เสียงธรรมจากห้อง “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”
วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม 2568
เรื่อง วิปัสสนาญาณนิพพาน
โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค
กำหนดสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม กำหนดรู้ทั่วร่างกายกล้ามเนื้อทุกส่วน พร้อมกับผ่อนคลายปล่อยวาง ผ่อนคลายปล่อยวางร่างกายกล้ามเนื้อ เพื่อให้จิตปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นเกาะเกี่ยวในร่างกายขันธ์ห้า ปล่อยวางกาย ปล่อยวางจิต ปล่อยวางจากนิวรณ์ความห่วงกังวลทั้งหลาย ผ่อนคลายปล่อยวาง จนจิตเข้าสู่ความสงบจากการปล่อยวาง ความสงบ จดจ่อกำหนดรู้ จนจิตเกิดปัญญา ว่าความสุขจากการปล่อยวาง ละวาง จากกายสังขารนี้ เป็นความสุขสงบ แยกรูปแยกนาม แยกกายแยกจิต แยกผัสสะที่เกี่ยวข้องยึดเหนี่ยวเกาะเกี่ยวกับร่างกาย เราไม่มีในร่างกายขันธ์ห้า ขันธ์ห้าร่างกายไม่ใช่ตัวเราของเรา ผ่อนคลายปล่อยวางกาย จดจ่อกับความสงบ
เมื่อจิตสงบรวมลง ตัดร่างกายขันธ์ห้า เราก็มากำหนดอยู่กับลมหายใจ จินตภาพเห็นลมหายใจเหมือนกับแพรวไหม พลิ้วผ่านเข้าออกกาย สติกำหนดดูกำหนดรู้ในลมหายใจ สติกำหนดดูกำหนดรู้ในเวทนาคือความรู้สึก ความรู้สึกที่ปล่อยวาง ความรู้สึกที่สบาย สติกำหนดรู้ในลมตลอดทั้งสายนั้น
จากนั้นเราก็กำหนด รู้ในความสบาย ลมหายใจยิ่งละเอียด จิตยิ่งเข้าสู่ความสงบเบาสบาย
กำหนดรู้ว่าจิตของเรามีความสงบ ลมหายใจยิ่งละเอียด จิตยิ่งเข้าถึงความสงบ ทรงสภาวะแห่งความสงบของจิต จากนั้นเดินเข้าสู่ฌานในอานาปานสติกรรมฐาน กำหนดจิต หยุด หยุดจากการปรุงแต่ง หยุดจากความคิด ลมหายใจสงบระงับหยุดลง เข้าสู่เอกัคคตารมณ์ นิ่งหยุด
เมื่อจิตทรงตัวในเอกัคคตารมณ์อุเบกขารมณ์ เราก็เดินจิตขึ้นสู่สมถะสมาธิในกสิณ
จากจุดที่หยุด เรากำหนดจินตภาพให้ปรากฏเป็นดวงแก้วสว่าง จากจุดขยายขนาดใหญ่ขึ้น ดวงแก้วใหญ่ขึ้น ใสขึ้น สว่างขึ้น กำหนดรู้ว่าดวงกสิณที่ปรากฏนั้นคืออุคคหนิมิตในกสิณ ดวงแก้วยิ่งใสยิ่งสว่าง อารมณ์จิตยิ่งเป็นสุขยิ่งผ่องใส เชื่อมโยงนิมิตกสิณกับจิตของเรา “จิตคือกสิณ กสิณคือจิต” การเชื่อมโยงจิตกับกสิณนั้น ทำให้เราสามารถใช้นิมิตของกสิณเป็นเครื่องวัดคุณภาพสมาธิคุณภาพความผ่องใสของจิต ยิ่งภาพนิมิตผ่องใสมากเท่าไรสว่างมากเท่าไร ก็แปลว่าจิตของเราสะอาดจิตของเราผ่องใส สะอาดจากกิเลสมากขึ้นเท่านั้น
คราวนี้กำหนดจิตจากดวงแก้วดวงจิตที่สว่างใส เรากำหนดให้เข้าสู่กสิณที่เป็นปฏิภาคนิมิต กสิณที่เป็นปฏิภาคนิมิตมีสภาวะเป็นเพชรประกายพรึกระยิบระยับแพรวพราว มีรัศมีจิตเป็นแสงสีรุ้งเจ็ดสีทอประกายออกมาโดยรอบ360องศา ในกสิณเรียกว่าปฏิภาคนิมิต เมื่อเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกับจิต นั่นก็คือจิตของเราเข้าถึงความประภัสสร คือปราศจากมลทินเครื่องเศร้าหมองใดๆมาห่อหุ้ม ปราศจากกิเลส ว่างจากกิเลส คือความรักโลภโกรธหลง ว่างจากอุปกิเลสทั้งหลาย ยิ่งจิตเป็นประกายพรึกผ่องใส จิตเข้าถึงความเป็นประภัสสร เราทรงอารมณ์ได้ทรงตัวนานเท่าไรก็ตาม กำลังจิตในขณะที่เราทรงสภาวะประภัสสรเป็นปฏิภาคนิมิต จิตเราสามารถใช้กำลังของอภิญญาสมาบัติ เพราะจิตเราเข้าถึงสภาวะแห่งความเป็นทิพย์ของจิต อารมณ์ความเป็นทิพย์ในขณะที่เราทรงกสิณนั้น ความสำคัญอยู่ที่อารมณ์แห่งความสุข ความอิ่มเอิบใจ ความสัมพันธ์ระหว่างแสงสว่างความแพรวพราวความใส เชื่อมโยงกันกับอารมณ์ ยิ่งใสเท่าไรยิ่งสว่างมากเท่าไร ยิ่งเป็นประกายพรึกแพรวพราวมากเท่าไร จิตเรายิ่งอิ่มจิตเรายิ่งเป็นสุข ซึ่งกำลังแห่งความผ่องใสความเป็นประกายพรึก คือความเป็นทิพย์ คือฤทธิ์อภิญญา กำลังจิตเราผ่องใสเป็นเพชรระยิบระยับ ฝึกที่จะทรงอารมณ์นี้ไว้ ฝึกที่จะเปล่งประกายให้จิตเรานั้นผ่องใสได้มากขึ้น ใสได้มากขึ้น สว่างได้มากขึ้น เป็นสุขได้มากขึ้น ภายในจิตยิ้มได้มากขึ้น การฝึกฝนในกสิณก็คือจุดนี้ จนกระทั่งเมื่อไรก็ตามที่จิตเราใสบริสุทธิ์สว่างที่สุด เวลาที่เราใช้กำลังฐานแห่งกสิณที่เราฝึกมาดีแล้ว กำลังของมโนมยิทธิเวลาที่เราใช้ก็จะใสตามไปด้วย สว่างตามไปด้วย เข้าถึงจากครึ่งกำลังก็กลายเป็นเต็มกำลัง เพราะกลายเป็นว่าการที่เราทรงสภาวะทรงกสิณจิตเป็นปฏิภาคนิมิตสว่างแพรวพราวอย่างยิ่งนั้น เป็นฌานสี่ เพราะเมื่อไรก็ตามที่ใช้กำลังสมาธิในมโนมยิทธิในฌานสี่ นั่นก็คือจิตมันแยกจากกายเด็ดขาด จิตมันมีกำลังมีความเป็นทิพย์ ดังนั้นมโนมยิทธิที่เราใช้ก็จะกลายเป็นเต็มกำลัง ฝึกจนกระทั่งความสัมพันธ์ระหว่างภาพนิมิต ความสว่างความใส เชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกับความสุขความอิ่มใจ ความรู้สึกที่จิตเราเปี่ยมพลังอย่างยิ่ง เหมือนมีพลังงานที่ประจุอยู่ล้นเหลือ พร้อมที่จะเปล่งประกาย พร้อมที่จะแผ่ออกมา และเราก็ฝึกต่อไปว่า รัศมีกายรัศมีจิตที่แผ่ออกมา เราพยายามที่จะให้กลายเป็นปกติ ว่าเป็นกระแสแสงสว่างรัศมีจิต เป็นกระแสแห่งเมตตา
การที่เราฝึกเช่นนี้ก็เป็นเครื่องป้องกันจิตเรา ไม่ให้เกิดมานะทิฐิ เกิดจิตที่มีความมานะรู้สึกว่าเราเก่ง แต่ให้เราฝึกโดยมีความรู้สึกว่าจิตเรายิ่งผ่องใสยิ่งเปล่งประกายยิ่งสว่างเพียงใด เราก็จะใช้กำลังใจนี้มาเป็นประโยชน์ในการแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์อย่างไม่มีประมาณ อภิญญาสมาบัติเป็นไปในปฏิปทาเพื่อส่วนรวมเพื่อยังประโยชน์ต่อมวลสรรพสัตว์มวลสรรพชีวิต หรือแม้แต่อภิญญาสมาบัติในกำลังของมโนมยิทธิที่เราทำได้ เราก็มีขอบเขต มีกรอบที่เราจะใช้ เพื่อเป็นไปเพื่อเป็นเครื่องมือในการปฏิบัติพัฒนาจิตเพื่อมรรคผลพระนิพพานเป็นที่สุด เราไม่ได้ใช้เพื่อเพิ่มอุปกิเลสให้เพิ่มพูนขึ้น ไม่ได้ใช้เพื่อเพิ่มมานะให้เพิ่มพูนขึ้น ตรงจุดนี้ก็ให้เราตระหนักชัดเจนไว้เสมอ
บัดนี้ก็ให้เรากำหนดให้จิตเราสว่างที่สุดใสที่สุดเป็นเพชรประกายพรึกที่สุด รัศมีจิตที่แผ่ออกไปก็กำหนดให้เป็นกระแสแห่งเมตตาอันไม่มีประมาณ แผ่สว่าง จิตเอิบอิ่ม จิตเป็นสุขจากการให้ จิตเป็นสุขจากกระแส ยิ่งแผ่ยิ่งให้ยิ่งสว่าง จิตเรายิ่งเกิดกำลังของบุญ เกิดกำลังของฌาน เกิดกำลังของอภิญญาสมาบัติ เกิดกำลังของเมตตาอันไม่มีประมาณ ทรงสภาวะที่จิตเปล่งประกายผ่องใสที่สุดสว่างที่สุดนี้ไว้ ทรงสภาวะความสุขความอิ่มใจ ความเปล่งประกาย ความระยิบระยับ ความใสถึงพร้อมในอารมณ์พระกรรมฐานทั้งหมด กำหนดรู้ กำหนดว่าเราจะพัฒนาจิตให้การทรงสมาบัติการทรงสมาธิ เราทรงสมาธิทรงสมาบัติได้เต็มกำลังเสมอ จิตเปล่งประกายที่สุดสว่างที่สุดใสที่สุดเป็นสุขที่สุด และสามารถทรงสภาวะที่จิตมีคุณภาพสูงสุด จิตผ่องใสเต็มกำลังเช่นนี้ได้อย่างเสถียร คือมีความทรงตัว ไม่วูบวาบ ไม่ตกๆหล่นๆ มีความทรงตัว มีความตั้งหมั่นอย่างยิ่ง
เมื่อพื้นฐานที่เราพึงฝึกพึงปฏิบัติเราฝึกมาดีแล้ว ลำดับต่อไป เราก็ตั้งจิตว่าความผ่องใสความสว่างของจิต เราน้อมถวายเป็นพุทธบูชาต่อพระพุทธองค์ กำหนดน้อมนึกรำลึกถึงพระพุทธเจ้า กำหนดให้ปรากฏภาพพุทธนิมิตของพระพุทธองค์ที่ใสเป็นแก้วประกายพรึก ปรากฏอยู่ภายในจิตของเรา องค์พระใสสว่างเป็นเพชรระยิบระยับอย่างยิ่ง จิตตั้งมั่นจดจ่ออยู่กับพระ อยู่กับพระพุทธองค์ อธิษฐานจิต ตอนนี้ฝึกโดยเนื่องกับกายก่อน อธิษฐานให้ปรากฏพระสามฐานปรากฏขึ้นฉับพลัน บนศีรษะ ภายในศีรษะ และภายในกายของเรา องค์พระเป็นเพชรประกายพรึก เป็นพระสามฐาน องค์พระทั้งสามฐานสามพระองค์เปล่งฉัพพรรณรังสีสว่างเป็นเพชรระยิบระยับแพรวพราว สว่าง กายที่เป็นกายเนื้อ กำหนดให้เห็นเป็นกายใส เหนือศีรษะ เหนือกระหม่อมจอมขวัญมีองค์พระสว่างเป็นเพชร ภายในศีรษะมีองค์พระ ภายในกายของเรามีองค์พระ อธิษฐานจิตว่าเราเข้าถึงองค์พระ มีพระภายใน ขอพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกำลังพุทธานุภาพขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอจงมาสถิตรักษากายขันธ์ห้าของข้าพเจ้า กำหนดว่าขอให้จิตข้าพเจ้าสามารถทรงภาพพระได้ตลอดทั้งวัน ขณะที่มีสติรู้ ทำการงานใดก็ตาม ทำกิจใดก็ตาม ในระหว่างวัน ก็มีความรู้สึกว่าทรงภาพพระสามฐาน รวมถึงภาพพุทธนิมิตที่ปรากฏทั้งสามฐานก็กระจ่างชัดเจนกับจิตของเราเสมอ
กำหนดความรู้สึก ทรงตัวทรงสภาวะในการทรงภาพพระสามฐานไว้
จากนั้นตั้งจิตอธิษฐานว่าจิตข้าพเจ้านั้น มีความศรัทธานอบน้อมเลื่อมใสในคุณพระรัตนตรัยอย่างไม่มีวิจิกิจฉา ไม่มีความลังเลสงสัยใดๆ กระแสพุทธานุภาพที่จะมาสถิตรักษากายวาจาจิตของข้าพเจ้าก็ดี กำลังพุทธานุภาพที่จะน้อมนำจิตอทิสมานกายของข้าพเจ้า ให้ปรากฏเป็นกำลังของมโนมยิทธิก็ดี ข้าพเจ้าไม่มีความลังเลสงสัยใดๆทั้งสิ้น เมื่อกำหนดจิตตั้งกำลังใจไว้เช่นนี้แล้ว เราก็อาราธนาบารมี ขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ยกจิตอทิสมานกายของข้าพเจ้าขึ้นไปบนพระนิพพาน พุ่งเป็นแสงสว่างไปปรากฏเปลี่ยนรูปจากแสงกลายเป็นกายพระวิสุทธิเทพ มีความสว่างแพรวพราว กำหนดรู้ในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพก่อน รู้สึกถึงกายการเปลี่ยนแปลงของกายที่มีเครื่องประดับ ทรงชฎา มีเสื้ออินธนู ทับทรวง กำไรทานพระกร พระธรรมรงค์ทั้งสิบนิ้ว คือแหวนทั้งสิบนิ้ว กายมีความสว่าง มีความแพรวพราวระยิบระยับ
เมื่อกำหนดรู้ในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ ก็พิจารณาว่าเราไม่ใช่กายเนื้อ หรือกายที่เป็นกายหยาบอันประกอบไปด้วยขันธ์ห้า ธาตุสี่ อาการสามสิบสอง สิ่งนั้นมันเป็นเพียงแค่ธาตุทั้งสี่ของโลกที่มาประชุมรวมตัวกัน และจิตเรามาอาศัยครองอยู่ อันที่จริงเราคือจิตหรืออทิสมานกายที่เดินทางไปในวัฏสงสาร ไปตามแรงของกรรม ไม่ว่าจะเป็นกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม ไปจุติในภพภูมิต่างๆ บัดนี้จิตเรามีความตั้งมั่นอยู่กับพระนิพพาน เราปรารถนาในนิพพานชาตินี้ ดังนั้นจิตอทิสมานกายของเราจึงได้ทรงสภาวะอยู่ในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ ให้เรากำหนดรู้ในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ พิจารณาเปรียบเทียบกับกายที่เป็นกายหยาบ กายที่เป็นกายเนื้อ พิจารณาว่ากายนี้ กายที่เป็นกายแก้ว กายที่เป็นกายพระนิพพาน มีความละเอียด มีความสว่าง มีความผ่องใส ไม่มีความปวดเมื่อย ไม่มีทุกขเวทนาปรากฏ ไม่มีความร้อน ไม่มีความหนาว ไม่มีความหิวกระหาย เรากำหนดพิจารณาว่า กายนี้มันไม่มีการแก่ไม่มีการเสื่อม เมื่อเข้าถึงซึ่งพระนิพพานก็จะเป็นกายที่มันไม่ต้องเกิดไม่ต้องดับ ไม่ต้องพลัดพราก ไม่ต้องเปลี่ยนภพอีกต่อไป
กำหนดพิจารณาจนตระหนักถึงความเป็นกายพระวิสุทธิเทพที่ชัดเจน แล้วเราจึงกำหนดน้อมรำลึกนึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ที่ท่านแนะนำสั่งสอนในข้อธรรมสืบต่อมา จนเราสัมผัสเข้าถึงวิมุตติธรรม ละจากสมมติ คือสมมุติของความเป็นกายเนื้อ สมมุติของการเป็นคน จนเข้าถึงวิมุตติคือความหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดวัฏสงสารทั้งปวง เมื่อรำลึกนึกถึงพระคุณท่านก็กำหนดน้อมจิต ตั้งใจกราบด้วยความเคารพ นอบน้อมให้ถึงที่สุด ต่อพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกๆพระองค์บนพระนิพพาน มีสมเด็จองค์ปฐมทรงเป็นประธาน ท่ามกลางมหาสมาคมบนพระนิพพานนี้ ตั้งจิตบรรจงกราบเบญจางคประดิษฐ์ ศีรษะ ฝ่ามือ ข้อศอก หัวเข่า บรรจงกราบลงสามครั้งด้วยความนอบน้อม
เมื่อกราบลงแล้วก็กำหนดจิต ขอพรท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลใดท่านใดที่ตั้งใจปฏิบัติจะเดินทางไปฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลัง เราก็กำหนดจิต ขอพรขอบารมีพระ เมตตาสงเคราะห์ ให้ข้าพเจ้าสามารถใช้กำลังมโนมยิทธิจากครึ่งกำลังให้กลายเป็นเต็มกำลังได้
จากนั้นเราก็เริ่มซักซ้อม เรากำหนดว่าเมื่อไรเราขึ้นมาแล้ว เราก็ฝึกโดยใช้เทคนิคในการตัดร่างกายขันธ์ห้าเพิ่ม เจริญวิปัสสนาญาณต่อบนพระนิพพาน พิจารณาอธิษฐานให้เห็นกายเนื้อกายของเราเองมาปรากฏอยู่บนพระนิพพาน เห็นกายเนื้อนี้นอนอยู่ เราใช้กายพระวิสุทธิเทพมาขยับกายเนื้อ หยิบยกมา ตั้งกำลังใจว่ากายเนื้อนี้ก็เหมือนกับซากศพ เราหยิบเรายกขึ้นมา มันมีความหนักไหม จากนั้นเรากำหนดดูว่าพอกายที่มันไม่มีจิตมาครอง มันมีความหนัก ซากศพนั้นจะมีความหนักกว่าร่างกายที่ยังไม่ตาย ขยับดูแล้ว ขยับซ้ายขยับขวา ขยับดูว่ามันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา มันเป็นธาตุสี่ พิจารณาต่อไปว่า ให้เห็นสภาวะในความเสื่อม ในความแตกสลาย ในความเป็นอสุภสัญญา พิจารณาเห็นร่างกายนี้ค่อยๆเน่าเปื่อยไปทีละน้อย ค่อยๆอืดบวมไปทีละน้อย เขียวคล้ำขึ้น อืดบวมขึ้น จนกระทั่งกลายเป็นสีน้ำตาลสีคล้ำดำ กำหนดรู้ในกลิ่นที่ปรากฏขึ้นจากศพที่อืดบวม มือกางตีนกาง เป่งจนถึงที่สุด หน้าอืดบวมเต็มที่ ลิ้นจุกปาก ผมทั่วศีรษะหลุดล่วงออกไปหมดจากร่างกายที่เน่าเปื่อยขึ้นอืด พิจารณาจนกระทั่งเห็นหนังมันปริแตกออกมา ผิวหนังที่ปริแตกออกมานั้น ยิ่งมีกลิ่นเน่าเหม็น ซากศพก็ค่อยๆยุบลงมีน้ำเหลืองน้ำหนองทะลักกระจายเนืองนองอยู่หลายรอบข้าง พิจารณาต่อไปจนกระทั่งเห็นน้ำเหลืองน้ำหนองและซากที่เป็นเนื้อนั้น มันค่อยๆแห้ง ค่อยๆยุบลง เป็นความเกรอะกรังสีดำสีน้ำตาลเข้มเกาะอยู่กับโครงกระดูก โครงกระดูกนั้นก็มีความดำมีคราบกระดำกระด่างของเนื้อเน่าที่มันแห้งกรังติดอยู่ เราพิจารณาให้เห็นว่าซากสภาวะอสุภสัญญาในขันธ์ห้านี้ มันเป็นของสวยงามน่าพึงพอใจไหม ในขณะเดียวกันก็พิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงว่า ถ้าร่างกายของเรานั้น มันดับขันลง มันตายลง สภาพมันก็เป็นเช่นนี้ มันเห็นชัดเจน จิตเรายังอยากยึดอารมณ์นี้คือสิ่งสำคัญ เราพิจารณาในอสุภสัญญาไม่ใช่เอาอารมณ์ว่ามันน่าเกลียดมันน่าสะอิดสะเอียน แต่เราต้องการอารมณ์ว่าเรายังยึดไหม เรายอมรับตามความเป็นจริงไหม เรายังอยากมีขันธ์ห้าร่างกายนี้อีกไหม จนกระทั่งเกิดอารมณ์ตัด เกิดอารมณ์เบื่อหน่าย อารมณ์เบื่อหน่ายเป็นสังขารุเบกขาญาณคือความวางเฉย ความปล่อยวาง ความไม่ยึดมั่นถือมั่นในกายสังขาร พิจารณาจนกระทั่งเห็นตามความเป็นจริง เห็นตามความธรรมดาของมัน ว่าเป็นอนิจลักษณะคือความไม่เที่ยง เห็นในความเป็นอสุภสัญญาคือความน่าเกลียดความไม่สวยงาม พิจารณาจนจิตเกิดความเบื่อหน่ายคลายจาง จืดจากความยึดมั่นถือมั่นในสังขารร่างกายนี้
กำหนดจิตของเราในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพที่สว่างผ่องใส ยิ่งปล่อยวางร่างกายมากเท่าไร เห็นตามความเป็นจริงของขันธ์ห้ามากเท่าไร กายพระวิสุทธิเทพยิ่งใสขึ้นสว่างขึ้น จิตยิ่งยินดีในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ ยิ่งยินดีในความเข้าถึงซึ่งพระนิพพานมากขึ้น ทรงสภาวะเช่นนี้ไว้ กำหนดให้กายสว่างขึ้นใสขึ้น กายพระวิสุทธิเทพยิ่งสว่างขึ้นใสขึ้น น้อมในอารมณ์แห่งอรหัตผล เข้าใจเข้าถึงว่า ทำไมครูบาอาจารย์ที่ท่านเข้าถึงความเป็นอรหัตผล ท่านถึงได้มีอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่ได้กลัวความตาย มีความยินดีว่า ตายเมื่อไรก็ได้พ้นจากร่างกายเน่าๆนี้ ตายเมื่อไรก็ได้พ้นจากร่างกายแก่ๆนี้ ตายเมื่อไรก็ได้พ้นจากขันธ์ห้าร่างกายที่เป็นรังของโรค ที่มีความทุกข์ ที่มีความเวทนา จากความเสื่อม จากโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลาย ได้มาอยู่บนพระนิพพาน ปรากฏในกายพระวิสุทธิเทพที่ไม่มีความหนัก ไม่มีความร้อน ไม่มีความหนาว ไม่มีความหิวกระหาย ไม่มีความอยาก ไม่มีการกระทบ สิ้นจากความทุกข์จากความโลภโกรธหลงทั้งปวง ปราศจากความทุกข์จากความพลัดพรากจากของรักของเจริญใจทั้งปวง เป็นอมตะธรรมคือพระนิพพาน ทรงสภาวะในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพไว้
จากนั้นเรากำหนดพิจารณา เราส่วนใหญ่ เราเป็นฆราวาส มาปฏิบัติธรรม ถึงแม้ว่าเราเป็นฆราวาส เราตั้งจิตปรารถนาในพระนิพพาน แนวทางในการปฏิบัติของเรานั้น ให้เราตั้งใจไว้เสมอ อย่าไปหลุดอย่าไปหลง อย่าไปเกิดวิปัสสนูปกิเลส เรากำหนดทรงอารมณ์ใจ ว่าเราตั้งฐานของเรา ขอบเขตที่เป็นมาตรฐานในการปฏิบัติของเรา เราตั้งไว้ในองค์แห่งพระโสดาบัน องค์แห่งพระโสดาบันเป็นฐานเป็นหลัก เป็นขั้นต่ำของบุคคลที่ตั้งจิตปรารถนาในพระนิพพาน เราพิจารณาไม่ประมาทในความตาย ไม่หลงในกายจนเกินไป พิจารณาเห็นในความไม่เที่ยงความเสื่อมในขันธ์ห้าร่างกาย สักกายทิฐิของเรานั้นมันคลายมันตัดออกไป วิจิกิจฉาเราไม่มีความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัยในพระนิพพาน ในกำลังใจกำลังบุญที่เราจะปฏิบัติเพื่อเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน เช่น วิจิกิจฉา เราลังเลสงสัยว่าบุญเราไม่พอ เราเข้าพระนิพพานไม่ได้ อันนี้ก็ถือว่าเป็นวิจิกิจฉา ไม่ใช่แค่ความคลางแคลงใจในคุณพระรัตนตรัย ไม่ใช่แค่ความคลางใจว่าพระนิพพานมีจริงไหม กฎของกรรมมีจริงไหม ภพภูมิมีจริงไหม สิ่งนั้นยังเรียกว่าทิฐิที่ยังเป็นมิจฉาทิฐิที่ยังถือว่าเป็นของหยาบ มิจฉาทิฐิที่เป็นของหยาบ เช่น ยังไม่เชื่อยังไม่มั่นใจว่าพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์มีพระคุณจริง อันนี้นอกเหนือจากเป็นมิจฉาทิฐิแล้วก็ยังถือว่าเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยด้วย
ดังนั้นการที่หยาบหรือกำลังใจยังหยาบขนาดนั้น ย่อมไม่สามารถเข้าถึงซึ่งพระนิพพานแน่นอน แต่ส่วนใหญ่จุดที่ติดขัดในผู้ที่ปฏิบัติปรารถนาในพระนิพพานและเป็นสัมมาทิฐิแล้ว กลับกลายเป็นว่ามีความลังเลสงสัยว่าเราจะไปพระนิพพานดีหรือไม่ไปดี เป็นตัวที่หนึ่ง
สอง มันเกิดทิฐิในด้านมานะ มีความน้อยอกน้อยใจ ว่าบุญเราจะพอ บุญเราจะถึง ในการเข้าถึงพระนิพพานชาตินี้ไหม อันนี้ก็กลายเป็นวิจิกิจฉาไปด้วย ดังนั้นเราต้องมั่นใจมั่นคงก่อน ว่าเราปฏิบัติมาถึงจุดนี้ เวลาที่เราฝึกมโนมยิทธิ หลักสูตรที่สอน เป็นไปเพื่อสร้างความมั่นใจว่าเรามาพระนิพพานได้ ก็คือ ครูที่ท่านสอนท่านก็จะพานำให้เราอธิษฐานว่า “ขอให้ปรากฏวิมานของข้าพเจ้าของเราเองบนพระนิพพาน” จำไว้เสมอว่าถ้าถ้าวิมานของเราปรากฏในที่ใด จะเป็นสวรรค์ภพใดชั้นใด จะเป็นพรหมชั้นใด หรือแม้บนพระนิพพานถ้าเรามีวิมานที่แห่งไหน แปลว่าเราสามารถ หรือเรามีสิทธิ์ที่จะมา ที่จะจุติ หรือมาที่พระนิพพานนี้ได้ คือเข้าถึงซึ่งพระนิพพานนี้ได้ ดังนั้นเราแต่ละคนเคยฝึกเคยปฏิบัติเคยรู้อยู่แล้วว่า เรามีบทมีพระมีวิมานอยู่บนพระนิพพาน ดังนั้นเราตัดสินใจไปให้เด็ดเดี่ยวเลยว่า ตัดความลังเลสงสัยว่า เราจะตายแล้วเราจะมานิพพานเลยได้ไหม เรามาได้แน่นอน อันนี้ก็ให้เราไม่ต้องไปขวนย้อนกลับ ไม่ต้องถอยหน้าถอยหลังอีกต่อไป
การปฏิบัติธรรมนั้นมีหลายคนที่ถอยหน้าถอยหลัง การที่ถอยหน้าถอยหลังนั้น กลายเป็นว่าอารมณ์ใจมันมีความลังเลสงสัยเหมือนกัน จิตมันไม่ตัดเด็ดขาด เรียกว่ามันไม่เป็นสมุทเฉทประหาน ก็คือไม่ตัดฉั่วเดียวให้มันขาดสะบั้น มันยังเหลือเยื่อเหลือใย บางทีเยื่อใยนั้นมันเส้นหนาเส้นหนักเส้นใหญ่ จนยึดโยงย้อนกลับ ก่อตัวมาเป็นสังโยชน์เหมือนเดิม มันตัดไม่ขาด ดังนั้นการที่บางเรื่องเราผ่านมาแล้ว เราพิจารณาเสร็จแล้วจบแล้ว เราต้องตั้งกำลังใจว่าไม่ไปถอยหน้าถอยหลัง ตัดมันให้ขาด ผ่านแล้วผ่านเลย ตัดให้ขาดสะบั้น อย่าได้ไปเหลือเยื่อเหลือใย ไม่ต้องไปหวนคิด กำหนดอย่างเดียวว่า เราพิจารณาจบแล้ว พิจารณาขาดแล้ว เห็นสิ่งที่เราเคยยึดมั่นถือมั่นนั้น มันขาดสะบั้นลงไปแล้ว ไม่ต้องกลับไปยึดอีกเหมือนเดิม มันจะได้ตัดเข้าสู่ผลที่แท้จริงของความเป็นพระอริยเจ้า
จากนั้นกรอบในองค์แห่งพระโสดบันอีกจุดหนึ่งก็คือเรื่องของศีล ศีลเรากำหนดรู้ให้ชัดเจนไว้ ว่าการรักษาศีลเป็นไปเพื่อการปิดอบายภูมิ ก็คือภพภูมิที่ต่ำนับตั้งแต่สัตว์เดรัจฉานลงไป จนกระทั่งถึงเปรตอสูรกายสัตว์นรกทั้งปวง เราปิดอบายก็คือไม่เกิดอีกจากการที่เรามีศีล ด้วยเหตุนี้ท่านที่เข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน หากอารมณ์จิตกำลังใจกำลังบารมียังไม่เข้มแข็ง ยังเกิดอีกเจ็ดชาติบ้าง สามชาติบ้าง หนึ่งชาติบ้าง ด้วยกำลังแห่งการที่รักษาศีลบริสุทธิ์ ก็เป็นการปิดอบายภูมิ ทำให้ไม่มาเกิด ไม่มาจุติ ต่ำกว่าความเป็นมนุษย์ ก็คือไม่เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานลงไปจนถึงสัตว์นรกอีกต่อไป เป็นการมาเกิดเพื่อสร้างบารมีต่อ เพื่อมาปฏิบัติต่อจากมนุษย์ขึ้นไปถึงพระนิพพาน
คราวนี้เมื่อฐานของการตัดสังโยชน์ทั้งสาม สักกายทิฐิ วิจิกิจฉา สีลพตปรามาสของเรา ปฏิบัติจนถึงพร้อมแล้ว ก็ให้เราตั้งใจว่า เราทรงคุณธรรมมาตรฐานคือความเป็นพระโสดาบัน กำหนดว่าตายเมื่อไรเราก็ไปพระนิพพาน พยายามไว้ อย่าไปยึดอยู่กับว่าเราเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าขั้นใด เพราะตัวนี้บางครั้งมันจะเป็นตัวหลอก มันจะมีสิ่งที่เป็นญาณที่มาหลอกมาลวงให้เราหลงได้ ว่าเราบรรลุธรรมขั้นสูง บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว ให้เราตั้งกำลังใจเราไว้เสมอว่า เราตั้งมาตรฐานของคุณธรรมเราไว้ในองค์แห่งพระโสดาบัน และเมื่อไรที่ตายเราไปพระนิพพาน เรายังไม่ต้องไปหวังในเรื่องของความเป็นพระอรหันต์ในขณะที่เป็นฆราวาส เพราะถึงเวลาที่เราตั้งกำลังใจไปสบายๆ ปฏิบัติสบายๆ ในความเป็นพระโสดาบันนั้น ถึงเวลาถ้าเมื่อไรวาระแห่งธรรมะ วาระแห่งธรรมเข้า อารมณ์จิตเราจะเริ่มแนบ วิปัสสนาญาณเราจะเริ่มลึก ถึงเวลานั้นลำดับความละเอียดของธรรมมันก็จะเริ่มเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ อารมณ์จิตก็จะเริ่มมีความรู้สึกเห็นในวิปัสสนาญาณความไม่เที่ยงมากขึ้น ในทุกการกระทบ บ่อยขึ้นถี่ขึ้น จนแทบจะเห็นทุกเรื่อง มีกฎไตรลักษณ์ เห็นความไม่เที่ยง เห็นความแปรปรวน เห็นกฎของกรรมปรากฏกำกับอยู่กับการกระทบ อารมณ์จิตเริ่มมีความรู้สึกละเอียดในเรื่องของกุศลกรรมบถสิบเพิ่ม จิตเริ่มมีความจืดในโลก คำว่าจืดในโลก ก็คือ ความเพลิดเพลินในความเอร็ดอร่อยในรสอาหาร ความสุขความสนุกสนานในทางโลก การสรวนเสเฮฮามันค่อยๆจืดลงมันสนุกน้อยลงจากการที่เกิดวิปัสสนาญาณ ดูหนังดูละครมันก็รู้สึกว่ามันเห็นในเรื่องของกรรม มันเห็นในเรื่องผล ว่าคนนี้ทำแบบนี้จึงรับผลกรรมแบบนี้ มันก็เริ่มจืดลงไป อารมณ์ไม่ไหลไปกับหนัง ไม่ไหลไปกับละคร ไม่อินไปกับอารมณ์ของการดู จากนั้นเวลาฟังเพลง มันก็กลายเป็นเนื้อหาที่ฟัง มันไม่อินอารมณ์ของเพลงที่ฟัง มันเห็นสัจธรรมกำกับอยู่กับเนื้อเพลง ความทุกข์ของการพลัดพราก ความทุกข์ของการอกหัก จนกระทั่งจิตมันเฉยๆ อารมณ์ใจแบบนี้คืออารมณ์มันค่อยๆแนบขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเมื่อไรที่อารมณ์มันจืดจนถึงลำดับหนึ่ง อารมณ์จิตก็จะเริ่มอยากบวช เริ่มอยากออกจากเรื่อง ถึงเวลาก็จะเป็นไปตามสภาพเป็นไปตามสภาวธรรม จิตมันก็จะน้อมไป เมื่อไรที่อารมณ์จิตก้าวเข้าสู่ความเป็นพระโสดาบัน ศีลก็มีความบริสุทธิ์ ความมั่นคงในพระรัตนตรัยเต็มที่เต็มกำลัง เมื่อไรอารมณ์จิตเราน้อมเข้าสู่ความเป็นพระสกิทาคามี ธรรมะก็จะเริ่มละเอียดขึ้น วิปัสสนาญาณเริ่มกำกับชัดเจนขึ้น กุศลกรรมบถสิบก็เริ่มเข้ามา ความสนุกสนานในทางโลกเริ่มเบาลง เมื่อไรก็ตามที่อารมณ์จิตน้อมเข้ามาสู่ความเป็นพระอนาคามี จิตก็จะเริ่มปล่อยวางจากโลกมากขึ้น ปล่อยวางจากกิจการงานจากหน้าที่ จากทรัพย์สินจากสมบัติ ปลงมากขึ้น ไม่มีความเพลิดเพลินความสุขสนุกในทางโลก จิตเริ่มน้อมตรองในเนกขัมมะ การบวช เริ่มปรารถนาการบวช ถ้าหากจิตเราน้อมไปเช่นนี้ก็ปล่อยไปตามสภาวะ แต่ถ้าจิตเรายังทรงตัว เรายับยั้งไว้อยู่ที่ความเป็นพระโสดาบัน อารมณ์พระโสดาบัน เราก็ไปเรื่อยๆของเรา
แต่คราวนี้สิ่งสำคัญในการปฏิบัติในแบบอย่างนี้ก็คือ ถึงแม้ว่าเราจะยังอยู่กับโลก ยังมีความเอ็ดอร่อยกับอาหาร มีความเพลิดเพลินดูหนังดูละคร ไปเที่ยวเตร่ตามที่ต่างๆ แต่สิ่งสำคัญที่เราจะต้องฝึกไว้เป็นพื้นฐานก็คือ เรายังต้องฝึกยกจิตขึ้นบนพระนิพพานไว้ทุกวันไม่ให้ขาด อย่างน้อยที่สุดวันละสามเวลา อารมณ์จิตแรกก่อนตื่น ตื่นปุ๊บเรากำหนดจิตนึกถึงกราบพระเลย ในระหว่างวันก็ฝึกให้มากที่สุด และสุดท้ายก็คือจิตสุดท้ายช่วงที่เรานอนก็พยายามฝึก กราบพระยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพานตั้งแต่หลับยันตื่น อันนี้ฝึกให้เป็นปกติ การที่เรายับยั้งในอารมณ์ที่เราไม่ไปยึดว่าเราเข้าถึงธรรมขั้นนั้นขั้นนี้ มันก็เพื่อป้องกันตัวเราเองจากวิปัสสนูปกิเลส ให้เรากำหนดรู้ไว้ ไม่หลงไม่เฟือไม่บ้า เพราะอารมณ์เราไม่หนักไม่เร่งรัดไม่ยึดติดไม่มีมานะ พยายามทำตัวให้ดูเป็นคนธรรมดาๆ คนภายนอกถ้าเขาไม่มาปฏิบัติธรรมกับเราไม่รู้กับเรา ก็แค่เขามองว่าเราเป็นคนธรรมดาๆ เป็นการตัดเป็นการละมานะทิฐิ ทำใจของเราเน้นให้ผ่องใสเป็นสำคัญ
ตอนนี้ก็ให้เราตั้งจิต จดจ่อทรงสภาวะในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพที่สว่างที่สุดใสที่สุด ตั้งจิตดูใจของเราเอง ว่ามีความมั่นคงในพระรัตนตรัยในพระพุทธเจ้าแค่ไหน จิตตั้งมั่นมั่นคงพอใจยินดีกับพระนิพพานแค่ไหน เด็ดเดี่ยวมั่นคง ย้อนดูว่าเราจะเลิกถอยหน้าถอยหลัง จะไปพระนิพพานก็ไปพระนิพพาน เรียกว่าเด็ดขาด ไม่สนใจ เปล่งวาจาได้อย่างหนักแน่นชัดเจน ว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของข้าพเจ้า การเกิดจะไม่ปรากฏกับข้าพเจ้าอีกต่อไป การมีขันธ์ห้าจะไม่มีกับข้าพเจ้าอีกต่อไป คติที่ไปสุดท้ายของข้าพเจ้าคือพระนิพพาน ให้เราตั้งใจให้เต็มกำลังชัดเจนไว้เช่นนี้
จากนั้นอธิษฐานกราบทุกท่านทุกๆพระองค์ และน้อมกระแสบุญกุศลทั้งหลายจากพระนิพพาน จากการปฏิบัติ แผ่ลงมา น้อมกระแสจากพระนิพพานลงมายังสามภพภูมิ แผ่เมตตา กระแสบุญกระแสกุศลทั้งหลาย กระแสบารมีทั้งหลาย กระแสแห่งความเมตตาความปรารถนาดี กระแสที่พระพุทธองค์มีพระมหาปณิธาน รื้อขนสรรพสัตว์เข้าสู่พระนิพพาน แผ่กระแสเมตตานี้มายังทุกภพภูมิ ไล่ลงมาจากพระนิพพาน ไล่ลงมาตั้งแต่อรูปพรหมทั้งสี่ พรหมโลกทั้งสิบหกชั้น อากาศเทวดาทั้งหกชั้น รุกเทวดาภูมิเทวดา เจ้าป่าเจ้าเขา เจ้าที่เจ้าทาง ทุกแห่งหนทุกดวงดาวทั่วอนันตจักรวาล
แผ่เมตตาลงมายังภพกลางของมนุษย์และสัตว์ที่มีขันธ์ห้ากายเนื้อกายหยาบทั้งโลกใบนี้และทุกดวงดาวทั่วอนันตจักรวาล
แผ่เมตตาจากจิตของเรายังดวงจิตดวงวิญญาณของโอปปาติกสัมภเวสีทั้งหลาย ทุกภพทุกภูมิทุกมิติ แผ่เมตตาลงมายังบรรดาดวงจิตของเปรตอสูรกายทั้งปวง
แผ่เมตตาลงไปยังภพของสรรพสัตว์ในนรกภูมิทุกขุม ลึกลงไปถึงที่สุดคือโลกันตมหานรก
จากนั้นกำหนดจิตอธิษฐานขอจงปรากฏพุทธานุภาพแห่งสมเด็จองค์ปฐม ปรากฏสภาวะเป็นสมเด็จองค์ปฐมทรงเครื่องจักรพรรดิเปิดโลก แผ่เมตตาสามภพภูมิสว่างผ่องใส ให้จิตใจของเราน้อมเข้าถึงกระแสแห่งพุทธานุภาพนี้ด้วยเถิด
ขอสรรพสัตว์จงประสบแต่ความสุข พ้นจากความทุกข์พ้นภัยจากวัฏสงสารเข้าถึงซึ่งพระนิพพานอันเป็นเอกบรมสุขด้วยเทอญ
สรรพสัตว์ใดที่ประสบความทุกข์ ก็ขอให้พ้นจากความทุกข์
สรรพสัตว์ใดที่เข้าถึงความสุขเข้าถึงบุญกุศลเสวยความสุขอยู่แล้ว ก็ขอให้สุขยิ่งขึ้นไป
สรรพสัตว์ใดที่เข้าถึงสัมมาทิฐิก็ขอจงเจริญในธรรมในความดีในทิฐินี้อย่างมั่นคง ตราบจนเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน
สรรพสัตว์ใดที่ยังเป็นมิจฉาทิฐิ ยังมีจิตมีปัญญาหยาบปรามาสพระรัตนตรัย ก็ขอให้กลับจิตกลับใจ พลิกจิตจากมิจฉาสู่สัมมาทิฐิด้วยเทอญ
กำหนดจิตของเราให้ผ่องใสสว่าง กายพระวิสุทธิเทพของเราสว่าง เปล่งประกาย ตั้งจิตว่าเราปฏิบัติถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา การปฏิบัติของเราตั้งจิตเพื่อมีพระนิพพานเป็นที่สุด ทาน ศีล ภาวนา ของข้าพเจ้าจงรวมตัวกัน เป็นพลวปัจจัยเพื่อพระนิพพานเป็นที่สุด น้อมกระแสบุญของเราว่าการปฏิบัตินี้ ขอน้อมถวายอุทิศเป็นพระราชกุศลแด่พระพันปีหลวง และขอให้กำลังบุญกุศลบุญฤทธิ์ที่เราเจริญพระกรรมฐานนี้ ถวายเป็นพระราชกุศลส่งผลให้พระองค์ภามีพระวรกายมีพระพลานามัยที่ฟื้นคืน มีความแข็งแรงสมบูรณ์ บุญจงส่งผล น้อมถวายเป็นพระราชกุศลด้วยเทอญ
จากนั้นให้เรากำหนดใช้กายพระวิสุทธิเทพกราบทุกท่านทุกๆพระองค์บนพระนิพพาน อธิษฐานจิตขอให้ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าพระอริยสงฆ์พระโพธิสัตว์เมตตาปรากฏอยู่เบื้องหน้า ให้เราทั้งหลายได้บรรจงกราบ ขอเทพพรหมเทวาที่ท่านพิทักษ์รักษาคุ้มครองอภิบาลข้าพเจ้าดูแลข้าพเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่เจริญพระกรรมฐาน ขอจงปรากฏให้ข้าพเจ้าได้กราบได้น้อมบุญถึง เมื่อน้อมถึงทุกท่านทุกๆพระองค์แล้ว กราบลาทุกท่านทุกๆทุกพระองค์แล้ว เราก็พุ่งจิตน้อมกระแสจากพระนิพพานกลับลงมาเป็นลำแสงสว่าง คลุมกายเนื้อทั้งหมด อธิษฐานจิต ธาตุธรรมฟอกธาตุขันธ์กระแสบุญจากพระนิพพานชำระล้างกายวาจาจิต ผมขนเล็บฟันหนังจงกลายเป็นแก้วใส โครงกระดูกทั่วร่างจงกลายเป็นอัฐิธาตุจงกลายเป็นแก้วใส ธาตุธรรมฟอกธาตุขันธ์ หลอดเลือดเส้นเอ็นจงสะอาดใสสว่าง เซลล์ทุกเซลล์ อาการทั้งสามสิบสอง อวัยวะภายในทุกส่วน ขอจงใสสว่างเป็นเพชร ธาตุดินน้ำลมไฟในกายขันธ์ห้าจงกลายเป็นเพชรประกายพรึก ธาตุธรรมจงฟอกธาตุขันธ์ อธิษฐานจิตขอธาตุธรรมสลายล้างเซลล์ที่ผิดปกติ เซลล์มะเร็งเซลล์เนื้องอกเซลล์ไขมัน พยาธิสภาพทั้งหลายเชื้อโรคทั้งหลายเชื้อไวรัสเชื้อแบคทีเรีย สารเคมีทั้งหลายอันเป็นพิษ สิ่งแปลกปลอมทั้งหลายอันเป็นพิษ ขอจงสลายตัวขับออกไปจากกายขันธ์5นี้ มลทินแห่งโรคมลทินเครื่องเศร้าหมองทั้งหลายจงสลายตัวออกไปจากกายขันธ์ห้านี้ อวิชชาคุณใสทั้งหลายจงสลายออกไปจากกายขันธ์ห้านี้
จากนั้นอธิษฐานขอธาตุธรรมหล่อเลี้ยงธาตุขันธ์ พลังชีวิตหล่อเลี้ยงร่างกาย กระแสลมปราณไหลเวียนโคจรราบรื่น เปี่ยมพลังทั่วร่าง กายเนื้อมีกระแสบุญหล่อเลี้ยง ชีวิตธาตุขันธ์ของข้าพเจ้ามีกระแสบุญหล่อเลี้ยง มีกำลังฌานสมาบัติ กระแสพลังแห่งความเป็นทิพย์หล่อเลี้ยงไหลเวียนทั่วกาย กระแสบุญส่งผล ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นบุคคลที่มีสุขอนามัยสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง มีความคล่องตัว มีความสุข มีความผ่องใส มีวรรณะที่ผ่องใสมีประกายความสุขสว่าง กระแสบุญแผ่กระจายออกทางใบหน้า ความเป็นผู้มีบุญจงปรากฏ ขอบุญจงรักษา ขอบุญจงรักษา ขอบุญจงคุ้มครอง
จากน้อมกระแสบุญจากพระนิพพาน อาราธนาลงมาคลุมประเทศไทยทั้งหมดให้รอดพ้นปลอดภัยมีชัยชนะต่อศึกสงคราม ต่ออริราชศัตรูทั้งภายนอกและอริราชศัตรูทั้งภายในประเทศ จากบุคคลที่คิดร้ายทำลายประเทศชาติจากภายใน จากบุคคลที่คิดร้ายทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ จากบุคคลที่คิดร้ายทำลายพระพุทธศาสนา จากบุคคลที่คิดร้ายทำลายความสามัคคีของประชาชน ขอบุญกุศลครอบคลุมคุ้มครองเขตพระพุทธศาสนาทั้งหลาย พุทธอาณาจักรทั้งหลาย ขอจงมีแต่กระแสพุทธานุภาพ กระแสแห่งสัมมาทิฐิคุ้มครองรักษา น้อมนำกระแสจากพระนิพพานกระแสบุญกระแสกุศลจากการเจริญพระกรรมฐานและทานศีลภาวนาทั้งปวง น้อมคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินี พระบรมวงศานุวงศ์ทุกๆพระองค์ บุคคลที่ทำคุณประโยชน์ความดีต่อชาติบ้านเมือง ดวงพระวิญญาณกระแสแห่งพระสยามเทวาธิราช พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระหลักเมือง พระกาฬชัยศรี เจ้าพ่อหอกลอง เทพยดาที่พิทักษ์รักษาชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ ดวงพระวิญญาณแห่งบูรพระมหากษัตริย์เจ้าทุกๆพระองค์ทุกราชวงศ์ ดวงวิญญาณแห่งบรรพบุรุษไทยที่ปกปักรักษาคุ้มครองบ้านเมือง ขอจงมีกำลัง ขอจงมีบุญฤทธิ์ ขอจงมีเทพฤทธิ์อิทธิฤทธิ์พรหมฤทธิ์เต็มกำลัง
จากนั้นก็ให้เรากำหนดจิต โมทนาสาธุกับเพื่อนกัลยาณมิตรทุกคน ที่เจริญพระกรรมฐานร่วมกันและมาฝึกมาปฏิบัติในภายหลัง จากนั้นหายใจเข้าช้าๆลึกๆ 3 ครั้ง พุทโธ ครั้งที่2ธัมโม ครั้งที่3สังโฆ
ขอคุณพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์คุ้มครองรักษาเรา
สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน มีเรื่องที่จะชี้แจง2-3เรื่อง
เรื่องแรกก็คือสำหรับงานสมโภชพระเจ้าองค์แสนดวงจิตพระนิพพาน ซึ่งจะจัดมีงานต่อเนื่องตั้งแต่วันที่16-17จนกระทั่งถึงเช้าวันที่18 ถ้าบุคคลท่านใดจะเดินทางก็รีบที่จะประสานงานหรือวางแผนให้สำเร็จเสร็จสิ้นให้เป็นที่เรียบร้อย การจองตั๋วการวางแผนเดินทางในระยะกระชั้นชิด มันจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นหรือทำให้คนที่ช่วยประสานงานนั้นเขามีความลำบากขึ้น ดังนั้นจะจัดการอะไรก็รีบตัดสินใจให้เร็วอันนี้คือเรื่องที่1
ส่วนเรื่องที่2ก็คือกิจกรรมที่เราได้มีการจัดสวดพระคาถาเงินล้านแสนจบอารมณ์พระนิพพาน ซึ่งก็มีผู้ร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมากเริ่มตั้งแต่วันอังคารที่ผ่านมา เวลาผ่านไปยังไม่ถึงสัปดาห์เต็มดี ก็ปรากฏว่าครบหมื่นจบเกินแสนจบ เราก็ปฏิบัติเราก็สวดไปเรื่อยๆ ซึ่งการปฏิบัติตรงจุดนี้หรือกิจกรรมที่จัดนี้ ขอทำความเข้าใจเพิ่มเติม
ข้อที่1คือการที่ร่วมกิจกรรมไม่จำเป็นว่าเราจะต้องสวดคนเดียวแสนจน แต่เรารวมตัวกันสวดเพื่อเป็นอภิจิตเพื่อเป็นกำลังบุญใหญ่เป็นกำลังบุญรวม กำลังบุญรวมก็คือเมื่อเราสวดอาจจะได้ไม่มาก แต่เราอยู่ในกระแสพลังงานรวม เขาสวดกันจนถึงแสนจบ ผลอานิสงส์กำลังบุญเราก็ได้ตามไปด้วย และอีกอย่างหนึ่งการปฏิบัติในการสวดพระคาถาเงินล้านในกิจกรรมดังกล่าวมีความพิเศษคือ เราทั้งหลายเราได้กำลังมโนมยิทธิ เรามีความเป็นทิพย์เราใช้กายทิพย์ได้ ดังนั้นเวลาสวดเราก็ทรงอารมณ์ให้ผ่องใสที่สุด คือใช้ฌานสมาบัติเต็มกำลัง เห็นจิตประภัสสรที่สุดก่อนแล้วก็ยกจิตอทิสมานกายไปสวดบนพระนิพพาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขออนุญาตยกตัวอย่างอย่างอาจารย์เองก็ตั้งจิตว่าเราสวดถวายเบื้องหน้าสมเด็จองค์ปฐมพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พระปัจเจกพระพุทธเจ้าองค์เจ้าของคาถา องค์หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค หลวงพ่อฤาษี พระราชพรหมยาน หลักๆเวลาขึ้นมาบนพระนิพพานก็ตั้งจิต อาราธนาขอท่านทั้งห้านี้ แล้วเราสวดถวาย
การสวดนั้นสิ่งสำคัญอยู่ที่ความสม่ำเสมอแล้วก็สัจจะกลายเป็นอธิษฐานบารมีสัจจะบารมี เป็นการเร่งบารมีให้เต็มเร็วขึ้นเร่งอภิญญาสมาบัติให้รวมตัวเร็วขึ้น รวมทั้งเป็นมหาลาภ ดังนั้นให้เราตั้งใจตั้งสัจจะก่อน ถ้ากำลังใจเราไม่เข้มแข็ง เราก็ตั้งสัจจะว่าจะสวดทุกวันแล้วก็บันทึกผลรวมยอดทุกวัน เอาวันละ3จบ 9จบ ขึ้นอยู่กับกำลังใจ แต่พยายามทำให้ได้ทุกวัน เมื่อไรเราได้กำลังใจเรารู้สึกว่าเข้มแข็งขึ้น อันที่จริงเวลาสวดให้สวดเบาๆช้าๆสบายๆจนเกิดอารมณ์เพลินอารมณ์เบาอารมณ์เพลินซึ่งมันคืออารมณ์ความเป็นทิพย์ เวลากำหนดยอดสวดแบบนี้ พยายามอย่าสวดเร่งสวดยิกสวดให้มันเร็วๆเร่งๆจะเอาจำนวน อันนี้ถือว่ายังไม่มีคุณภาพ เราเน้นสวดสบายๆผ่องใสจิตอยู่บนพระนิพพาน เน้นคุณภาพของจิตเป็นสำคัญ พอ9จบได้ เราก็ลองเพิ่มเป็น16จบ32จบไล่ไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึง108จบ ถ้าทำได้ก็เป็นกำลังใจของเรา แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่ความสม่ำเสมอ ขั้นต่ำ3จบก็3จบ แล้วเวลาฝึกหรือปฏิบัติร่วมกิจกรรมแบบนี้ พยายามให้เราขยันโกงตัวเอง คำว่าโกงตัวเองคือไม่ใช่สวดแค่9เราบอก12อย่างนี้ถือว่าโกงแบบละเมิดศีล แต่โกงตัวเองก็คือเราสวด เราตั้งใจจะสวดเก้าแต่เราขอแถม คือไม่เป็นไร สวด9 เราตั้งใจว่าสวด9 เราสวดเลยไปซะ16 แล้วก็บันทึกว่า16 อันนี้ก็ถือว่ากำลังใจเรามากกว่าที่เราตั้งใจไว้ อันนี้ก็คือเมื่อไรที่เราทำแบบนี้เสมอๆ มันจะกลายเป็นว่าเราทำได้ มีกำลังใจสูงกว่า เราตั้งเป้าเท่าไรเราทะลุเป้าสูงกว่าเป้าเสมอ แล้วเวลาผลที่มันเกิดขึ้น เวลาลาภจะมามันก็จะกลายเป็นลาภนั้นมามากกว่าการที่เราตั้งใจไว้เสมอเหมือนกัน มันก็จะเกิดผลเกิดอานิสงส์เช่นนี้ แล้วก็อีกอย่างที่จะเสริมก็คือ ครูบาอาจารย์ที่ท่านสวดท่านก็บอกเล่าให้ฟัง คือหลวงพ่อเล็กหลวงพี่เล็กวัดท่าขนุน ท่านก็บอกว่า ถ้าสวดแค่ประจำวันละเก้าจบนี้เป็นเพียงแค่เบี้ยต่อไส้ เบี้ยต่อไส้ก็คือยังถือว่าไม่มาก ยังถือว่าไม่อด ยังถือว่าประคับประคอง สามสิบจบนี้ถือว่าความคล่องตัวเริ่มเพิ่มขึ้น แต่ถ้าเมื่อไรสวดได้สม่ำเสมอทุกวัน หนึ่งร้อยแปดจบทุกวัน อันนี้ถือว่าเป็นมหาลาภ ญาณสมาบัติจะเริ่มเกิด อภิญญาก็จะเริ่มเกิดแค่นึกคิดก็จะได้สมความปรารถนา แค่นึกก็ได้ หรือเงินที่มันจะเข้ามา ความคล่องตัวที่เข้ามาเป็นหลักแสนหลักล้านก็จะเริ่มปรากฏ อันนี้ประสบการณ์จากหมู่คณะพวกเราลูกศิษย์ที่ตั้งใจสวดวันละ108จบ ผลก็คือมีมหาลาภ ถูกลอตเตอรี่ครั้งละ28ใบบ้าง30ใบบ้าง รับเงินหลักหลายหมื่น รับเงินหลักแสนบ่อยๆ ความคล่องตัวเงินปรากฏ ดังนั้นจุดนี้ก็ให้เราตั้งใจสวด ร่วมกิจกรรมกัน จริงๆคนที่ร่วมกิจกรรมคนที่ตั้งใจสวดเอาจริงเอาจัง ตั้งมั่นสม่ำเสมอ ผลอานิสงส์ใครได้ คนสวดได้ ยิ่งขยันเท่าไรใครได้คนขยันเป็นคนได้ผล และอีกอย่างกุศโลบายในการจัดกิจกรรมนี้ก็เพื่อที่ว่า เป็นอุบายในการฝึกเราเองแต่ละคน เราสวด108จบแต่ละนาทีแต่ละชั่วโมงที่เราสวด เราทรงอยู่บนพระนิพพาน มันก็กลายว่าเราฝึกจิตเรา หาอุบายเราที่ทำยังไงเราจะอยู่บนพระนิพพานนั้นนานๆ อุบายยังไงเราถึงจะขึ้นมาบนพระนิพพานบ่อยๆ ดังนั้นตรงนี้มันก็กลายว่าการปฏิบัติเพื่อมรรคผลพระนิพพานก็ได้ ผลของความคล่องตัวในทางโลกในขณะชีวิตก็ได้ ถ้าเราทำแบบนี้โดยตรงในกุศโลบายที่ตั้งไว้ เข้าใจอย่างแท้จริง เราก็จะเข้าถึงพรที่หลวงพ่อให้ ก็คือรวยชาตินี้จากผลอานิสงส์ของการสวดคาถาเงินล้าน นิพพานชาตินี้จากอานิสงส์ที่ว่าเราทรงจิตอยู่บนพระนิพพานจนแนบ ให้เราคิดซะว่าถ้าตายไปในขณะที่สวด เราสวดอยู่บนพระนิพพานเราก็เข้าพระนิพพานเลย ดังนั้นสิ่งที่ทำ กิจกรรมที่จัดให้ มีแต่ได้ไม่มีเสีย มีแต่ประโยชน์ คนที่ได้ประโยชน์ก็คือเราเอง ดังนั้นก็ให้เราตั้งใจเข้มแข็ง อย่างอ่อนที่สุดก็อย่างน้อยวันละ3จบ ซึ่งอันที่จริง9จบนี้มันเป็นเรื่องที่ไม่ยาก สบายๆ ขอให้เราร่วมกิจกรรมกันมากๆ แล้วก็การเข้าไปร่วมในกิจกรรมก็ไปดูที่เพจของอาจารย์ เพจส่วนตัวของอาจารย์ อาจารย์ปักหมุดไว้ให้แล้วก็มีลิงค์ที่เราสามารถเข้าได้เลย เข้าไปก็สามารถดูได้ว่าแต่ละคนที่ร่วมกิจกรรมเขาสวดกันคนละเท่าไร สวดกี่ครั้ง ยอดรวมเท่าไรแล้ว เราก็สามารถดูได้ เพื่อนเขาสวดเท่าไร เราสวดเท่าไร เราก็ประเมินเราก็ประมาณดูได้ รวมถึงมีบุคคลที่เค้าสวดได้จำนวนมากๆ ก็มีรางวัลให้ ซึ่งไม่ต้องห่วง อาจารย์ก็ขอสละสิทธิ์ ถ้าเกิดคนอื่นเค้ายังแซงอาจารย์ไม่ได้ก็อาจารย์สละสิทธิ์ให้คนที่เค้าอันดับ2 แต่ถ้ามีแซงได้ก็ดีไม่เป็นไรไม่ว่าอะไร สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน ขอให้เราทุกคนพิจารณาว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์ต่อเรา เราน้อมไปปฏิบัติ เราตั้งใจปฏิบัติ แล้วก็พบกันใหม่ในช่วงสัปดาห์หน้า ขอให้เราทุกคนมีความสุขมีความเจริญ ได้รับผลอานิสงส์แห่งการปฏิบัติโดยถ้วนหน้า มีความคล่องตัวทุกอย่างทุกประการ
สำหรับวันนี้สวัสดี
ถอดเสียงและเรียบเรียง โดย คุณวิลาวัลย์ วลีเดช





