green and brown plant on water

เมตตาสมาธิเพื่อเป็นกำลังบุญให้ส่วนรวม

เวลาอ่าน : 3 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”

 วันเสาร์ที่ 10 พฤษภาคม 2568

เรื่อง เมตตาสมาธิเพื่อเป็นกำลังบุญให้ส่วนรวม

โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค

กำหนดสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม กำหนดรู้ทั่วร่างกายตั้งแต่ศีรษะไปถึงปลายเท้า กำหนดรู้ในกายตั้งแต่ปลายเท้าไปจนถึงศีรษะ แขนขาทุกส่วนกำหนดรู้ กำหนดรู้มีสติรู้ในกาย

จากนั้นผ่อนคลายทั่วร่างกายทุกส่วน ผ่อนคลายปล่อยวางกาย ผ่อนคลายแขนขากล้ามเนื้อทั่วร่างกายทุกส่วนให้หมด ตัดผัสสะ ความรู้สึกที่ผูกโยงกับกาย สติกำหนดรู้กายเพื่อตัดกาย ตัดขันธ์ 5 ร่างกาย ตัดความรู้สึกที่ผูกพันเชื่อมโยงรู้สึกเป็นเจ้าของ ผ่อนคลายปล่อยวางให้ถึงที่สุด วางกายเพื่อแยกกายแยกจิต ปล่อยวางและกำหนดรู้อยู่กับความสงบ

จากการที่เราสงบระงับจากความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้ากายสังขารทั้งปวง จิตยิ่งสงบยิ่งวาง อารมณ์จิตยิ่งเบา

เมื่อปล่อยวางร่างกายแล้ว จิตสงบเบาสบาย เราก็มากำหนดรู้ใช้สติรู้ในลมหายใจสบาย จินตภาพเห็นลมหายใจเป็นเหมือนกับแพรวไหมพลิ้วผ่านเข้าออก กำหนดรู้ในลมหายใจตลอดทั้งสายทั้งกองลมนั้น ลมหายใจยิ่งเบายิ่งละเอียด จิตเรายิ่งสงบ อารมณ์จิตเรายิ่งสบาย

กำหนดรู้อยู่กับลมหายใจสบาย ทรงอารมณ์ทรงสภาวะที่เราทรงไว้ในอานาปานสติ อารมณ์ใจที่เข้าถึงลมสบาย อารมณ์จิตที่เบาสบาย ความสบายของจิตความสงบร่มเย็นของจิต เมื่อทรงอารมณ์ให้มีความตั้งมั่นทอดนาน อารมณ์จิตอารมณ์สมาธิ เริ่มเป็นวสีมีความทรงตัว เราก็ยกจิตเดินจิตให้สูงขึ้น จากลมสบายก็กำหนดหยุดจิต นิ่งหยุดเป็นเอกัคคตารมณ์ หยุดจิต หยุดการปรุงแต่ง หยุดความคิด หยุดเป็นตัวสำเร็จ นิ่งหยุดสงบ

จากนั้นเดินจิตต่อ จากเอกัคคตารมณ์ฌานสี่ในอานาปานสติ ขึ้นสู่การฝึกการปฏิบัติสมถะในกสิณ กำหนดภาพจากจุดให้กลายเป็นเส้น เส้นกลม 2 มิติจากเส้นกลม 2 มิติ กำหนดน้อมนึกภาพให้กลายเป็นทรงกลม กลายเป็นดวงแก้ว จากดวงแก้ว กำหนดให้เห็นเป็นดวงแก้วสว่างใส จากดวงแก้วสว่างใส กำหนดน้อมนึกให้กลายเป็นเพชรลูกเจียรนัยระยิบระยับ เมื่อกำหนดภาพนิมิตเป็นปฏิภาคนิมิตได้ ก็กำหนดเชื่อมโยงระหว่างจิตของเรากับภาพนิมิตของกสิณ จิตคือกสิณ กสิณคือจิต จิตเรามีความสุขมีความเบิกบานมีความผ่องใสมีความเป็นทิพย์ เชื่อมโยงโดยตรงกับภาพนิมิตของกสิณ จิตเราตอนนี้เป็นเพชรประกายพรึก สว่าง เปล่งรัศมีเส้นแสงออกไปโดยรอบ 360 องศา ทรงอารมณ์ทรงสภาวะของความสุขความอิ่มใจ ทรงอารมณ์ กำหนดรู้ว่าจิตของเราตอนนี้ทรงสภาวะแห่งปฏิภาคนิมิต จิตเราเข้าถึงกำลังสูงสุด  คือจิตอันเป็นประภัสสร จิตผ่องใส จิตเข้าถึงฌาน 4 ในกสิณ จิตเปล่งประกายอย่างที่สุด ทรงสภาวะทรงอารมณ์ทรงภาพนิมิตที่จิตประภัสสรสูงสุดนี้ไว้

กำหนดพิจารณา กำหนดรู้ใคร่ครวญธรรมวิจยะว่า การที่เราทรงอารมณ์ทรงภาพนิมิตที่จิตประภัสสรสว่างสูงสุดนี้ เพื่อให้กำลังจิตของเราทรงตัวในกำลังสมาธิสูงสุด เปล่งประกายที่สุด เป็นกำลังกรรมฐานสูงสุด มีความผ่องใสที่สุด มีความเป็นทิพย์มากที่สุด เป็นกรรมฐานที่เต็มกำลังของเรา

จากนั้นกำหนดความรู้สึกของจิตต่อไปว่า ในขณะที่จิตเราประภัสสรส่องสว่างเป็นเพชรระยิบระยับ รัศมีของจิตของเรา เป็นคลื่นกระแสแห่งเมตตาอันไม่มีประมาณ เป็นคลื่นรัศมีของจิตที่เป็นมุทิตาอย่างไม่มีประมาณ กระแสจิตกระแสแสงสว่างที่แผ่จากจิต มีความยินดี มีความรู้สึก ทั้งเมตตาและมุทิตา คือโมทนาบุญกับทุกกุศลทุกความดีในทุกดวงจิต กระแสเมตตาอันไม่มีประมาณคือ กระแสที่จิตของเราแผ่ความรู้สึกดี แผ่กระแสของบุญกุศล แผ่ความรู้สึกที่เป็นความสุขความเอิบอิ่มใจให้กับดวงจิตอื่น ส่วนกระแสคลื่นรัศมีที่เป็นกระแสแห่งมุทิตาอัปปันนาณฌานคือ โมทนาบุญ สาธุบุญ มหาโมทนาบุญ กับทุกกระแสจิตที่มีความสุข ที่เข้าถึงบุญกุศล ที่เข้าถึงความดี ที่เสวยสุขตามวาระอันเหมาะสมกับภพภูมิของตนนั้น จิตเรามีแต่กระแสแห่งความยินดีด้วย โมทนา ด้วย จิตสลายล้างความหมั่นไส้ความอิจฉาความริษยาทั้งปวง ดฃยจิตมีแต่กระแสความรู้สึกโมทนาบุญเป็นปกติ

ตอนนี้กำหนดใจของเราให้เอิบอิ่มให้แย้มยิ้มเป็นสุขที่สุด ทุกบุญกุศลทั่วจักรวาล ทุกบุญกุศลบนโลกมนุษย์ ทุกบุญกุศลในทั้ง 3 ภพภูมิ กระแสจิตเราแผ่ยังโมทนาสาธุ

จากนั้นกำหนดจิตต่อไป เมื่อจิตของเรามีความผ่องใสมีกำลัง เราตั้งจิตรำลึกนึกถึงสมเด็จองค์ปฐม อาราธนาลงมาสู่จิตของเรา กำลังแห่งพุทธานุภาพอาราธนาลงมา เสด็จมาสถิตอยู่เป็นพุทธนิมิตในจิตของข้าพเจ้า ณ บัดนี้ ในจิตที่เป็นเพชรประกายพรึก ปรากฏองค์ปฐมอยู่กลางจิตกลางใจของเรา ความรู้สึกของจิต มีความนอบน้อมมีความเคารพ ในพระพุทธเจ้าสุดหัวจิตหัวใจ ตระหนักซาบซึ้งน้อมรับกระแสพุทธานุภาพลงมาสู่จิตของเรา

กำหนดดูกำหนดสัมผัสด้วยจิต ถึงความชุ่มเย็น ถึงความสุข ถึงความอิ่มใจ ถึงความรู้สึกที่มั่นคง ที่มีพระพุทธเจ้ามาคุ้มครองรักษา กำหนดทรงอารมณ์นี้ไว้ทรงสภาวะนี้ไว้ ใจผ่องใส องค์พระเมื่อมาสถิตอยู่กลางจิตเรา รัศมีจิตความสว่างของจิต กระแสของเมตตา กระแสของมุทิตา ยิ่งสว่าง ยิ่งไม่มีประมาณ ยิ่งเปี่ยมพลังแห่งพุทธานุภาพอย่างถึงที่สุด ทรงสภาวะทรงอารมณ์จิตนี้ไว้ มีพุทธะในจิต จิตถึงความเป็นพุทธะ คือ คุณธรรมแห่งความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน รู้ในกฎแห่งอนิจจลักษณะ คือ ทุกสรรพสิ่งเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เป็นผู้ตื่นในกุศลในความดี ตื่นจากการดับล้างจากอวิชชาทั้งปวง ตื่นด้วยวิชชาคือมรรคผล เป็นผู้เบิกบานคือจิตเข้าถึงความเอิบอิ่มผ่องใส เบิกบานจากทุกข์ที่คลายตัวลง ทุกข์ที่ดับลง สิ่งที่วางสิ่งที่หนักสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นที่ได้วางแล้ว เราเบาขึ้นเป็นสุขขึ้น จิตจึงเข้าถึงความเบิกบานในธรรมด้วยประการฉะนี้

กำหนดน้อมให้จิตของเราในขณะที่ปรากฏองค์พระอยู่ภายใน เข้าถึงความเบิกบานสูงสุด พระพุทธองค์ทรงเบิกบานอย่างที่สุด จากสภาวะที่สิ้นจากสรรพกิเลสแล้วฉันใด ก็ขอให้ ณ บัดนี้ จิตของข้าพเจ้าทุกดวงที่เจริญพระกรรมฐาน ได้สัมผัสถึงความเบิกบานแห่งจิตอันเป็นพุทธะ แม้จะเพียงน้อยนิดสักประการใด ก็ขอให้จิตข้าพเจ้าเปล่งประกายแห่งความเบิกบานผ่องใสสว่างสูงสุด ด้วยกำลังแห่งพุทธานุภาพ ณ บัดนี้ด้วยเทอญ

กำหนดจิต ให้จิตยิ้มแย้มที่สุด เบิกบานที่สุด ส่องสว่างที่สุด บริสุทธิ์ที่สุด จิตมีความผ่องใสเต็มกำลัง จิตแย้มยิ้มเบิกบานอย่างที่สุด กำหนดรู้ในความเป็นทิพย์ ในยามที่จิตเราเกิดความผ่องใสเบิกบาน จิตเข้าถึงความเป็นทิพย์สูงสุด ขอให้กำหนดรู้ว่า เทวดาพรหมที่ท่านเมตตาเสด็จมาพิทักษ์รักษาจิตของเรา ณ ขณะนี้ มีมากมายเพียงใด เป็นเทวดาพรหมที่ท่านเป็นพระอริยเจ้ามีจำนวนเท่าไหร่ ขอให้ญาณเครื่องรู้อันเป็นทิพย์ของจิต ได้กำหนดรู้เฉพาะตนเป็นปัจจัตตังด้วยเทอญ ขอให้จิตสัมผัสได้ถึงเทวดาพรหมที่เสด็จมาปรากฏรายรอบ รักษากายวาจาใจของข้าพเจ้าในขณะที่เจริญวิปัสสนากรรมฐาน เป็นพุทธบูชาในวันนี้ด้วยเทอญ

เมื่อกำหนดรู้และจิตได้รู้ ว่าแต่ละท่านที่มาเมตตาสงเคราะห์เรา เราก็น้อมจิตกราบขอบพระคุณสำนึกในพระคุณที่ท่านเมตตา ขอให้ท่านเมตตาคุ้มครองช่วยเหลือเราทั้งทางโลกทางธรรม และขอให้เราทุกคนที่ปฏิบัติเจริญพระกรรมฐาน ปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งปวง ปลอดภัยแคล้วคลาดจากภยันอันตรายทั้งปวง ปลอดภัยจากโรคภัยไข้เจ็บโรคระบาดทั้งปวง

จากนั้นกำหนดจิตต่อไป เรายังมีองค์พระอยู่ภายใน กำหนดจิตอธิษฐานอาราธนาบารมี ด้วยกำลังพุทธานุภาพอันไม่มีประมาณเป็นที่สุด ข้าพเจ้าขอยกจิตขึ้นไปบนพระนิพพานอยู่ท่ามกลางมหาสมาคม มีสมเด็จองค์ปฐมทรงเป็นประธานด้วยเทอญ จากนั้นพุ่งจิตขึ้นไปเป็นแสงสว่าง เมื่อปรากฏแล้วก็กำหนดน้อมจิต กราบสมเด็จองค์ปฐม พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุก ๆ พระองค์บนพระนิพพาน อธิษฐานจิตขอกายทิพย์ของข้าพเจ้า จงปรากฏในสภาวะแห่งกายพระวิสุทธิเทพ มีความสว่างมีความผ่องใส กราบพร้อมกับน้อมจิตพิจารณาว่าการปฏิบัติธรรมของข้าพเจ้า ตั้งกำลังใจเป็นพุทธบูชาธรรมบูชาสังฆบูชา การเจริญพระกรรมฐาน การปฏิบัติธรรมของข้าพเจ้า เป็นไปเพื่อมรรคผลพระนิพพาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขอให้ข้าพเจ้าได้เข้าถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเทอญ

จากนั้นกำหนดจิต ทบทวนตัดสังโยชน์ทั้ง 10 ประการ  พิจารณาตัดภพจบชาติทั้งหลาย เริ่มตั้งแต่สังโยชน์ทั้ง 10

สักกายทิฏฐิ เราตัดกายทิ้งกายตัดขันธ์ 5 เรารู้ว่าเรามีความตายในที่สุด  จิตเราคลายตัวจากความยึดมั่นถือมั่น ความห่วงใยในกายในโลกในบุคคลทั้งหลายบนโลก เราตัดสักกายทิฐิให้มันเบาให้มันคลายไป

วิจิกิจฉาความลังเลสงสัยในคุณพระรัตนตรัย จิตที่ยังมีความเป็นมิจฉาทิฐิ เราสลายออกไปจากจิตจากใจของเรา เรามีความเคารพความศรัทธาในพระพุทธเจ้าพระธรรมพระอริยสงฆ์สุดหัวจิตหัวใจ เคารพพระสุปฏิปันโน ความลังเลสงสัยว่ากฎของกรรมมีจริงไม่มีจริงไม่มีในจิตเรา เรายกจิตขึ้นมาบนพระนิพพานได้ แสดงว่าเราเชื่อในเรื่องของภพภูมิทั้งหลายการเวียนว่ายตายเกิด เชื่อว่ามรรคผลพระนิพพานมีจริง ดังนั้นวิจิกิจฉาของข้าพเจ้าคลายตัวสลายตัวไป

สีลัพพตปรามาส ในขณะที่ข้าพเจ้าปฏิบัติธรรมอยู่ขณะนี้ ศีล 5 ของข้าพเจ้าบริสุทธิ์ ศีล 8 ของข้าพเจ้าบริสุทธิ์ ข้าพเจ้าไม่ได้ละเมิดศีลด้วยตัวเอง ไม่ยินดีเมื่อผู้อื่นละเมิดศีล และก็ไม่ได้ใช้ให้ผู้อื่นไปละเมิดศีล ศีลของข้าพเจ้าบริสุทธิ์ และเป็นศีลที่ประกอบไปด้วยเมตตาพรหมวิหาร 4 เป็นศีลของพระอริยเจ้า เป็นศีลที่เกิดจากจิตที่ปราศจากการเบียดเบียน จิตข้าพเจ้าสลายสีลัพพตปรามาสนี้ให้คลายให้ขาดลง

ต่อไปก็พิจารณาว่ากามฉันทะทั้ง 5 ความสุขในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส อันเนื่องด้วยกาย ที่เป็นกายเนื้อก็ดี อันเนื่องด้วยความเป็นทิพย์ก็ดี จิตเราไม่ปรารถนาอีกต่อไป ตายจากร่างกายนี้แล้ว ความสุขแบบโลก ความสุขทางกาย ทางผัสสะทั้งห้า เราก็ไม่มีความอาลัยอีกต่อไป กามทั้งหลายได้จางได้จืดออกไปจากจิตของข้าพเจ้า

ต่อมาก็พิจารณาว่า ความพยาบาท จิตคลายตัวจากความพยาบาท ตั้งแต่เราเจริญเมตตาอัปปันนาณฌาน ตั้งแต่เราตั้งจิตว่าเราอโหสิกรรม เราไม่เป็นเจ้ากรรมนายเวรของผู้หนึ่งผู้ใด คือตัดความพยาบาท ให้มหาอภัยทาน คือให้อภัยต่อทุกดวงจิตที่เคยล่วงเกินเรา เคยเบียดเบียนเรามา ทุกชาติภพตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ความพยาบาทดับลงไปจากจิตของเรา

ต่อมาก็พิจารณาว่า รูปราคะคือความพึงพอใจในฌานสมาบัติ ความพึงพอใจในภพแห่งพรหม ถ้าเราปรารถนาพระนิพพาน ความหลงความยึดติดในอารมณ์แห่งฌานสมาบัติ หรือจิตที่ยังอยากเกิดอยากจุติเป็นพรหมอยู่ก็ไม่มีในจิตของเรา

พิจารณาตัดสังโยชน์ข้อต่อไป อรูปราคะ อรูปราคะก็คือจิตยังมีความติดมีความหลงมีความสำคัญผิด ติดก็คือจิตยังมีความเพลิดเพลินอยู่กับอารมณ์ของอรูป คืออารมณ์ที่ว่าง อารมณ์จิตที่ว่าง ไร้รูปไร้ขอบเขตไม่มีผนังไม่มีพื้นไม่มีเพดาน  และก็เป็นอารมณ์ที่บางครั้งบางบุคคลมีความเข้าใจว่านิพพานเป็นความว่าง พิจารณาทำความเข้าใจว่า มหาสุญญตาก็ดี สุญญตาก็ดี ความว่างเป็นพระนิพพาน แต่ที่จริงเป็นเพียงอรูป มหาสุญญตาในมรรคผลที่แท้จริงก็คือ จิตว่างจากความโลภความโกรธความหลง จิตดับจากสรรพกิเลสทั้งปวง เชื้อของการเกิดมันสลายว่างไม่เหลือเชื้อแห่งการเกิด จึงเข้าถึงมรรคผลพระนิพพาน

ต่อไปก็พิจารณาต่อ ว่าดับความวุ่นวายดับความฟุ้งซ่านทั้งหลาย ดับมานะความถือตัวถือตน มานะนี้เป็นทั้งสิ่งที่เราถือตัวว่าเราดีกว่าผู้อื่น และในขณะเดียวกันมานะก็หมายความว่า เราน้อยอกน้อยใจ เช่นน้อยใจว่าตัวเองไม่มีบุญเรานิพพานไม่ได้ เราเข้าพระนิพพานไม่ได้ บารมีเราอย่างน้อยบารมีเรายังไม่เต็ม อันนี้ก็ถือว่าเป็นมานะ ดังนั้นสิ่งสำคัญก็คือ เราตัด จำไว้ว่าหลวงพ่อสอน ถ้าเราปฏิบัติเจริญพระกรรมฐาน จริงๆก็ถือว่าบารมีเราสูงมาก ยิ่งปฏิบัติโดยตั้งเจตนารมณ์เพื่อมรรคผลพระนิพพาน นั่นแปลว่าบารมีเราเต็ม เพราะคนที่บารมีไม่เต็มไม่มีทางเห็นคุณค่าแห่งพระนิพพาน จะไม่ได้มีจิตที่ปรารถนาในพระนิพพาน เมื่อไหร่ก็ตามบุคคลนั้นเห็นค่าคือเห็นทุกข์ในสังสารวัฏ เห็นค่าจึงปรารถนาพระนิพพาน อันที่จริงเฉพาะอารมณ์จิตนี้ก็ถือว่าได้ดวงตาเห็นธรรม คือเห็นทุกข์โทษภัยในสังสารวัฏ จิตจึงตื่น ว่าเราหลงเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ เราหาหนทางออกจากสังสารวัฏ ในขณะที่บุคคลที่เขายังหลับใหล ก็คือหลงอยู่เพลิดเพลินอยู่ ยังมัวเมาอยู่ในสังสารวัฏนี้ ดังนั้นการที่เรามีบารมีเต็ม เราเข้าใจเราปรารถนาพระนิพพาน อารมณ์จิตตรงนี้ก็ถือว่าเราตัดอวิชชาคือความโง่ ความโง่ที่ทำให้เราหลงมาเกิด ความโง่ที่ทำให้เราอยากไปเป็นเทวดาไปเป็นพรหม ความโง่ที่ทำให้เราเที่ยวอาฆาตแค้นพยาบาทจองเวรตามไปพบไปเจอกับบุคคลนั้นบุคคลนี้จิตดวงนั้นดวงนี้ เมื่อตัดอวิชชาคือสังโยชน์ข้อที่ 10 เพียงจุดเดียว จิตก็เข้าถึงอารมณ์แห่งมรรคผลพระนิพพาน

ตอนนี้ก็ให้เราพิจารณาในสภาวะที่เราเป็นกายพระวิสุทธิเทพอยู่บนพระนิพพาน สังโยชน์ทั้ง 10 ประการ เราได้พิจารณาใคร่ครวญ เราได้พิจารณาขัดเกลา พิจารณาตัด พิจารณาสลาย ให้มันเบาบาง ให้มันคลายตัวลง ให้มันดับลง กำหนดจิตอยู่บนพระนิพพาน ว่าใจเรามีธรรมฉันทะในพระนิพพานไหม ใจเรามีความยินดีอยู่กับพระนิพพานไหม ใจเรามีนิพพิทาญาณความเบื่อหน่ายในความวุ่นวายของโลก ในการเบียดเบียนกันบนโลก ในทุกกฎของกรรมทั้งหลายที่เรายังต้องประสบพบเจออีกมากมาย จิตเราเบื่อหน่ายในโลกในสังสารวัฏแค่ไหน จิตเรายินดีเราพึงพอใจในนิพพานแค่ไหน

กำหนดจิตทรงอารมณ์อยู่บนพระนิพพานให้สว่างที่สุด พิจารณาในสภาวะ จิตบนพระนิพพานที่เห็นอารมณ์ที่เต็มไปด้วยกิเลส อารมณ์จิตที่โลภกอบโกยเอารัดเอาเปรียบ คอรัปชั่น ทำลายล้างสิ่งที่เป็นประโยชน์กับส่วนรวมให้กับตนเอง อารมณ์จิตที่มีความเกลียดชังอาฆาตพยาบาทจองเวร อารมณ์จิตที่มีแต่อกุศลจิต คิดร้ายคิดคดคิดริษยา อารมณ์จิตที่เกาะยึดหึงหวง อารมณ์จิตที่เศร้าหมองน้อยอกน้อยใจ จมในอารมณ์ที่คิดว่าตนเองไม่มีค่า อารมณ์จิตทั้งหลาย ก่อให้เกิดความเศร้าหมองของจิต ตราบที่ยังเกิดเป็นมนุษย์ก็ดี ตราบที่ยังเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏก็ดี เราก็ยังต้องพบเจอกับอารมณ์เช่นนี้อยู่ ต้องถูกกระทบต้องถูกเบียดเบียนจากอารมณ์จิตเช่นนี้อยู่ ถ้าอยู่บนพระนิพพาน จิตทุกดวงของทุกท่าน คือพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกองค์ พระอรหันต์ขีณาสพ ล้วนแล้วแต่เป็นเสขบุคคลผู้สิ้นแล้วซึ่งอาสวะกิเลส สิ้นแล้วจากอกุศลจิตทั้งปวง สิ้นแล้วจากความโลภโกรธหลงความโกรธเกลียดความพยาบาทจองเวรทั้งหลาย ดังนั้นภพเห็นพระนิพพานจึงเป็นภพเดียวที่ปราศจากอารมณ์กระทบที่เป็นอกุศลที่ยังความเศร้าหมอง มีแต่ความผ่องใส มีแต่กระแสแห่งกุศลที่เต็มพร้อมอยู่ กำหนดจิตของเราให้ยินดีและพึงพอใจกับพระนิพพาน

จากนั้นกำหนดจิตอธิษฐาน ขอพิจารณาดู ดูวาระกรรมกฎของกรรมเจ้ากรรมนายเวร พิจารณาดูว่าถ้าเรายังเกิดต่อ เราไม่ไปพระนิพพาน เรายังมีกรรมที่รอคิวอยู่มากน้อยเพียงใด มีเจ้ากรรมนายเวรเขารอทวงอยู่มากเพียงใด มีกรรมที่เรายังไม่ได้ใช้และเป็นวาระเป็นวิบากที่ต้องใช้มากมายเพียงใด ดูทั้งในส่วนที่เป็นอกุศล แล้วก็ดูทั้งส่วนที่เป็นกุศล ดูในส่วนที่เป็นอกุศลเพื่อให้จิตยิ่งมีความรู้สึกว่าเราจำเป็นที่จะต้องไปพระนิพพาน ความทุกข์ในสังสารวัฏยังอีกมากมายมหาศาล กรรมและกฎของกรรมที่รออยู่ยังมีมากมายมหาศาล กำหนดจิตพิจารณาเป็นปัจจัตตังของเรา ทรงอารมณ์อยู่บนพระนิพพานไว้ พิจารณาดูด้วยจิตอันเป็นอุเบกขา ไม่สะดุ้งไม่เศร้าหมองไม่ตกใจไม่หวั่นไหว พิจารณาดูกรรมของเราวิบากของเราเหมือนเป็นเรื่องของบุคคลอื่น พิจารณาดูด้วยจิตสบายๆเป็นธรรมดา กำหนดพิจารณาเป็นปัจจัตตังของแต่ละบุคคลของเราเอง ไม่ต้องไปดูไม่ต้องไปห่วงไม่ต้องไปยุ่งกับบุคคลอื่น ดูเพื่อละดูเพื่อดับดูเพื่อตัดภพจบชาติ กรรมฐานอภิญญาของเรา ก็จะเป็นไปเพื่อมรรคผลพระนิพพาน จิตตัดกิเลสดับกิเลสได้แม้เพียงชั่วครู่เดียว ก็ก่อเกิดบุญกุศลมากมายยิ่งใหญ่ อันที่จริงการที่เราแต่ละบุคคลยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพานได้เพียงแค่อึดใจเดียวหรือเสี้ยววินาทีเดียว ก็เป็นบุญกุศลสูงส่งมากมาย มากกว่าการที่เราปฏิบัติพระกรรมฐานกองอื่นๆ เพราะการที่เรายกจิตขึ้นมาบนพระนิพพานได้ ก็คือการที่เราปฏิบัติตรงสู่มรรคผลพระนิพพาน จิตชินอยู่กับพระนิพพานมากเท่าไหร่ จิตก็ยิ่งเพิ่มโอกาส เพิ่มความเคยชิน เพิ่มการสะสมเพาะบ่มบารมี ที่จะทำให้ตัวเราจิตเราสามารถเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้ในชาตินี้

กำหนดรู้ กำหนดพิจารณา กำหนดเข้าใจในเหตุในปัจจัย กำหนดด้วยปัญญาเข้าใจในการปฏิบัติว่าเราปฏิบัติแต่ละจุด ปฏิบัติทำไมเกิดผลอย่างไร แล้วก็กำหนดรู้การที่เรามาปฏิบัติได้ถึงจุดนี้ขั้นนี้ ยินดีในธรรมเช่นนี้ ยินดีในพระนิพพานเช่นนี้ มีความมั่นคงในพระรัตนตรัยเช่นนี้ เรามีบารมีเต็มที่จะสามารถเข้าพระนิพพานชาตินี้ได้อย่างแน่นอน อยู่ที่จิตของเราตัดสินใจอย่างไร มีกำลังใจอย่างไร มีความมั่นคงเด็ดเดี่ยวอย่างไร ตถาคตเป็นเพียงผู้บอก แต่จิตที่ตัดสินใจไปพระนิพพานก็คือจิตของผู้ปฏิบัติจิตดวงนั้น ตั้งกำลังใจขอบารมีสมเด็จองค์ปฐมบารมีพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ขอบารมีหลวงพ่อ ขอให้เห็นดวงจิตทั้งหลายของมนุษย์ ที่มืดบอดอยู่ ไม่เห็นคุณค่าของการฝึกจิตปฏิบัติธรรม ว่ามีมากมายเพียงใด พิจารณาด้วยอุเบกขารมณ์ เห็นความวุ่นวาย เห็นความทุกข์ เห็นการเบียดเบียน เห็นการยื้อแย่ง เห็นความวุ่นวาย โดยที่อารมณ์จิตที่เราพิจารณานั้นเป็นจิตที่พ้นจากโลก คือโลกอุดรพ้นจากโลกสูงจากโลก ไม่ได้อยู่ไม่ได้ไหลไปกับกระแสของโลก กระแสของโลกเบียดเบียนกันเอารัดเอาเปรียบกัน แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นทำสงคราม ประทุษร้ายคิดคดโกงหักหลัง กระแสโลก เราอยู่ในกระแสมรรคผลพระนิพพาน เราพ้นจากกระแสของโลก และก็พิจารณาว่าเมื่อเราเห็นกระแสจิตของมนุษย์มากมายมหาศาลเป็นแบบนี้ เห็นความมืดบอดเห็นความทุกข์เช่นนี้ เห็นการเบียดเบียนกันเช่นนี้ เรายังอยากกลับไปเวียนว่ายตายเกิดอีกหรือ เมื่อพิจารณาพ้นจากโลก เราก็จะไม่คิดแบบคนที่หนาแน่นด้วยกิเลส พิจารณาให้ปัญญามันเกิด ให้จิตของเราเกิดนิพพิทาญาณ ความเบื่อหน่ายในสังสารวัฏ เบื่อหน่ายในความวุ่นวาย เบื่อหน่ายในกระแสกรรม

เมื่อจิตคลายจากความยึดมั่นถือมั่นความหลงความติดในสังสารวัฏในโลก เราก็ทรงอารมณ์ใจว่า ให้จิตเรานี้มีความยินดีในพระนิพพาน มีความนอบน้อมสำนึกในพระคุณแห่งพระรัตนตรัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระพุทธองค์ อารมณ์จิตยิ่งสำนึกในคุณแห่งครูบาอาจารย์พระอริยสงฆ์พระอริยเจ้า ที่เมตตาถ่ายทอดธรรมะอันลึกซึ้งอันละเอียด จนกระทั่งมาถึงเราทุกวันนี้ จนเราได้ลิ้มรสการปฏิบัติธรรม ลิ้มรสความสงบเย็น ลิ้มรสการปล่อยวาง จิตเราเป็นสุขขึ้นคลายจากความทุกข์ขึ้น ดับความพยาบาทจองเวร  จิตเข้าถึงความสุขในธรรมความผ่องใสของจิต ทรงอารมณ์ที่ผ่องใสสว่าง กำหนดจิตในสภาวะแห่งกายพระวิสุทธิเทพให้สว่างที่สุด กำหนดจิตว่าเราตายเมื่อไหร่เราขออยู่บนพระนิพพานนี้ จิตผ่องใสสว่าง จิตยินดีกับพระนิพพานจิต ณ ขณะนี้เป็นจิตแห่งอรหัตผล จิตขณะนี้ปราศจากอาสวะกิเลสทั้งปวง กายพระนิพพานสว่าง กำหนดน้อมนึกพิจารณาว่าบุญกุศลทั้งหลาย ทานศีลภาวนาที่ข้าพเจ้าได้กระทำบำเพ็ญ ถวายสังฆทาน ถวายมหาสังฆทานสร้างพระพุทธรูป สร้างบุญกุศล เจริญสมถะวิปัสสนากรรมฐาน ศีลที่รักษา เนกขัมมะที่ไปถือบวช ตั้งแต่อดีตชาติปฐมชาติจนมาถึงปัจจุบัน และตราบที่ข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่ในร่างกายอัตภาพนี้ ก็ยังจะสร้างบุญกุศลเป็นผู้สะสม สร้างแต่บุญกุศลสืบต่อไป ตลอดชีวิตตลอดไปจนถึงพระนิพพาน ก็ขอให้ทานศีลภาวนาความดีกุศลมหากุศลทั้งหลาย จงรวมตัวเป็นปัจจัย น้อมถวายเป็นพุทธบูชาธรรมบูชาสังฆบูชา เป็นไปเพื่อให้ข้าพเจ้าได้ถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเทอญ อารมณ์จิตผ่องใสอารมณ์จิตตั้งมั่นอารมณ์จิตมั่นคง กายพระวิสุทธิเทพสว่างให้มากที่สุด กำหนดรู้ว่าในยามที่ข้าพเจ้าทุกคนปฏิบัติ กรรมฐานที่ปฏิบัติก็ตั้งจิตเต็มกำลัง เต็มกำลังคือถึงฌานสี่ เต็มกำลังคือถึงจิตอันเป็นประภัสสร จิตอันเป็นปฏิภาคนิมิต อรูปสมาบัติสมาบัติ 8 กรรมฐานสมถะข้าพเจ้าเต็มกำลัง ความเคารพนอบน้อมความศรัทธาในไตรสรณคมน์โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็มีความศรัทธาเต็มกำลัง และสุดท้ายจิตข้าพเจ้าก็มีความปรารถนาในพระนิพพานอย่างสุดหัวจิตหัวใจเต็มกำลังด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุอันถึงพร้อมทั้งสามประการนี้ นับแต่นี้ขอให้อภิญญาสมาบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกำลังแห่งมโนมยิทธิของข้าพเจ้านี้ ในทุกครั้งแห่งการปรากฏอารมณ์พระกรรมฐานในมโนมยิทธิ ขอจงเป็นมโนมยิทธิเต็มกำลังในทุกครั้งทุกวาระ มีความชัดเจนในภาพที่ปรากฏ ในความเป็นทิพย์ที่ปรากฏ มีความถูกต้องตรงตามธรรมะของพระพุทธองค์ กระแสแห่งพุทธานุภาพเชื่อมโยงเต็มกำลังถึงดวงจิตข้าพเจ้า เป็นธรรมแท้เป็นธรรมที่มุ่งเพื่อสิ้นอาสวะกิเลส ธรรมที่เป็นไปเพื่อความหลุดพ้น เป็นไปเพื่อมรรคผลพระนิพพานด้วยเทอญ นับแต่นี้ขอให้จิตข้าพเจ้าเข้าถึงสภาวะแห่งความเป็นทิพย์ได้เต็มกำลังด้วยเทอญ

จากนั้นกราบพระพุทธองค์ กราบสมเด็จองค์ปฐม กราบหลวงพ่อ แล้วก็กำหนดรู้ในจิตว่า ท่านทั้งหลายเมตตาสาธุประสิทธิ์ประสาทให้หรือไม่ กำหนดรู้ของเราเป็นปัจจัตตัง

จากนั้นกำหนดจิตต่อไป บุญกุศลจิตเจตนาที่เราปฏิบัติเพื่อมรรคผล ขอน้อมให้อานิสงส์ พลังกำลังกรรมฐานข้าพเจ้า ยังประโยชน์เป็นไปเพื่อปฏิปทาสาธารณประโยชน์ ขอน้อมอาราธนากระแสบุญจากพระนิพพานด้วยกำลังพุทธานุภาพธรรมานุภาพสังฆานุภาพ แผ่เมตตาลงไปยังอรูปพรหมทุกดวงจิต แผ่เมตตาลงไปยังพรหมโลกทั้ง 16 ชั้น โดยเฉพาะท่านท้าวสหัมบดีพรหมเมตตาเป็นประธาน แผ่เมตตาลงไปยังอากาศเทวดาทั้ง 6 ชั้น ขอพระอินทร์คือท่านปู่ท่านย่าเมตตาเป็นประธาน พรั่งพร้อมด้วยท้าวมหาราชทั้ง 4 แผ่เมตตาต่อไปยังภพของรุกขเทวดาภูมิเทวดาทั่วอนันตจักรวาล แผ่เมตตาต่อไปยังภพภูมิของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายที่มีกายเนื้อขันธ์ 5 กายหยาบ ทั้งในโลกและดวงดาวอื่นทั่วอนันจักรวาล แผ่เมตตาต่อไปยังดวงจิตของโอปปาติกะสัมภเวสี ดวงจิตดวงวิญญาณที่เร่ร่อนหลงในภพในภูมิทั้งในโลกนี้และดาวดวงอื่น มิติที่ทับซ้อนเมืองบังบดลับแลทั้งหลาย ขอให้ได้รับกระแสแห่งบุญข้าพเจ้านี้ แผ่เมตตาต่อไปยังภพของเปรตอสุรกายทั้งหลาย แผ่เมตตาต่อไปยังภพของนรกภูมิทุกขุม จากนั้นอาราธนาบารมีสมเด็จองค์ปฐม ขอเมตตาปรากฏในปางจักรพรรดิเปิดโลก แผ่เมตตาทั้ง 3 ภพภูมิให้เข้าถึงบุญเข้าถึงกุศลให้ถึงความสุขความดีงาม ความอิ่มใจสุขใจทั่วทั้ง 3 ภพ 3 ภูมิทั้งสังสารวัฏนี้ด้วยเทอญ

จากนั้นน้อมกระแสจากพระนิพพานลงมา ปกปักรักษาคุ้มครองโลกมนุษย์ น้อมกระแสบุญทั้งหลายเป็นลำแสงสว่างเห็นโลกสว่างเป็นสีทอง สลายล้างจิตอันคิดเบียดเบียนกันทำลายล้างกัน สลายล้างจิตที่จะก่อให้เกิดสงคราม สลายล้างความวุ่นวาย สลายล้างความโลภโกรธหลง สลายล้างโมหะมานะทิฐิ สลายล้างให้โลกนี้ฟื้นฟูกลับคืนมาสู่ความอุดมสมบูรณ์สันติสุขร่มเย็น กระแสจากพระนิพพานน้อมลงมายังโลกมนุษย์ยังประเทศไทย ขอกระแสบุญกำลังพุทธานุภาพสถิตรักษาตรึงทั้ง 4 ทิศจตุรทิศ ขอผืนแผ่นดินสยามประเทศดินแดนสุวรรณภูมินี้ จงรอดปลอดภัยจากศึกสงครามภัยพิบัติทั้งปวง ขอกำลังบุญกุศลช่วยป้องกันดินแดนแห่งนี้จากอริราชศัตรูทั้งภายนอกและภายใน ขอให้ดินแดนนี้จงรอดพ้นบรรเทาเบาบางคลายจากภัยพิบัติทั้งปวง ทั้งภัยพิบัติทางน้ำภัย พิบัติทางลม ภัยพิบัติทางปฐพีและไฟทั้งปวง

จากนั้นน้อมกระแสจากพระนิพพานลงมา อธิษฐานคุ้มครองในเขตพระพุทธศาสนา ขอกำลังพุทธานุภาพลงมาสถิตรักษายังดวงจิตของพุทธบริษัท 4 ทั้งหลายให้อยู่ในสัมมาทิฐิ ให้ตั้งมั่นในไตรสรณคมน์ ให้มีความเคารพนอบน้อมในพระพุทธเจ้า ขอธรรมที่มีการบิดเบือน ธรรมที่หยาบ ธรรมที่ผิดเพี้ยนไปจากพุทธประสงค์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอธรรมเทียมทั้งหลายจงคลายตัวออกไปสลายออกไป ขอธรรมะอันมุ่งตรงสู่มรรคผลพระนิพพานจงปรากฏจงกระจ่างแจ้งในจิตของพุทธบริษัท 4 ทั้งปวงด้วยเทอญ

จากนั้นอธิษฐานขอกำลังพุทธานุภาพมารักษายังวัดวาอารามทุกแห่ง สถานปฏิบัติธรรมทุกแห่ง บ้านที่เป็นวัตรปฏิบัติของฆราวาสทุกคน ขอกระแสแห่งพระนิพพานลงมาสถิตรักษายังพระธาตุเจดีย์พระบรมธาตุพระบรมสารีริกธาตุพระอัฐิธาตุพระบรมธาตุทั้งหลาย จงมีความศักดิ์สิทธิ์ พระพุทธรูปทุกๆพระองค์ขอจงมีความศักดิ์สิทธิ์ พระเครื่องทุกองค์ ผ้ายันต์ประเจียด ตะกรุด วัตถุมงคลทั้งหลาย ขอจงมีความศักดิ์สิทธิ์แห่งพุทธานุภาพอันไม่มีประมาณ กำลังแห่งพุทธานุภาพขอน้อมลงมาสู่จิตของข้าพเจ้าทุกคนด้วยเทอญ

จากนั้นน้อมกระแสจากพระนิพพานลงมา รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ ขอกระแสบุญทั้งหลายจงสถิตลงมา คุ้มครองรักษาพระนพปฎลเศวตฉัตร พระราชบัลลังก์ พระบรมมหาราชวัง พระตำหนักทุกพระองค์ ตลอดรวมจนถึงขอกระแสบุญทั้งหลายจงส่งผลให้เทวดาพรหมผู้อภิบาลองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมราชินีนาถพระพันปี พระบรมวงศานุวงศ์ทุกๆพระองค์ พระสยามเทวาธิราชพระเสื้อเมืองพระทรงเมืองพระหลักเมืองพระกาฬไชยศรี ตลอดรวมจนถึงบูรพมหากษัตราธิราชเจ้าทุกพระองค์ ขอกำลังบุญจงปรากฏเกิดเป็นอิทธิฤทธิ์เทพฤทธิ์บุญฤทธิ์พรหมฤทธิ์ เทวดาพรหมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ขอจงมีฤทธิ์มีอำนาจมีความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ ปกปักรักษาคุ้มครองชาติศาสนาพระมหากษัตริย์บ้านเมือง ผ่านพ้นวิกฤตการณ์ทั้งหลายทั้งภัยพิบัติ ทั้งศึกสงครามภายนอก ทั้งอริราชศัตรูภายใน โรคภัยไข้เจ็บโรคระบาดทั้งหลาย ภัยพิบัติทั้งหลาย ความแตกแยกในความสามัคคีทั้งหลาย ขอให้ผ่านพ้นไปได้อย่างราบรื่นอัศจรรย์ ดังคำที่ว่ากรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดีฉันใด ก็ขอให้คนดีขึ้นมาปกครองขึ้นมามีอำนาจในแผ่นดินบ้านเมืองฉันนั้นด้วยเช่นกัน ขอกำลังบุญกำลังพุทธานุภาพมาสถิตรักษาคุ้มครองชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ และด้วยจิตเจตจำนงค์ในความกตัญญูต่อชาติบ้านเมือง ความกตัญญูต่อพระพุทธศาสนา ความกตัญญูต่อพ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านผู้มีพระคุณ ก็ขอให้ความสวัสดิมงคลความเจริญรุ่งเรืองทั้งทางโลกทางธรรมจงปรากฏให้เจริญยิ่งในจิตข้าพเจ้าทุกคน ในวาระนี้ในโอกาสแห่งช่วงเข้าสู่เทศกาลวิสาขะในปีนี้ด้วยเทอญ ขอเมตตาเทวดาพรหมผู้เป็นสัมมาทิฐิเมตตาเสด็จมาอวยชัยให้พรประทานพรกับข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอพรหมทั้งหลายมาประสิทธิ์ประสาทสิ่งที่เป็นมงคลกับข้าพเจ้าทั้งหลายด้วยเทอญ

กำหนดจิตในความเป็นทิพย์ กำหนดรู้กำหนดรับสิ่งที่เป็นมงคลสิ่งที่เป็นกุศล กำหนดรู้ว่าเราทุกคนมีเทวดาพรหมคุ้มครองรักษา ในยามคับขันก็ขอให้ท่านเมตตาสงเคราะห์ขอให้ท่านดลใจ ขอให้เราปลอดภัยแคล้วคลาดในยามมีภยันอันตราย ในยามมีโชคมีลาภก็ขอให้ท่านดลใจให้โชคลาภทั้งหลายให้ความคล่องตัวทั้งหลายสมบูรณ์พูลผลเต็มบริบูรณ์เพิ่มพูนทวีคูณด้วยเทอญ

เมื่อรับพรแล้ว ตอนนี้ก็กำหนดจิต กราบลาทุกท่านทุกๆพระองค์ด้วยความเคารพด้วยความนอบน้อม จิตกำหนดน้อมรับบุญกุศลความดีทุกอย่าง เมื่อกราบลาแล้วก็พุ่งจิตกลับลงมาบนโลกมนุษย์ เป็นกระแสแสงสว่าง พุ่งลงมาที่กายเนื้อคลุมกายคลุมบ้านคลุมสถานที่ บ้านเรือนเคหะสถาน กิจการงานทั้งหลายคลุมไว้ มีกำลังบุญคลุมไว้ แล้วก็อธิษฐานจิต ขอกระแสแห่งพระนิพพานฟอกธาตุขันธ์ สลายโรคภัยไข้เจ็บให้คลายตัวให้สิ้นไปหมด กระแสแห่งพระนิพพานฟอกธาตุขันธ์ผมขนเล็บฟันหนังกลายเป็นแก้วใส โครงกระดูกทั่วกายกลายเป็นแก้วใส หลอดเลือดเส้นเอ็นทั่วร่างกาย ชำระล้างสะอาดกลายเป็นแก้วใส อาการทั้ง 32 อวัยวะภายในเซลล์ทุกเซลล์สะอาดกลายเป็นแก้วใส เซลล์ผิดปกติเซลล์มะเร็งเซลล์เนื้องอกสลายตัวไปดับไป เซลล์ที่สร้างใหม่เป็นเซลล์ที่สมบูรณ์พร้อมเต็มไปด้วยพลังชีวิต เป็นเซลล์ที่สมบูรณ์สมดุลแข็งแรงในทุกส่วน กายจิตผ่องใส บุญห้อมล้อมส่งผล เทวดาพรหมสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง วัตถุมงคลสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย เชื่อมกระแสแห่งพระนิพพาน มีกำลังแห่งพุทธานุภาพธรรมานุภาพสังฆานุภาพอันไม่มีประมาณ ประจุถ่ายทอดเชื่อมโยงคุ้มครองเราอยู่ตลอดเวลาเต็มกำลัง

จากนั้นน้อมจิตโมทนาสาธุกับเพื่อนกัลยาณมิตรที่ปฏิบัติธรรมร่วมกันทุกคน โมทนามหาโมทนาสาธุกับพุทธบริษัท 4 ทั้งหลายที่ไปปฏิบัติธรรม ไปหล่อพระ ไปเจริญสมถะวิปัสสนาตักบาตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาลแห่งวันวิสาขบูชานี้ ซึ่งจะมีต่อเนื่องไปต่อไป ก็โมทนากับทุกกุศลทุกความดีของทุกคน

เมื่อจิตอิ่มใจจิตสุขใจแล้ว ก็ค่อย ๆ หายใจเข้าช้า ๆ หายใจเข้าพุทหายใจออกโธ ช้าลึกยาว ครั้งที่ 2 ธัมโมหายใจเข้าธัมหายใจออกโม จิตสบายผ่องใส ครั้งที่ 3 สังโฆ หายใจเข้าสังหายใจออกโฆ คุณแห่งพระพุทธเจ้าพระธรรมพระอริยสงฆ์คุ้มครองรักษาเชื่อมโยงเชื่อมกระแสกับจิตข้าพเจ้าตลอดเวลา ทุกลมหายใจมีกำลังแห่งพุทธานุภาพ ประจุอยู่ในกายสังขารของข้าพเจ้า

จากนั้นค่อยๆถอนจิตช้า ๆ จากสมาธิด้วยจิตอันผ่องใส ตั้งใจว่าเวลาที่เราไปทำบุญทำทานสร้างกุศล เราก็จะทรงอารมณ์จิตที่ผ่องใสสูงสุดในขณะถวายทาน  กายเนื้อถวายบนโลกมนุษย์ กายทิพย์ถวายพระพุทธองค์บนพระนิพพานเสมอ  ปฏิบัติเจริญพระกรรมฐานยกจิตขึ้นไปปฏิบัติอยู่กับพระพุทธองค์เสมอ กำหนดจิตรักษาศีลก็ตั้งใจว่าเรารักษาศีลเพื่อพระนิพพาน รักษาศีลเพื่อจิตเราปราศจากการเบียดเบียน จิตปราศจากการเป็นเจ้ากรรมนายเวร จิตปราศจากความอาฆาตพยาบาทจองเวรทั้งปวง จิตเรายิ่งละเอียดขึ้นสูงขึ้นเจริญยิ่งขึ้นไปตามลำดับทุกคน

สำหรับพรุ่งนี้อาจารย์ก็จะเดินทางไปสอนสมาธิที่พุทธสถานปฏิบัติธรรมพุทธศรัทธา อำเภอบ้านหมอจังหวัดสระบุรี ถ้าใครสะดวกไปปฏิบัติก็สามารถเดินทางไปได้ อาจารย์สอนเวลา 12:30 น ถึงประมาณ 16:00 น. ใครสะดวกก็ตามไปได้ แล้วก็เรื่องอื่นก็สำหรับใครที่เขียนแผ่นทองก็รวบรวมจัดส่งมา เพราะว่าเวลาก็เริ่มใกล้แล้ว แล้วก็อีกเรื่องหนึ่ง ก็คือช่วงวันเสาร์ที่ 17 สัปดาห์หน้า พระอาจารย์หนุนท่านก็จะมาที่กรุงเทพที่วัดจันทน์บางกรวย ช่วงเย็นประมาณ 5-6 โมง ใครสะดวกก็สามารถไปกราบท่านได้ ของอาจารย์ก็รู้สึกว่าหมู่คณะในคณะที่ทำงานก็จะต้องไปเพื่อกราบเรียนประสานงานเรื่องการสร้างพระเจ้าองค์แสนดวงจิตพระนิพพาน ก็ใครที่อยากไปกราบพระอาจารย์หนุน ไม่ต้องไปไกลถึงสกลก็สามารถมาได้

สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน ขอให้ทุกคนขยันหมั่นเพียรในการสะสมบุญกุศลโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวาระของวันเทศกาลวันวิสาขบูชาครั้งนี้ ขอให้เราทุกคนจิตอยู่ในกุศลจิตอยู่ในธรรม เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้ามีความสุขความเจริญกันทุกคนทุกท่านด้วยเทอญ

ถอดเสียงและเรียบเรียงโดย : คุณรัตนา

You cannot copy content of this page