาเสร็จก็ปรากฏว่าสักครู่ไม่นาน พระรูปที่เจริญพระกรรมฐานเรียกแล้วไม่สามารถออกมาได้ ก็ปรากฏว่าลืมตาขึ้น แล้วก็กราบสมเด็จพระสังฆราช เรื่องที่เล่ามานี้ภายหลังก็คือว่า พระรูปนั้นท่านถอดจิตออกไปท่องเที่ยวภายนอก แล้วก็ยังไม่กลับออกมา คือเพลินจนกระทั่งไม่รู้เวลา ว่าตอนนี้เป็นเวลาที่ต้องออกไปบิณฑบาตแล้ว จนเลยเวลา คล้อยจนต้องกลับจากบิณฑบาต จนเริ่มเข้าสู่ฉันเพลแล้ว และสุดท้ายที่ท่านกลับมาก็เพราะว่ากายทิพย์ของสมเด็จพระสังฆราชท่านไปตาม ว่าต้องกลับมาได้แล้ว อันนี้ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของการออกจากฌาน   ดังนั้นครูบาอาจารย์ที่ท่านสอน ท่านก็จะบอกว่าให้กำหนดจิตว่าจะเข้าฌานเป็นเวลาเท่าไหร่ อธิษฐานก่อนเข้าว่าจะออกฌาน เช่น ถ้าเป็นพระสงฆ์ เจริญพระกรรมฐานในเวลากลางคืน ก็กำหนดว่าเราจะเจริญสมาบัติแล้วก็จะรู้ตัวตื่นขึ้นในยามเช้า ทันเวลาที่จะครองผ้าออกไปบิณฑบาตเป็นต้น อันนี้ก็เป็นเรื่องที่เล่าเพื่อแสดงถึงพระบารมีของสมเด็จพระสังฆราช ที่ท่านเมตตาต่อสัทธิวิหาริก คือลูกศิษย์ของท่าน รวมทั้งถึงความดีที่ท่านสามารถเจริญพระกรรมฐานได้ รวมถึงพระอาจารย์ที่ท่านได้เล่ามาเป็นตัวอย่างนั่น อันนี้ก็คือเรื่องเราจะต้องมีความเข้าใจเรื่องวสีในการออกจากสมาธิด้วย

พอกำหนดแล้วตอนนี้ก็ให้กลับเข้าสู่อารมณ์จิต คือจิตประภัสสรเต็มที่ เต็มกำลังอีกครั้งหนึ่ง พอจิตเราประภัสสร มีฐานที่เราทำเป็นบารมี ที่เราเพาะบ่มเป็นตบเดชะของสมาธิ ที่เรามีความเพียรปฏิบัติ วสี เราพิจารณาของเราว่าเราถึงพร้อม ครบทุกจุด หรือเข้าฌาน 4 แค่ลัดนิ้วมือเดียวได้ในทุกกรรมฐาน ในทุกกองได้ไหม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทรงจิตในกำลังของมโนมยิทธิ วสีความชำนาญในการทรงฌานให้มีความราบรื่นต่อเนื่อง มีเสถียรภาพ ตั้งมั่นอยู่ได้ เราทำได้ไหม เพื่อควรที่จะฝึกฝน ความพลิกแพลง ชำนาญในการสลับฌาน ไล่ฌาน เคลื่อนย้ายนิมิตกสิณได้ดังใจ ขยายเล็กย่อใหญ่ขยายใหญ่ย่อเล็ก ทำได้ครบทั้งหมด เลื่อนขวา เลื่อนซ้าย ทำได้ครบไหม

เรากำหนดพิจารณาของเรา ถ้ายังทำไม่ได้ เราก็กำหนดต่อไปว่าการเข้าฌานแค่ลัดนิ้วมือเดียว เราต้องซักซ้อมจนกระทั่งจิตตั้งมั่น มีความเชื่อ มีความศรัทธา ว่าเราสามารถทำได้เป็นปกติ กำหนดจิตให้ผ่องใสที่สุด ทำในทันทีได้ไหม กำหนดให้จิตเราสว่างเป็นเพชรประกายพรึกเดี๋ยวนี้ทำเลยได้ไหม ขยายดวงจิตของเราให้สว่างคลุมจักรวาลทั้งหมดได้ไหม ย่อเล็กดวงจิตให้เล็กที่สุดเท่ากับหัวไม่ขีด ปลายเข็มเล็กที่สุดในระดับควอนตัม เล็กของเล็กๆ ของเล็กเล็กๆ ลึกเข้าไปอีกทำได้ไหม เล็กจนกระทั่งจิตเราเล็กลงไปถึงระดับอนุภาค ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ไหม ขยายใหญ่ขึ้นจนคลุม จนใหญ่เท่าดวงอาทิตย์ได้ไหม

กำหนดฝึกฝนตรงนี้ ก็คือเป็นสิ่งที่เราต้องฝึกเองให้ได้ การฝึกในเรื่องการพลิกแพลงตัวนี้ สำหรับพระอภิญญาที่เรียกว่ากีฬาสมาบัติ พอกำหนดฝึกเป็นกีฬาสมาบัติ เราก็ต้องฝึกกำหนดเอง คือนึกทำตรงจุดนี้ก็ทำได้เลย นึกให้เป็นแบบนี้ก็ทำได้เลย ทำจนกระทั่งมีความคล่องตัว ครอบคลุมครบถ้วนทุกอย่าง คนที่เก่งมีความคล่องตัวมาก ก็จะมีการฝึกที่ทำอะไรที่มันพิสดารล้ำลึกขึ้นไปมาก เช่นกำหนดแยกดวงจิตของเราออกมาเป็นสิบ เป็นร้อย เป็นอนันต์ แยกดวงจิตของเราเป็นสิบดวง แต่ละดวงก็เป็นดวงของกสิณ เป็นปฏิภาคนิมิตของกสิณแต่ละกอง แต่ละกองทั้งหมด พอฝึกแบบนี้ได้มันก็จะไปมีผลต่อเนื่องในเวลาที่ได้อภิญญาใหญ่ อย่างอภิญญาใหญ่ในเรื่องของอิทธิวิธี การแสดงฤทธิ์ในเรื่องของพหุกายทิพย์ ภาษาบาลีก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องจำเอา ง่ายๆ แค่เราแยกกายออกมาเหมือนกัน ทั้งหมด 1 กาย 2 กาย 3 กาย 4 กาย แยกออกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมีกายทิพย์ที่แยกออกมาได้นับไม่ถ้วน

จากนั้นกำหนดฝึกต่อไป ว่าให้อาทิสมานกายของเราที่แยกออกมาเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ละกายนั้น แสดงอิริยาบถที่ต่างกัน บางกายกำลังเดินจงกรมอยู่ บางกายกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ บางกายกำลังกราบพระอยู่ บางกายกำลังอยู่ในท่าสีหไสยาสน์อยู่ กำหนดให้แต่ละกานั้นอยู่ต่างกัน มีอิริยาบถต่างกัน พิสดารขึ้นไปกว่านั้นก็คือ กำหนดว่ากายออกมานับไม่ถ้วน แต่กายแต่ละกายที่ปรากฏขึ้น กายนี้ไปกราบพระอินทร์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ กายนี้ไปกราบเท้าท่านท้าวสหัมบดีพรหมที่พรหมโลก กายนี้กราบพระพุทธองค์ที่บนพระนิพพาน กายนี้ไปกราบพระศรีอริยเมตไตรยที่สวรรค์ชั้นดุสิต กายนี้ไปกราบท่านปู่ท้าวศรีสุทโธที่ดินแดนพญานาค กายนี้ไปกราบพระอุปคุตที่สะดือทะเล กำหนดแบบนี้ทำได้ไหม พอทำได้กายทิพย์เราก็แยก มันก็มีความคล่องตัวมากขึ้น ความมั่นใจ ความมั่นคง ในการปฏิบัติก็เพิ่มพูนขึ้น อันนี้คือการฝึกขั้นสูง ขั้นที่พิสดาร ซึ่งอันที่จริงในระดับของพระที่เป็นพระอภิญญา เรื่องพวกนี้ก็เป็นเรื่องที่ท่านฝึกกันจนเป็นปกติ

ตอนนี้ก็ให้เราลองดูว่า ตัวเราแต่ละบุคคลเป็นปัจจัตตัง ฟังที่อาจารย์พูดบางคนก็ฟัง แต่ไม่ได้เดินจิตตามทันที บางคนฟังแล้วก็ทำตามทันทีเดี๋ยวนั้น ทำได้ทั้งหมด บางคนก็ยังมีสะดุด ยังมีติดขัด เราก็กำหนดประเมินตัวเราเอง จิตเราเอง กับให้พอเข้าใจแนวทางในการปฏิบัติ ในการเจริญพระกรรมฐานในส่วนของสมถะ ในการฝึกอภิญญาจิต อภิญญาใหญ่อภิญญาใหญ่เขาก็ฝึกกันแบบนี้

คราวนี้พอฝึกจนพลิกแพลง พิสดาร คล่องตัว อันนี้ยังถือว่าเป็นเรื่องของฤทธิ์ แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นอุบายว่า ทุกนาทีที่เราจดจ่ออยู่ในการเล่นกีฬาสมาบัติแบบนี้ ตลอดเวลาที่เราเล่น ที่เราเพลิน ที่เราเปลี่ยนกอง ที่เราลองทำแบบนั้นแบบนี้ แบบนั้นแบบนี้ ถ้าเราย้อนกลับมาสังเกตดู เราทิ้งกาย เราอยู่ในฌานสมาบัติ เราทรงฌาน ฝึกอภิญญาอยู่ตลอดเวลา

ดังนั้นช่วงเวลาถ้าเราเพลิดเพลิน เล่นแบบนี้ไป 2 ชั่วโมงอันที่จริง นั่นก็คือเท่ากับเราทรงอารมณ์อภิญญา ทรงอารมณ์ฌานสมาบัติขั้นสูง เข้มข้นจดจ่ออยู่ 2 ชั่วโมง

ดังนั้นสำหรับบางคน ที่จิตให้อยู่เฉยๆ แล้วมันอยู่เฉยไม่ได้ แต่ถ้าเคลื่อนจิตเปลี่ยนพลิกแพลงแบบนี้ กลับมีความเพลิดเพลิน จดจ่ออยู่ได้ อันนี้ก็เป็นอุบายในการปฏิบัติ ในการเจริญพระกรรมฐาน แต่สิ่งสำคัญคือเมื่อฝึกแบบนี้ ของแถมที่ได้ก็คือได้อภิญญาใหญ่ตามมาด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ให้เราเข้าใจว่าอภิญญาใหญ่ มีไว้เป็นเพียงแค่ของเล่นของจิต เป็นอุบายในการฝึกจิต แต่ถึงเวลาสิ่งสำคัญ เป้าหมายที่เราปฏิบัติ เราปฏิบัติเพื่อมรรคผลพระนิพพาน ความคล่องตัวของอาทิสมานกายที่เกิดขึ้น เราขยันฝึกเพื่อให้กายทิพย์เราจะสามารถยกขึ้นสู่พระนิพพานได้โดยง่าย ได้อย่างคล่องตัว ได้อย่างเป็นปกติ ใช้กายทิพย์ได้อย่างไม่มีความลังเลสงสัย

พอคิดพิจารณาเช่นนี้แล้ว เราก็กำหนดจิตรำลึกนึกถึงพระพุทธเจ้า กราบพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพ กำหนดน้อมกำหนดอธิษฐาน ว่าบัดนี้กายทิพย์เราปรากฏอยู่เบื้องหน้าสมเด็จองค์ปฐม พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ บนพระนิพพานคราวนี้อธิษฐานจิตขอแยกอาทิสมานกาย เริ่มต้นก็กำหนดอธิษฐานก่อน ให้เห็นพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทุกๆ พระองค์ ให้มากที่สุด เท่าที่กำลังขอบข่ายของญาณเครื่องรู้เราจะกำหนดขอบข่ายได้ถึงที่สุด แต่ละคนอาจจะมีไม่เท่ากันนะ ไม่เป็นไร คนที่เป็นพุทธภูมิ คนที่มีบารมีสูง คนที่ฝึกฝนปฏิบัติมีฐานของเดิมมาเยอะ ของเก่าเยอะ ก็จะเห็นครอบคลุมได้มากกว่าคนที่ฝึกมาน้อยกว่า ชั่วโมงบินน้อยกว่า บารมีน้อยกว่า อันนี้ก็เป็นกฎธรรมชาติอยู่แล้ว เราขยันมากเท่าไหร่ ฝึกมามากเท่าไหร่ มันก็ส่งผลเป็นความก้าวหน้าของเรา พอกำหนดเห็นแล้วก็แยกอาทิสมานกายเป็นจำนวนเท่าที่เราเห็นนี่แหละ กราบแยกทุกท่าน ทุกพระองค์ อธิษฐานจิตให้เกิดดอกบัวบ้าง ดอกมณฑาทิพย์ต่างๆ บ้าง พานธูปแพ เทียนแพบ้าง พุ่มช่อประทีปแก้วชัชชาล

กำหนดแยกว่ากายทิพย์ กายพระวิสุทธิเทพของเรา ที่เฝ้าจำเพาะเจาะจงแต่ละพระองค์ แต่ละท่าน อธิษฐานถวายเป็นดอกไม้ เป็นพานธูปแพเทียนแพ เป็นประทีป เป็นดวงแก้ว แต่ละกายต่างกันทั้งหมด จากนั้นก็ยกถวายทุกท่าน ทุกๆพระองค์ กำหนดรู้ว่าพอความเป็นทิพย์ ธรรมชาติของความเป็นทิพย์นั้น จริงๆ ก็คือไม่มีประมาณ มันไม่เหมือนกับการที่เรามีกายเนื้อ กายเนื้อมันมีข้อจำกัด เราอยู่ได้เฉพาะองค์ๆ เดียว ท่านๆ เดียว สถานที่เดียว แต่ความเป็นจริงแล้วกายทิพย์ของเราสามารถที่จะแยกความเป็นทิพย์ ญาณเครื่องรู้นั้นสามารถรู้ได้ หรือกำหนดได้ต่างกันทั้งหมด แต่ไอ้ข้อจำกัดทั้งหมดที่เล่ามาว่ามันสามารถไปได้ที่เดียว ไปได้เฉพาะภพที่เป็นภพของหยาบ ก็คือความเป็นมนุษย์ แต่กายทิพย์นั้นไม่ใช่ อันที่จริงในเรื่องของการแยกกายทิพย์ ไปต่างภพแต่ละภพต่างกัน อันนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องยากสำหรับคนที่มีความคล่องตัวหรือใช้กายทิพย์ได้แล้ว แต่ผู้ที่ฝึกพิสดารยิ่งไปกว่านั้น สามารถแยกให้กายทิพย์ข้ามกาลเวลาได้ แต่นี้ก็เล่าให้ฟังเป็นวิสัยของพุทธภูมิ เป็นวิสัยของพระโพธิสัตว์ ดังนั้นอันที่จริงแล้วขอบเขตของการมีกายทิพย์นั้นไม่มีประมาณ พระพุทธเจ้าท่านเสด็จปรินิพพานนานแล้ว ท่านก็สามารถโปรดสงเคราะห์ได้ เพราะนี่เป็นเรื่องของกายทิพย์ไม่มีข้อจำกัดใดๆ

พอเรากำหนดรู้ในเรื่องของการมีกายทิพย์ เราก็กำหนดพิจารณาเป็นวิปัสสนาญาณต่อไปว่า สุดท้ายแล้วไอ้กายมนุษย์นี่มันทั้งเป็นรังของโลก โรคภัยไข้เจ็บ ร่างกายขันธ์ห้า กายของมนุษย์นี่มันเต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูลที่อยู่ภายใน ไอ้กายขันธ์ห้าของการเป็นมนุษย์นี่มันมีข้อจำกัดเยอะแยะ เดินมากเกินไปก็เมื่อย นั่งนานเกินไปก็เมื่อย บอกจะสบาย นอนนานเกินไปกลายเป็นแผลกดทับเข้าไปอีก จะไปไหนมาไหนก็ต้องเดินเหินไป วิ่งก็เหนื่อย วิ่งก็ช้า ไปได้ก็แค่บางสถานที่ แต่พอเป็นกายทิพย์ปุ๊บ เราจะนึกจะไปต่างประเทศก็ไปได้ทันที แค่ลัดนิ้วมือเดียว เราจะไปใต้มหาสมุทรก็ไปได้ จะใช้กายทิพย์ไปแตะผิวของดวงอาทิตย์ที่ร้อนเป็นพันล้านล้านองศาเซสเซียสก็สามารถทำได้ เราอยู่ท่ามกลางจักรวาลที่ไม่มีอากาศ มีความหนาวเย็นอย่างยิ่ง เย็นยิ่งกว่าจุดเยือกแข็ง เย็นต่ำกว่า 0 องศา กายทิพย์ก็อยู่ได้

ดังนั้นรวมความแล้ว เรามาหลงใหลใฝ่ฝันอยู่กับขันธห้า กายเนื้อนี้เพื่ออะไร วันนี้ก็ได้มีโอกาสพูดคุยว่า อันที่จริงแล้วเราหลายคนเสวยบุญอยู่ที่สวรรค์ชั้นอากาศเทวดาบ้าง คือสวรรค์ชั้นดาวดึงส์บ้าง บางท่านเป็นพุทธภูมิ ก็เป็นเทวดาอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต บางคนก็มาจากพรหมโลก มีกายทิพย์สบายๆ มีทิพยวิมาน ไม่มีความเหนื่อย ไม่มีความเมื่อย ไม่มีความร้อน ไม่มีความหนาว ไม่มีความหิวกระหาย เพียงแค่นึกก็เกิดทิพยสมบัติปรากฏขึ้น มีความสบาย มีบริวารที่เป็นนางฟ้าบ้าง เทวดาบ้าง คอยอยู่รับใช้

ดังนั้นการที่เรามาลงมามีกายเนื้อนี้ อันที่จริงเพราะมีหน้าที่ เราก็กำหนดอธิษฐานต่อพระพุทธเจ้า ต่อสมเด็จองค์ปฐมหรือแม้แต่กระทั่งต่อพระอินทร์ คือท่านปู่ท่านย่า ถามท่าน เรียนถามท่านว่า ตอนเราลาท่านลงมาเกิดบนโลกมนุษย์ เราอธิษฐานจิตว่าขอลงมาเกิดเพื่อมีหน้าที่อะไร จะทำสิ่งใด จะสร้างบารมีอย่างไร เรากำหนดถามเป็นปัจจัตตัง ให้รู้ได้เฉพาะตนของเรานะ แต่ละคนเราจะได้ไม่เสียชาติเกิด บางคนลงมาแล้วมีหน้าที่ แล้วเราก็อู้บ้าง ลืมเลือนบ้าง หลงไปกับโลก หลงไปกับกิเลส คือความโลภ โกรธ หลง บ้าง

ตอนนี้ก็ให้เราตั้งจิตอธิษฐาน กำหนดรู้ของเรา เรามีหน้าที่อย่างไร เราอธิษฐานตอนลาลงมาเกิดอย่างไร คนที่เคยรู้แล้วก็กำหนดให้รู้ละเอียดขึ้น ลึกขึ้น เห็นดีเทล เห็นภาพทั้งในส่วนที่เราได้ทำสำเร็จลุล่วงแล้ว ทั้งในส่วนที่เราจะต้องทำต่อไปในอนาคต เพราะช่วงนี้ก็เป็นช่วงที่กำลังจะเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคชาววิไล ซึ่งเราหลายคนนี่แหละ สุดท้ายจะเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยส่วนรวม ในเรื่องการเปลี่ยนผ่าน ในเรื่องของการฟื้นฟูทำนุบำรุงชาติ แผ่นดิน ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์

ตอนนี้ก็ตั้งจิตให้ภาพต่างๆ ผุดรู้ขึ้น หน้าที่ที่เป็นเรื่องเฉพาะตน สิ่งที่เราทำได้หรือแม้แต่หลายเรื่องราวที่ตอนนี้เราไม่คิดว่าเรามีศักยภาพที่จะทำได้ แต่ต่อไปในอนาคตก็เป็นเรื่องไม่แน่ ที่เราอาจจะทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ หรือมีคุณค่ามากกว่าที่เราคิดว่าเราจะสามารถทำได้ก็ได้ กำหนดรู้เป็นปัจจัตตังของเราแต่ละบุคคล นอกเหนือจากที่จะปฏิบัติเพื่อไปพระนิพพานชาตินี้แล้ว ในระหว่างที่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เรามีหน้าที่อย่างไร กำหนดด้วยความผ่องใส ให้ภาพ ให้ญาณเครื่องรู้ปรากฏผุดรู้ขึ้นมาในจิต จะมีอายุมาก อายุน้อย ไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งสำคัญคือ สิ่งที่เราจะทำต่อไป

เมื่อกำหนดแล้ว เราได้รู้ ระหว่างที่ดู อาจารย์ก็เล่าให้ฟังจากประสบการณ์ในการปฏิบัติฝึกมโนมยิทธิครั้งแรกปุ๊บ พระท่านก็บอกหน้าที่ทันที ครั้งแรกที่ได้พระท่านก็สั่งงานเลย ไม่ให้เสียเวลาในการที่เราตื่นขึ้น รู้ตื่นขึ้น แล้วก็ขอบอกว่าครั้งแรกที่รู้หน้าที่ตัวอาจารย์เอง ก็ยังไม่เชื่อว่าเราจะทำได้ ไม่เชื่อว่าเป็นหน้าที่ของเรา แต่พอถึงเวลาผ่านไป นับตั้งแต่ที่รู้ตื่นขึ้นได้มโนมยิทธิครั้งแรกๆ เวลาก็ผ่านมาเท่ากับจำนวนปีที่หลวงพ่อท่านมรณภาพ ก็คือ 33 ปี ปีนี้พอดีหลายสิ่งที่รู้จากสมาธิก็ได้ทำจริงๆ หลายสิ่งที่พระท่านสั่ง ก็ได้ทำจริงๆ เป็นไปตามที่ท่านพระท่านบอกจริงๆ

ดังนั้นเราแต่ละบุคคลพอรู้หน้าที่ก็ถือว่า เป็นการรู้เลย มีบางคนได้กล่าวเอาไว้ว่าการเกิด เราเกิดทั้งหมด 2 ครั้ง

การเกิดครั้งแรกก็การเกิดโดยกายออกจากท้องแม่มา ก็ถือว่าเราเกิด

การเกิดครั้งที่ 2 ก็คือการที่เรารู้ตื่นว่าเราเกิดมาทำไม

เพราะไม่เช่นนั้น การเกิดของเรามันก็ถือว่าเป็นการสูญเปล่า คือเกิดมาแล้วก็ตายเปล่าไป ไม่ได้สร้างกุศล ไม่ได้สร้างความดี ไม่ได้สร้างบารมีสะสมไว้ เกิด กิน กาม เกียรติ แล้วก็ตายไป ไม่ต่างกับชีวิตของสัตว์เดรัจฉานทั่วไป แต่เราเป็นมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราเป็นมนุษย์ ที่มีบุญ เราเกิดมาแล้ว เราใช้บุญจนหมด หรือเราเกิดมาแล้วเราได้สร้างบารมี ตรงนี้ก็เป็นสิ่งที่อยากให้เราได้เกิดอีกครั้ง คือเกิดความรู้ตื่น

“ส่วนเกิดต่อมา ที่มันพิเศษกว่าคนทั่วไป ที่รู้ว่าเราเกิดมาทำไมคราวนี้ ก็คือสิ่งที่เราเกิด คือตายจากความเป็นปุถุชนและเกิดขึ้นใหม่เข้าสู่ความเป็นอริยเจ้า คือเกิดปัญญาที่จะดับ ที่จะออกจากสังสารวัฏ ที่ปรารถนาพระนิพพาน ดังนั้นเกิดพิเศษของคนที่ปฏิบัติธรรม ก็จะมีทั้งหมด 3 อย่าง

เราก็ให้ครบถ้วนกระบวนความ ดีกว่าผู้ที่เกิดด้วยความหลงตายไปด้วยความหลงตายไปด้วยความไม่รู้เรา รู้ทั้งสิ่ง ที่เป็นหน้าที่เกิดมาทำไมเพื่ออะไรใน ในระหว่างที่มีชีวิตอยู่เราจะได้สร้างคุณค่าให้กับโลกใบนี้เราจะได้ช่วยทำนุบำรุงชาติศาสนาพระมหากษัตริย์หรือทำให้โลกใบนี้ดีขึ้น กำหนดอธิษฐาน กำหนดรู้ของเรา จดจำบันทึกไว้

จากนั้นเราก็น้อมจิตต่อไป เมื่อตอนนี้เราขึ้นมาบนพระนิพพานแล้ว เราก็ไม่ทิ้งในเรื่องของการปฏิบัติ เรากำหนดว่าหน้าที่ที่เราทำในขณะที่มีชีวิตก็เป็นสิ่งที่มีคุณค่า แต่หากเราตายซะก่อน เราก็ปล่อยวางทุกอย่างได้ไม่ค้างคาใจ กำหนดปักจิตของเราให้ตั้งมั่นอยู่กับพระนิพพานไว้ อธิษฐานจิตทรงอารมณ์พระนิพพาน ตั้งจิตว่าเราเห็นทุกข์ในสังสารวัฏ เห็นภัยในสังสารวัฏ เห็นการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏว่าเป็นทุกข์ เราเห็นทางของพระนิพพาน เราตั้งจิตปฏิบัติ ตายเมื่อไหร่ขอเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ จิตเราปราศจากความอาลัยทั้งปวง

จากนั้นกำหนดตัดภพจบชาติ พิจารณาว่าภพชาติทั้งปวงในสังสารวัฏ เราไม่ปรารถนา เราปรารถนาจุดเดียวก็คือพระนิพพาน อธิษฐานจิตการที่เราจะยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพานได้ การที่ตายเมื่อไหร่เราจะเข้าถึงพระนิพพานได้ เราจำเป็นที่จะต้องฝึกให้จิตชิน จิตปักอยู่กับพระนิพพาน ถ้าจิตของเรายังเลื่อนลอยอยู่ จิตเรายังลังเลสงสัยอยู่ จิตเรายังพะว้าพะวงอยู่ เราก็เข้าสู่พระนิพพานไม่ได้ เราจะเข้าพระนิพพานได้ก็ต่อเมื่อจิตเราตั้งมั่นหนักแน่น มั่นคงอยู่กับพระนิพพาน ไม่มีการแปรเปลี่ยนไปแต่อย่างใด ทานก็ดี ศีลก็ดี ภาวนาก็ดี ก็ตั้งอธิษฐานว่าขอให้เป็นไปเพื่อพระนิพพานเป็นที่สุด กุศลทั้งหลายก็เป็นไปเพื่อพระนิพพานเป็นที่สุด มหาสังฆทานที่เราได้ร่วมบุญร่วมสร้างเป็นประจำ เป็นนิจ เป็นบุญใหญ่ที่เราเติมให้ทานในบารมีเราเต็ม เราก็อธิษฐานเพื่อเป็นปัจจัยเพื่อพระนิพพานเป็นที่สุด อภิญญาถึงเราได้อภิญญามา อภิญญาเราก็ตั้งจิตตั้งใจว่าใช้เพื่อละ เพื่อเป็นปัญญาเครื่องรู้ในการตัดกิเลสก็ดี ปัญญาเครื่องรู้ให้เห็นภัยในสังสารวัฏ ให้เห็นในเรื่องกฎของกรรม หรือแม้แต่อภิญญาใหญ่ ถ้าเราได้ เราก็ใช้เพื่อสร้างศรัทธาให้กับผู้คน ให้ผู้คนมีความศรัทธา ว่าปฏิบัติแล้วมีความศักดิ์สิทธิ์ของจิตจริง เกิดผลจริง สามารถพิสูจน์ได้จนไม่อาจที่จะปรามาส อันที่จริงอภิญญานั้นในเขตพระพุทธศาสนา นับตั้งแต่พระพุทธเจ้าก็ดี หรือพระอัครสาวกซ้ายขวา โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระโมคคัลลานะก็ดี ท่านใช้เพื่อปราบมิจฉาทิฏฐิ ให้คนที่เป็นมิจฉาทิฏฐิยอมศิโรราบ กำราบความกระด้างกระเดื่องในจิต ให้มามีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา

ดังนั้นเราก็กำหนดว่าเราใช้ เราใช้เพื่อสิ่งนี้ ถ้าเราอยู่ในวาระที่จะได้อภิญญา เราก็จะใช้อภิญญานี้ เพื่อสร้างศรัทธาให้คน เข้ามาสู่พระพุทธศาสนา ศรัทธาปฏิบัติมากขึ้น ดูตัวอย่างเช่น คุณแม่บุญเรือน คุณแม่บุญเรือนท่านทรงอภิญญาพอคนได้รู้ได้เห็นได้ สัมผัสว่าท่านทรงอภิญญาก็เข้ามานับถือ เข้ามาปฏิบัติ เข้ามาถือศีล เข้ามาเจริญภาวนาตามคุณแม่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นเรื่องพวกนี้ก็ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา ให้เรากำหนดรู้ กำหนดใช้

จากนั้นเราก็ทรงอารมณ์ ทรงสภาวะที่กายพระวิสุทธิเทพเราสว่าง ผ่องใสที่สุด กำหนดอธิษฐานจิตให้อาทิสมานกายเราเปล่งแสงสว่างออกมาเต็มกำลัง กายพระวิสุทธิเทพสว่างที่สุด ใสที่สุด กลั่นจิต กลั่นกายทิพย์ให้ใสขึ้น สว่างขึ้น พอสว่างขึ้น ใสขึ้นเต็มที่ ก็อธิษฐานขออาราธนาน้อมกระแสบุญจากพระนิพพาน ทาน ศีล ภาวนา บารมี 30 ทัศของทุกท่าน มีสมเด็จองค์ปฐมทรงเป็นประธาน รวมตัวอยู่บนพระนิพพานนี้ ขอน้อมกระแสบุญนี้ลงมาแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลายทั่วสังสารวัฏทั้ง 3 ไตรภูมิ แผ่เมตตาลงมายังอรูปพรหมทั้ง 4 พรหมโลกทั้ง 16 ชั้น อากาศเทวดาทั้ง 6 ชั้น รุกขเทวดา ภูมิเทวดาทั่วอนันตจักรวาลทุกดวงดาว แผ่เมตตาให้กับมนุษย์และสัตว์ที่มีขันธ์ 5 กายเนื้ออันเป็นภพกลาง ภพที่มีกายหยาบทั่วอนันตจักรวาล น้อมกระแสบุญลงมายังภพที่เป็นทุกคติภูมิ นับตั้งแต่สรรพสัตว์ทั้งหลาย โอปปาติกะทั้งหลาย ชาวเมืองบังบดลับแลทั้งหลาย มิติที่ทับซ้อนทั้งหลาย เปรตอสูรกายทั้งหลาย จนกระทั่งลงไปถึงสัตว์นรกในทุกขุม ทั้งขุมหลักและขุมย่อย ขอกระแสบุญกุศลจากพระนิพพาน จงน้อมรวมลงสู่ทุกดวงจิต

จากนั้นอธิษฐานจิต ขออาราธนาบารมีสมเด็จองค์ปฐมทรงเครื่องจักรพรรดิเปิดโลก แผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้ง 3 ไตรภูมินี้ด้วยเทอญ รู้สึกว่าทั้ง 3 ภพภูมินั้นมีพุทธบารมีของสมเด็จองค์ปฐมเปิดโลกสว่าง บุญกุศลสว่างผ่องใส จิตเรายิ่งพลอยสว่างผ่องใสตามไปด้วย เมื่อแผ่เมตตาไปในทิศทั้งปวงครบถ้วน ครอบคลุมทั้ง 3 ภพภูมิแล้ว เราก็อธิษฐานจิตน้อมกระแสจากพระนิพพาน บุญทั้งหลาย บารมีทั้งหลาย กุศลทั้งหลายหลั่งไหลลงมาคุ้มครองรักษาโลกใบนี้ให้เกิดความอุดมความสมบูรณ์ สันติสุขร่มเย็น สันติ ความบริบูรณ์ อุดมสมบูรณ์จงพลิกฟื้นกลับคืนมา โลกจงเกิดสันติภาพ สันติสุข ขอจงเกิดการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคชาววิไล

น้อมกระแสจากพระนิพพานลงมาคุ้มครองประเทศชาติแผ่นดิน ประชาชนทั้งหลาย จงเกิดปัญญา รู้ตื่นรู้แจ้ง แยกดีชั่วคนดีคนเลว ประโยชน์โทษที่พึงเกิดต่อส่วนร่วม ขอจิตสาธารณ ปฏิปทาสาธารณะประโยชน์ จงรู้ตื่นขึ้นในดวงจิตของประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ขอบาปบุญคุณโทษ ความรู้จักดีชั่วบุญกุศลจงเกิดขึ้น ขอกระแสบุญ กระแสมรรคผลพระนิพพาน ขอจงหลั่งไหลด้วยกำลังอำนาจแห่งพุทธานุภาพอันไม่มีประมาณ พระธรรมอันไม่มีประมาณ พระอริยสงฆ์อันไม่มีประมาณ ชำระล้างอาณาเขตวัดวาอาราม สถานปฏิบัติธรรม พุทธมณฑลทั้งหลาย ขอจงมีความสะอาดบริสุทธิ์ ขอชำระล้างมลทินเครื่องเศร้าหมอง บุคคลที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ขอจงคลายตัวลง ขอบุคคลที่ผิดละเมิดในศีลก็ขอให้เป็นไปโดยกฎของกรรม ขอพระพุทธศาสนาได้มาสะอาดบริสุทธิ์หมดจด ขอพุทธานุภาพลงมาคุ้มครองรักษาพระพุทธรูปทุกๆพระองค์ พระธาตุ พระบรมธาตุ พระมหาธาตุเจดีย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จงปรากฏความศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์ด้วยพุทธานุภาพ สิ่งใดที่เป็นอวิชชาคุณไสย สิ่งใดที่ถูกปลุกเสกขึ้นด้วยนัยยะ ด้วยมนต์ดำทั้งหลาย ด้วยคุณไสยทั้งหลาย ด้วยคุณผี คุณคนทั้งหลาย จงสลายตัวออกไป จงดับล้างออกไป มีแต่เพียงพุทธานุภาพอันบริสุทธิ์ เมตตา พระพุทธเมตตา พระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธองค์ กระแสมรรคผลพระนิพพาน กระแสดับล้างจากความโลภ โกรธ หลง ขอจงเกิดความศักดิ์สิทธิ์ ชำระล้างสังฆมณฑลทั้งปวง ชำระล้างเขตพุทธาวาสทั้งหลาย สังฆาวาสทั้งหลายให้สะอาดบริสุทธิ์หมดจดในที่สุด

อธิษฐานขอบารมีพระพุทธเจ้า บารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพพรหมเทวา กระแสจากพระนิพพาน น้อมเป็นกระแสลงมาคุ้มครองรักษาสถาบันคุ้มครองรักษาพระชนมวารขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมราชินี พระพันปีหลวง พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ตลอดรวมจนถึงบุคคลทั้งหลาย ทั้งทหาร ตำรวจ บุคคลที่มีอำนาจหรือแม้แต่ประชาชนทั่วไปที่มีจิตอุทิศเสียสละเพื่อส่วนรวม ขอจงมีความคล่องตัว มีพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ มีเทวดาพรหมผู้เป็นสัมมาทิฏฐิพิทักษ์รักษา คุ้มครองช่วยเหลือ อภิบาลให้ทุกท่านอยู่ในจุดที่สามารถยังประโยชน์ต่อส่วนรวมได้มากที่สุด อยู่ในจุดที่สามารถสร้างกุศลความดีได้สูงที่สุด อยู่ในจุดที่สามารถขยายขอบขายขอบเขตของกุศลความดีทั้งในเรื่องที่เป็นวัตถุ ทั้งในเรื่องของความเจริญทั้งทางโลก ทั้งในเรื่องของความเจริญทางจิตใจ คือความเจริญในทางธรรม ขอให้ทุกท่านอยู่ในจุดที่ดีที่สุด สร้างคุณประโยชน์กว้างขวาง ครอบคลุมเกิดประโยชน์สูงสุด นำพาให้ประเทศชาติให้โลกใบนี้เข้าสู่ยุคชาววิไล

ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เมตตาคุ้มครองรักษาอภิบาล ขอกระแสบุญกุศล กระแสบุญพระกรรมฐาน ทาน ศีล ภาวนาทั้งปวง น้อมรวมสู่ดวงพระวิญญาณของบุรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ ดวงวิญญาณของบรรพบุรุษ ทหารหาญที่พิทักษ์รักษาประเทศชาติขอบขันฑสีมาแผ่นดิน ขอน้อมถวายกุศลแด่พระสยามเทวาธิราช แด่เทวดาพรหมผู้เป็นเทวดาประจำรักษาในเสาหลัก พระหลักเมือง พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระกาฬไชยศรี เจ้าพ่อหอกรอง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย พระสยามเทวาธิราชเจ้า เทวดาพรหมที่พิทักษ์รักษา คุ้มครองพระพุทธรูปให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ เทวดาพรหมที่อภิบาลรักษาพระธาตุ พระบรมสารีกพระธาตุทุกๆ พระองค์ เทวดาพรหมที่อภิบาลรักษาบุคคลที่เจริญพระกรรมฐาน บุคคลที่ทรงศีล ทรงธรรม ทรงฌานสมาบัติ ทรงเมตตาฌานอันไม่มีประมาณ

กำหนดอธิษฐานจิต ขอความเป็นทิพย์ปรากฏ ขอให้จิตเราได้รับรู้รับทราบในสิ่งที่บุคคลทั้งหลาย ที่สร้างกุศลความดี มีเทวดาคุ้มครอง พรหมคุ้มครอง ขอให้จิตเรารู้ เราหยั่งถึง เราโมทนากับคุณของทุกท่านทุกๆ พระองค์ และสิ่งสำคัญก็ขอ ให้เราได้รับรู้ว่าเราแต่ละบุคคลเป็นปัจจัตตังว่า มีเทวดาคุ้มครองรักษาอภิบาลมากมายเพียงใด เมื่อรู้แล้วก็อธิษฐานจิต ขอให้ท่านทั้งหลายได้โมทนากับบุญกุศลทุกครั้ง ทุกวาระของข้าพเจ้าด้วยเทอญ ขอให้เป็นอัตโนมัติ บางครั้งเราเผลอ เราลืม เราอาจลืมตั้งจิตอุทิศถวายท่าน ก็ขอให้ท่านได้ให้ท่านโมทนาในทุกกองบุญ ทุกกุศล ทุกวาระ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปตราบถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ และก็ขอให้ท่านเกิดบุญฤทธิ์ อิทธฤทธิ์ เทพฤทธิ์ พรหมฤทธิ์ มีบารมีสูงส่งยิ่งขึ้น มีกำลังที่จะคุ้มครองรักษาช่วยอภิบาลคุ้มครองเราได้มากขึ้นกว่าเดิม

จากนั้นเมื่อเราอธิษฐานดีแล้ว เราก็น้อมจิตกราบลาพระพุทธเจ้า กราบลาทุกท่านทุกๆ พระองค์ กราบลาหลวงพ่อ กราบเทพพรหมเทวาที่คุ้มครองรักษา เราก็น้อมจิตของเรานะ อาทิสมานกาย บางคนก็แยกอาทิสมานกายไว้ที่พระนิพพาน ไว้เลยตลอดเวลา จากนั้นเมื่อเราส่งจิตไว้บนพระนิพพานแล้ว กราบลาแล้ว เราก็พุ่งจิตกลับลงมาที่กายเนื้อ จากนั้นอธิษฐานจิตว่า จิตที่เราทรงอารมณ์ถึงพระนิพพาน จิตที่สะอาดจากความโลภ โกรธ หลง จิตที่กำหนดตัดสังโยชน์ทั้ง 10 ตัดภพจบชาติ เราน้อมอธิษฐานอาราธนาขอกระแสจากพระนิพพาน เป็นธาตุธรรมลงมาชำระล้างฟอกธาตุขันธ์ กระแสจากพระนิพพานเสริมเติมธาตุขันธ์ของเรา ผม ขน เล็บ ฟันหนัง ขอจงกลายเป็นแก้วใส โครงกระดูกทั่วร่างขอจงกลายเป็นแก้วใส เป็นเพชร หลอดเลือด เส้นเอ็นทั่วร่างกาย ขอจงปลอดโปร่ง โล่ง โคจรได้สะดวก กลายเป็นแก้วใสกลายเป็นเพชร กล้ามเนื้อทุกส่วนทั่วร่างกาย จงกลายเป็นแก้วใส เป็นเพชร อาการทั้ง 32 อวัยวะภายในทั่วร่างกาย ขอจงใสเป็นเพชร อาทิสมานกายขอจงใสสว่างเป็นเพชร ธาตุธรรมฟอกธาตุขันธ์ กระแสจากพระนิพพานเป็นประดุจน้ำทิพย์ โอสถทิพย์ ชำระล้างสลายเซลล์มะเร็งเซลล์ที่ผิดปกติ พิษที่เกิดจากการทำคีโม ซีส เนื้องอกทั้งหลาย จงยุบตัวลง จงสลายตัวลง จงคลายตัวลง เซลล์ทั่วร่างกายจงแบ่งตัวขึ้นเป็นเซลล์ที่แข็งแรงสมบูรณ์ สมดุล เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายขันธ์ 5 นี้ จงมีกำลังบุญหล่อเลี้ยงเซลล์ทุกเซลล์ทั่วร่างกายนี้ ขอจงมีพลังชีวิตหล่อเลี้ยงเพิ่มพูนแข็งแรง ธาตุขันธ์แข็งแรงขึ้น สมบูรณ์ขึ้น กายจิตสว่างผ่องใส โรคภัยไข้เจ็บสลายตัวไป ด้วยกำลังแห่งพระกรรมฐาน กายจิตปลอดโปร่ง โล่ง สว่าง โรคภัยทั้งหลายสลายตัวลงไปจนหมด กำลังบุญยกผ่านพ้นกระแสวิบากกรรมทั้งปวง นำพาจิตนี้ให้แรงวิบากนั้นไม่อาจตามทัน

กำหนดอธิษฐานให้กายเนื้อ กายทิพย์เราสว่างเป็นเพชรประกายพรึก ทรงอารมณ์ความผ่องใสไว้ อารมณ์จิตมีความชื่น บาน ตายเมื่อไหร่เราไปพระนิพพาน แต่ตราบที่เรายังมีขันธ์ 5 อยู่บนโลกมนุษย์นี้ กำลังแห่งพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ กำลังของครูบาอาจารย์ กำลังบุญแห่งพระกรรมฐาน ย่อมช่วยนำพาชีวิตเรา เปลี่ยนชีวิตเราให้ชีวิตเราดีขึ้นในทุกๆ ด้าน ทั้งทางโลก ทางธรรมด้วยเทอญ

จากนั้นก็ตั้งจิตนะ โมทนาสาธุกับกัลยาณมิตรทั้ง 76 ท่านที่เจริญพระกรรมฐานร่วมกันในวันนี้ รวมถึงท่านที่จะมาปฏิบัติมาฟังย้อนหลัง โมทนาสาธุกับมหาสังฆทานใหญ่ที่เราร่วมดำเนินการถวายทานเป็นนิจ ด้วยจิตอันเป็นกุศลและทำด้วยความสามัคคีธรรมจนเป็นบุญใหญ่ สำหรับเดือนนี้ก็เป็นมหาสังฆทาน 15 ชุด 30,000 บาท กายเนื้อถวายบนโลกมนุษย์ กายทิพย์ถวายตรงต่อพระพุทธองค์บนพระนิพพาน

แล้วก็มีข่าวบุญที่เราร่วมสร้างพระเจ้าองค์แสนดวงจิตพระนิพพาน คนไหนที่ยังไม่ได้เขียนแผ่นทอง ก็สามารถเขียนแผ่นทอง หาแผ่นทองของตัวเองมาก็ได้ เขียนคำอธิษฐานว่าเราตั้งจิตตายเมื่อไหร่ไปพระนิพพานชาตินี้ จิตข้าพเจ้าตั้งมั่นอยู่กับพระนิพพาน ในขณะที่เขียนก็เขียนชื่อ กายเนื้อเขียนแผ่นทองบนโลกมนุษย์ แต่จิตอาทิสมานกายยกขึ้นไปถวายแผ่นทองโดยตรงต่อสมเด็จองค์ปฐม ต่อพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ต่อหลวงพ่อบนพระนิพพาน เขียนแผ่นทอง 1 แผ่น ก็เท่ากับเราอธิษฐาน1 ครั้ง เขียนแผ่นทอง 100 แผ่น ก็เท่ากับจิตเราอธิษฐานปักตั้งมั่นอยู่กับพระนิพพานร้อยครั้ง พันครั้ง พอเราทำตรงนี้เป็นกุศลบายแล้วนำแผ่นทองมาหล่อพระเจ้าองค์แสนดวงจิตพระนิพพาน แผ่นทองแต่ละแผ่นก็มีกำลังความบริสุทธิ์ของจิตในกำลังพระกรรมฐานสูงสุด พระพุทธรูปก็ปรากฏเป็นพระพุทธรูปที่กลายเป็นพระพุทธรูปที่มีความอัศจรรย์ ทั้งความวิริยะ ทั้งความเพียร ทั้งสามัคคีธรรม ทั้งความสม่ำเสมอ บารมีทั้ง 30 ทัศ ก็เต็มเป็นปรมัตถบารมีของทุกคนที่ร่วมสร้าง ดังนั้นขอให้เราแต่ละคนช่วยกันกระจายไป ช่วยกันประชาสัมพันธ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งคน ไหนที่ตั้งจิตไปพระนิพพานชาตินี้ สมควรอย่างยิ่งที่จะได้มีส่วนในการร่วมสร้าง ได้มีส่วนร่วมในการเขียนแผ่นทองอธิษฐานพระเจ้าองค์แสนดวงจิตพระนิพพานครั้งนี้

แล้วก็ขอประชาสัมพันธ์ว่าคนไหนเป็นต้นบุญ รวบรวมปัจจัยมาช่วยกันก็ได้ วันหล่อก็จะจัดงานวันหล่อในวันที่ 27 เสาร์5 กันยายนที่กำลังจะมาถึง ที่ลงหล่อป้าจำเนียร ซึ่งสามารถไปร่วมงานได้ทั้ง งานพุทธาภิเษกเสาร์ 5 งานที่วัดท่าซุง แล้วก็แวะปลีกเวลาหลังจากที่ได้เจริญเข้าพิธีพุทธาภิเษกเสร็จ ก็มาหล่อพระเริ่มจากบวงสรวง 7:00 น. ก่อนแล้วก็ไปร่วมของวัดท่าซุง แล้วก็มาหล่อพระต่อ อาจจะต้องสลับนิดนึง แต่ก็จะได้งาน ได้กุศลพร้อมไปด้วยกัน ตรงนี้ก็ฝากประชาสัมพันธ์

แล้วก็จะมีบุญอีกบุญหนึ่ง ก็คือร่วมบุญซื้อทองคำ จัดหาทองคำที่จะมาร่วมหล่อพระเจ้าองค์แสนดวงจิตพระนิพพาน หรือท่านใดมีจิตศรัทธาจะเป็นเจ้าภาพ หรือจะรวมกองมา นำทองคำมาร่วมหล่อก็สามารถนำทองคำมาร่วมหล่อในวันนั้นได้ แต่ถ้าจะร่วมถวายทองคำบริสุทธิ์กับคณะผู้จัดสร้าง ก็เดี๋ยวก็จะมีประกาศ แล้วก็จะประชาสัมพันธ์ในห้องไลน์ และใน Facebook ต่อ

สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับเราทุกคน พบกันใหม่ในสัปดาห์หน้าเป็นปกติ ขอให้เราทุกคนตั้งใจปฏิบัติ กำลังบุญกุศลที่เราปฏิบัตินี้ส่งผลต่อไป ชาติบ้านเมืองหลังจากนี้ก็จะเริ่มพลิกฟื้นคืนสู่ความดีขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้ก็อาจจะมีการชำระล้างในทุกวงการ อย่างที่ที่บอกทั้งทางโลก ทั้งทางธรรม จะมีการชำระล้างอีก พอชำระล้างเสร็จสิ้นก็จะเริ่มเข้าสู่การพลิกฟื้นเข้าสู่ยุคชาววิไล แต่ตอนนี้ก็เริ่มได้เวลา ได้วาระ เรายิ่งต้องเข้มแข็ง เรายิ่งต้องสามัคคี เรายิ่งต้องมีความขยันในการปฏิบัติ ก็ขอให้เราทุกคนเจริญรุ่งเรืองทั้งทางโลก ทางธรรม

พบกันใหม่สัปดาห์หน้า สวัสดี

ถอดเสียงและเรียบเรียงโดย : คุณสิริญาณี แลบัว

คุณไม่สามารถคัดลอกเนื้อหาของหน้านี้ได้