green and brown plant on water

ธัมมวิจยะในอารมณ์พระนิพพาน

เวลาอ่าน : 4 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”

วันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม  พ.ศ. 2568

เรื่อง ธัมมวิจยะในอารมณ์พระนิพพาน

โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค

กำหนดสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม กำหนดรู้ทั่วทั้งร่างกาย จากนั้นผ่อนคลายร่างกายทุกส่วนกล้ามเนื้อทุกส่วน ตั้งแต่ศีรษะไล่ลงไปถึงปลายเท้า ผ่อนคลายไล่ตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมาจนถึงศีรษะ ผ่อนคลายปล่อยวาง ให้การปล่อยวางผ่อนคลายร่างกายกล้ามเนื้อนั้น เป็นการปลดปล่อยผัสสะที่จิตไปเกาะเกี่ยวเกี่ยวเนื่องกับขันธ์ 5 ร่างกาย ผ่อนคลายเพื่อทิ้งกายเพื่อตัดร่างกายขันธ์ 5 กำหนดผ่อนคลายทั่วร่างกาย จนจิตเข้าถึงความสงบ

กำหนดรู้ว่าการที่เราปล่อยวางร่างกายขันธ์ 5 สังขารนี้ เป็นเหตุให้จิตของเราเข้าถึงความสงบ กำหนดรู้ในความสงบจากการตัดกายทิ้งกายผ่อนคลาย กำหนดรู้ว่าการพิจารณานี้ นับเป็นทั้งวิปัสสนาญาณทั้งเป็นสมถะ

วิปัสสนาญาณก็คือตัดร่างกายแล้วจิตเกิดปัญญาว่า ปล่อยกายทิ้งกายตัดขันธ์ห้าร่างกายแล้วจิตเข้าถึงความสงบ และในขณะเดียวกันความสงบที่ปรากฏ ก็ถือว่าเป็นฌานเป็นสมาธิ ความวุ่นวายฟุ้งซ่านหายไป นิวรณ์ที่รบกวนจิตใจทั้งหลายหายไป กำหนดรู้ปล่อยวางกาย แยกกายแยกจิตแยกรูปแยกนาม

จากนั้นจึงกำหนดจิตต่อไป ใช้สติกำหนดรู้ในลมหายใจ ต่อจากจิตที่สงบจากการทิ้งกาย กำหนดรู้ดูลม กำหนดนิมิตกำกับ เห็นลมหายใจเป็นเหมือนกับแพรวไหม จินตภาพกำหนดรู้ ลมหายใจละเอียดก็รู้ว่าละเอียด ลมหายใจเบาก็รู้ว่าเบา แต่กำหนดจินตภาพกำกับให้เห็นลมหายใจเป็นเหมือนกับแพรวไหม พลิ้วผ่านภายในกายของเรานั้น ถ้าลมหายใจมันละเอียดลงมากสงบระงับลงมาก ก็กำหนดจิตต่อไป กำหนดรู้ในตัวหยุด ลมหายใจที่สงบระงับ ลมดับเข้าถึงฌาน 4 ในอานาปานสติ หยุดจิต นิ่งหยุด หยุดการปรุงแต่ง เข้าถึงเอกัคคตารมณ์เข้าถึงอุเบกขารมณ์ สงบนิ่งหยุด

เมื่อจิตนิ่งหยุดจนทรงตัวดีแล้ว เราก็กำหนดน้อมเดินจิตขึ้นสู่สมถะที่สูงขึ้น โดยกำหนดจิตให้เห็นตัวหยุดนั้นปรากฏ จากจุดขยายขึ้นกลายเป็นเส้นทรงกลม จากเส้นทรงกลมกำหนดให้เห็นเป็นดวงแก้วสว่างขึ้น กำหนดน้อมว่าเรากำลังเดินจิตในสมถะขึ้นสู่กสิณ กำหนดให้เห็นดวงแก้วที่มันสว่างผ่องใส เชื่อมนิมิตของกสิณกับจิตของเราให้เป็นหนึ่งเดียว จิตคือกสิณ กสิณคือจิต กสิณมีจิตตานุภาพแห่งอภิญญาจิตเพียงใด จิตของเราก็เข้าถึงจิตตานุภาพแห่งอภิญญาจิตฉันนั้น

กำหนดต่อไปให้จิตที่เป็นดวงแก้วใสขณะนี้ กลายเป็นเพชรประกายพรึก มีฉัพพรรณรังสีสว่างผ่องใสเป็นเพชร กำหนดน้อมให้เห็นจิตเป็นแก้วเป็นเพชรประภัสสร เป็นเพชรระยิบระยับละเอียดสว่างอย่างยิ่ง มีเส้นแสงรัศมีแผ่ออกเป็นเส้นจากจิตที่เป็นเพชรประกายพรึกนั้นโดยรอบ 360 องศา รัศมีของจิตกว้างไกลตามกำลังที่เรากำหนดได้ พร้อมกับขณะเดียวกันพ้นออกไปจากเส้นแสงรัศมีของจิต ก็ปรากฏบรรยากาศโดยรอบมีสภาวะบรรยากาศแห่งความเป็นทิพย์ คือมีสภาวะประดุจมีกากเพชรโปรยปรายรายรอบ มีความระยิบระยับแพรวพราวเป็นอาณาเขตรอบนอกอีกหนึ่งชั้น ทรงสภาวะจดจ่อตั้งมั่นอยู่กับจิตอันเป็นประภัสสร กำหนดรู้ว่าจิตของเราเข้าถึงจิตเดิมแท้อันเป็นประภัสสร จิตเราเข้าถึงศักยภาพแห่งอภิญญาจิต จิตที่เข้าถึงปฏิภาคนิมิตของกสิณ

กำลังฤทธิ์ของกสิณทั้ง 4 คือกสินธาตุดินน้ำลมไฟก็ดี กสิณรวมทั้ง 10 คือวรรณะกสิณทั้ง 4 กสิณธาตุทั้ง 4 อาโลกสิณ กสิณแสงสว่าง กสิณอันเป็นความว่าง รวมเป็นกสิณทั้ง 10 กองรวมเป็นหนึ่งเดียวกับจิตของเรา เอกัคคตารมณ์ในกสิณ คือจิตเป็นหนึ่งเดียวกับกสิณ เอกัคคตารมณ์ในกสิณ 10 คือกรรมฐานแห่งกสิณทั้ง 10 กอง รวมกันเป็นหนึ่ง อภิญญาฤทธิ์ของกสิณทั้ง 10 กองรวมเป็นหนึ่งเดียวกับนิมิตที่เราปรากฏอยู่ นิ่งหยุดทรงอารมณ์กำหนดรู้ ว่ากสิณทั้ง 10 รวมเป็นหนึ่งกับจิตของเรา

จากนั้นเชื่อมโยงสอดประสานอารมณ์กรรมฐานกับภาพนิมิตกสิณ ยิ่งสว่างยิ่งเป็นเพชรประกายพรึกจิตยิ่งเป็นสุข จิตยิ่งเป็นสุขจิตยิ่งเอิบอิ่มเอ่อล้นเต็มหัวจิตหัวใจมากเท่าไหร่ ความเป็นทิพย์อภิญญายิ่งปรากฏเพิ่มพูนตามนั้น ทรงสภาวะจนเกิดอารมณ์แห่งสุข เกิดความผ่องใสสูงสุด ทรงอารมณ์จดจ่ออยู่กับสภาวะที่จิตประภัสสรที่สุด ผ่องใสที่สุด เป็นสุขที่สุด ยิ่งผ่องใสแล้วก็ให้ผ่องใสขึ้นไปอีก สว่างแล้วก็ให้สว่างขึ้นไปอีก เป็นสุขแล้วก็ให้เป็นสุขยิ่งขึ้นไปอีก ความรู้สึกว่าดวงกสิณที่เราทรงไว้ เปี่ยมพลานุภาพเปี่ยมไปด้วยความสุข จนส่องสว่างไปทั่วอนันตจักรวาลได้ ความสุขความอิ่มมันล้นจิตล้นใจอย่างไม่มีประมาน

จากนั้นกำหนดจิตเดินจิตต่อขึ้นสู่เมตตาอัปปันนาณฌาน จากดวงกสิณที่ปรากฏรัศมีจิตที่ปรากฏ ความเป็นสุขอย่างยิ่งยวดผ่องใสที่สุด กำหนดว่ารัศมีของจิต ขอจงปรากฏสภาวะเป็นกระแสแห่งเมตตาอันไม่มีประมาณ แสงสว่างก็ดี รัศมีจิตก็ดี สภาวะความเป็นทิพย์บรรยากาศที่พร่างพรายรายรอบก็ดี ขอจงปรากฏเป็นกำลังแห่งเมตตาอันไม่มีประมาณ สัมผัสกับทุกดวงจิต สัมผัสกับทุกสรรพสัตว์ เป็นเมตตาเป็นความสว่าง เป็นความสุขเป็นกระแสบุญ เป็นความเอิบอิ่มผ่องใส เป็นค วามอุดมสมบูรณ์เป็นความดีงาม กระแสจิตของเรา น้อมกระแสแห่งเมตตาอันไม่มีประมาณแผ่ออกไปทั่วอนันตจักรวาล แผ่ออกไปทั่วทุกภพทุกภูมิ ทรงสภาวะที่จิตประภัสสรพร้อมกับเมตตาอันไม่มีประมาณนี้ จิตบริสุทธิ์ จิตสว่างผ่องใส จิตเป็นสุข จิตฟื้นคืนสู่จิตอันสะอาดวิมุติจากสรรพกิเลสทั้งปวง ทรงสภาวะทรงอารมณ์นี้ไว้ให้เกิดวสีความทรงตัว จิตมีความเสถียรภาพในการทรงฌานทรงอารมณ์

ในระหว่างที่ทรงอารมณ์ทรงสภาวะจิตเป็นสุขสว่าง ก็กำหนดรู้พิจารณาว่า เราปฏิบัติธรรม ขัดเกลาจิตใจจากเศร้าหมองสู่ความผ่องใสสะอาด จากจิตที่มีความหยาบมีการเบียดเบียน ก็กลายเป็นจิตที่มีเมตตาอันไม่มีประมาณ มีการให้มีการแบ่งปัน จิตจากที่เคยมีอกุศลก็กลายเป็นจิตอันเปี่ยมไปด้วยบุญกุศล กำหนดรู้ว่าการปฏิบัติธรรมที่เราปฏิบัติมานั้น ได้ยกระดับภูมิจิตภูมิธรรมของเราให้สูงขึ้น

กำหนดน้อมต่อไปว่า กระแสบุญกระแสเมตตา แสงสว่างของจิตที่ข้าพเจ้าเจริญพระกรรมฐานนี้ ขอจงเป็นประดุจประทีปแก้วสว่าง บูชาคุณแห่งพระรัตนตรัย คือคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระอริยสงฆ์ บูชาคุณแห่งครูอุปัชฌาย์อาจารย์ พ่อแม่ท่านผู้มีพระคุณ รวมเฉพาะอย่างยิ่งบูชาโลกุตรธรรมเจ้า คือพระนิพพานเป็นที่สุด

จากนั้นกำหนดจิตอธิษฐานอาราธนาบารมี สมเด็จองค์ปฐมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอเมตตามาสถิตประดิษฐานอยู่กลางจิตกลางใจของเรา กำหนดจิตให้จิตเรามีองค์พระสว่าง

ตอนนี้กำหนดจิตต่อไป ขออาราธนาบารมีทรงภาพพระ 3 ฐาน ตอนนี้เรายังเนื่องอยู่กับกาย จิตยังอยู่ภายในกาย องค์พระอยู่เหนือกระหม่อมขันธ์ 5 องค์พระอยู่ภายในศีรษะ องค์พระอยู่ในกาย กำหนดจิตว่าขอให้พุทธานุภาพธรรมานุภาพสังฆานุภาพ คุณบารมีแห่งพระพุทธเจ้ามาประดิษฐานรักษากายวาจาจิตของข้าพเจ้า ให้มีแต่ความบริสุทธิ์มีแต่ความผ่องใส

เมื่อทรงภาพพระ 3 ฐาน เราก็กำหนดจิตกำหนดรู้ไว้เสมอว่า เมื่อเราทรงภาพพระสามฐานนั้น เรามีองค์พระคือกำลังแห่งพุทธานุภาพมาสถิตอยู่ในกายของเรา ขันธ์ 5 ของเราไม่อาจที่จะมีอวิชชา ไม่อาจจะมีดวงจิตดวงวิญญาณใดที่จะเข้ามาแทรกที่จะเข้ามาซ้อนที่จะเข้ามาสิงในขันธ์ 5 ร่างกายนี้ได้อีกต่อไป เพราะเรานั้นได้มอบกายถวายชีวิตต่อพระรัตนตรัย ปฏิบัติธรรมเพื่อมรรคผลพระนิพพานเป็นที่สุดไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นกำหนดจิตว่าไม่มีจิตวิญญาณใด ที่จะมีกำลังมีบารมีเท่ากับพระพุทธองค์อีกแล้ว แม้แต่พรหมทั้งหลายเทวดาทั้งหลาย ที่ท่านเป็นจอมเทพก็ดี เป็นมหาพรหมก็ดี ก็ยังนอบน้อมกราบสักการะต่อพระพุทธองค์ต่อพระพุทธเจ้า ดังนั้นจิตของเราจงปักใจให้มีความมั่นคงเชื่อมั่นไว้เสมอว่า ร่างกายขันธ์ 5 ของข้าพเจ้านี้ได้มอบกายถวายชีวิตไว้กับพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์สมเด็จองค์ปฐมไว้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นขันธ์ 5 นี้ไม่อาจจะมีสิ่งใดมาสอดมาแทรกมาสิงมาดลจิตดลใจให้คิดร้ายคิดอกุศล ให้คิดอัปมงคลต่อพระรัตนตรัยคือคุณพระพุทธเจ้าพระธรรมพระอริยสงฆ์ได้อีกต่อไป

กำหนดจิตให้จิตเราเกิดกำลังเกิดความมั่นคง พุทธังรักษา ธัมมังรักษา สังฆังรักษา

จากนั้นกำหนดจิตต่อไปว่า ขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ขอยกจิตข้าพเจ้าขึ้นไปบนพระนิพพานด้วยเทอญพระพุทธเจ้าข้า จากนั้นพุ่งจิตขึ้นไปเป็นแสงสว่างไปปรากฏอยู่เบื้องหน้าสมเด็จองค์ปฐม พร้อมกับกำหนดจิตอธิษฐานให้เห็นกายของเราอยู่ในสภาวะแห่งกายพระวิสุทธิเทพอยู่เบื้องหน้ามหาสมาคม มีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกๆพระองค์บนพระนิพพาน มีสมเด็จองค์ปฐมเมตตาเสด็จมาเป็นประธานท่ามกลางมหาสมาคมนั้น พร้อมกับเราตั้งจิตอธิษฐาน แยกอาทิสมานกายกราบให้ครบทุกท่านทุกๆพระองค์ กราบด้วยความนอบน้อม กราบด้วยความเคารพ กราบด้วยความศรัทธาในพระพุทธเจ้าพระธรรมพระอริยสงฆ์

จากนั้นพิจารณาว่าพระนิพพานนี้เป็นสถานที่แห่งความเป็นทิพย์พิเศษอันพ้นจากวัฏสงสาร คือ 3 ไตรภูมิขึ้นมา พระนิพพานแห่งนี้จิตที่สามารถอยู่ในวิสัยที่เข้าถึงได้ มีเพียงแค่ 3 วิสัย

คือวิสัยแห่งพุทธเจ้า คือวิสัยของพระพุทธองค์ที่เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานเข้าสู่พระนิพพาน

วิสัยที่ 2 คือวิสัยแห่งปัจเจกภูมิ คือท่านผู้ปฏิบัติธรรมบำเพ็ญบารมีจนบรรลุซึ่งความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วเสด็จปรินิพพาน เข้าถึงซึ่งพระนิพพานแล้ว

วิสัยที่ 3 คือท่านผู้บำเพ็ญปฏิบัติเจริญสมถะวิปัสสนากรรมฐาน ตัดสรรพกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานในวิสัยแห่งสาวกภูมิ เมื่อดับขันธ์นิพพานแล้วก็เข้าสู่พระนิพพาน  ในวิสัยของผู้ที่ได้ในอรหัตผล ซึ่งในอรหัตผลนั้นจะเป็นบุคคลที่บรรลุธรรมในวิสัยของสุขวิปัสสโกก็ดี เตวิชโชวิชชา 3 ก็ดี ฉฬภิญโญอภิญญา 6 ก็ดี หรือปฏิสัมภิทัปปัตโตคือปฏิสัมภิทาญาณก็ดี ก็ล้วนแล้วแต่เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในวิสัยของพระอรหัตผลด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เราก็กำหนดรู้ใน

จิตของเรา พึงปฏิบัติ เป้าหมายในการปฏิบัติของเราเป็นไปเพื่อพระนิพพานเป็นที่สุด ไม่ได้เป็นไปเพื่อให้บุคคลอื่นมาสรรเสริญ ไม่ได้เป็นไปเพื่อให้บุคคลอื่นมายกย่อง ดังนั้นเป้าหมายของเราก็คือพระนิพพาน เพื่อความดับไม่เหลือเชื้อแห่งการเกิด คือการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏอีกต่อไป

พิจารณาแล้วก็อธิษฐานจิต ขอกายพระวิสุทธิเทพจงปรากฏในสภาวะ นั่งขัดสมาธิเจริญกรรมฐานอยู่บนรัตนบัลลังก์ดอกบัวแก้วบนพระนิพพาน ท่ามกลางพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทุกๆพระองค์บนพระนิพพานแห่งนี้ กำหนดจิตพิจารณา ว่าจิตของเราเมื่อขึ้นมาบนพระนิพพาน จิตของเราปราศจากความห่วงใยในขันธ์ 5 ร่างกายคือกายของความเป็นมนุษย์นี้ จิตของเราปราศจากความห่วงความอาลัยในบุคคลอื่นในทรัพย์สินทั้งหลาย ในบุคคลในภาระกิจการงานหน้าที่ทั้งหลาย พิจารณาว่าถ้าเราตายไปในขณะจิตนี้ ตายไปในลมหายใจนี้ เราเข้าถึงซึ่งพระนิพพานทันทีเพราะจิตของเราขณะนี้อยู่บนพระนิพพาน ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วเรามีความเสียใจมีความอาลัยมีความห่วงในโลกในวัฏสงสารอีกหรือไม่ ยินดีว่าตายแล้วกายทิพย์ตอนนี้เราอยู่บนนี้คือบนพระนิพพาน เราก็เข้าถึงอรหัตผลในขณะนี้ทันที เพราะจิตตัด จิตไม่เกาะ จิตดับสิ้นเชื้อไม่เหลือเศษแห่งความอาลัยห่วงใยในสังสารวัฏอีกต่อไป

กำหนดจิตให้จิตยินดีจิตโมทนากับอารมณ์จิตนี้ บรรลุมรรคผลเพื่อการไม่เกิด จิตไม่มีความอาลัยในภพทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นภพของการเป็นมนุษย์ ภพของการเป็นพญานาค ภพของการเป็นเทวดาการเป็นพรหมทั้งหลาย พิจารณาว่าจิตของเราเห็นทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิด เห็นทุกข์จากความปรารถนาไม่สมหวัง เห็นทุกข์จากการเบียดเบียนอาฆาตพยาบาทจองเวรเอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน เห็นทุกข์จากการถูกกระทบใจ เห็นทุกข์จากภัยพิบัติทั้งหลาย ความแปรปรวนทั้งหลาย เห็นทุกข์จากความไม่เที่ยง ความเจริญรุ่งเรืองเกิดขึ้นก็มีความเสื่อมมีการแตกสลาย เราพิจารณาเห็นทุกข์เพื่อตัดจิตตัดใจของเราออกจากทะเลทุกข์คือวัฏสงสารแห่งนี้

ในสภาวะแห่งความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ ญาณเครื่องรู้ทั้งหลายมีเต็มเปี่ยม ญาณเครื่องรู้ทั้ง 8 เป็นเครื่องมือ ในการเจริญวิปัสสนาทำความเข้าใจ เกิดปัญญาในโลก เกิดปัญญารู้แจ้งในสังสารวัฏในความเป็นไป จำไว้ว่าการที่เราฝึกปฏิบัติจนเข้ามาถึงขั้นที่สามารถใช้กายทิพย์ คืออาทิสมานกายกำลังของมโนมยิทธิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพานได้ ญาณเครื่องรู้ต่างๆ ความสะอาดของจิตความบริสุทธิ์ของจิต การสิ้นอาสวะกิเลสชั่วคราวในขณะที่เราทรงอารมณ์อยู่บนพระนิพพานแห่งนี้ มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดกับการปฏิบัติธรรม

สำหรับวันนี้เราก็จะเรียนจะปฏิบัติในเรื่องของธัมมวิจยะบนพระนิพพาน ทำความเข้าใจว่า การปฏิบัติธรรมที่เราฝึกกันอยู่ขณะนี้ มีความสำคัญมีความพิเศษอย่างไร ทำไมครูบาอาจารย์ท่านจึงสอนว่าให้หมั่นขึ้นมาบนพระนิพพานบ่อยๆ ธรรมชาติของจิตนั้นย่อมคล้อยลงสู่ที่ต่ำ ธรรมชาติของจิตนั้นย่อมคล้อยไปตามสภาวะแวดล้อม สภาพของจิตนั้นย่อมโน้มเอียงไปตามหมู่คณะต่างๆ ดังนั้นมงคล 38 ประการข้อที่ 1 ก็คือ อเสวนา จ พาลานัง ก็คืองดเว้นการพูดคุยการคลุกคลีกับคนที่เป็นคนพาล คนที่เป็นคนมีจิตอันเป็นอกุศลจิต เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เราคุยอยู่กับบุคคลที่ผิดศีล ไปอยู่กับหมู่คนหมู่เพื่อนที่เขาชอบกินเหล้า ดื่มสุราเฮฮาอยู่กับอบายมุข คลุกคลีบ่อยเข้านานเข้า เราก็อดรนทนไม่ได้กับคำยุคำชวน เราก็พลอยเปลี่ยนไปเป็นคนที่ดื่มเหล้าเมาสุราตามเขา เราไปคลุกคลีอยู่กับบุคคลที่เขาธุรกิจคอรัปชั่นคนโกง คลุกคลีอยู่นานเข้า ถูกบังคับบ้าง ถูกขยั้นคยอบ้าง ถูกบีบบ้าง สุดท้ายเราก็พลอยคดโกงตามคนเหล่านั้นตามไปด้วย อันนี้เป็นตัวอย่างที่ทำให้เราเข้าใจแล้วก็พิจารณาดู หรือบางครั้งเราไปในสถานที่ที่เป็นที่อโคจร คำว่าอโคจรคือที่ที่ไม่ควรไป เช่นที่ที่เป็นบ่อนการพนัน ที่ที่เป็นร้านเหล้าร้านสุรา บาร์ผับทั้งหลาย สถานที่ที่เป็นที่อโคจรนั้น มันก็มีสิ่งเร้าที่กระตุ้น กระตุ้นกิเลสในจิตเราให้มันฟูขึ้น ให้มันเพิ่มขึ้น ถ้าหากการปฏิบัติธรรมของเรามันยังไม่สามารถตัดหรือขัดเกลาจนกระทั่งกิเลสมันเบาบาง หรือจืดจางไปจากจิตได้ กิเลสที่มันสงบระงับเพียงชั่วครู่ชั่วคราว เมื่อถูกกระตุ้นจากการที่ไปอยู่กับบุคคลก็ดี สถานที่แวดล้อมในสิ่งต่างๆที่กระตุ้นกิเลสก็ดี มันก็ทำให้กิเลสมันกลับฟูขึ้นมาอีก เหมือนกับไฟที่ถูกเติมเชื้อดังนั้นสิ่งต่างๆเหล่านี้จึงเป็นข้อห้ามที่เราควรหลีกเลี่ยง ถ้าเราตั้งใจปฏิบัติธรรมเพื่อมรรคผลพระนิพพาน สุดท้ายธรรมะก็จะคัดกรองบุคคลที่เกี่ยวเนื่องใกล้ชิดให้เป็นบุคคลในประเภทเดียวกัน อันนี้ก็ถือว่าเป็นกฎของแรงดึงดูดแบบหนึ่ง ชาวธรรมก็ดึงดูดชาวธรรมเข้ามา คนบุญก็ดึงดูดคนบุญเข้ามา ถ้าจิตเราบริสุทธิ์ สุดท้ายครูบาอาจารย์ที่เราพบเจอ พระสงฆ์ที่เราพบเจอ เราก็จะพบเจอแต่พระสุปฏิปันโน พระอริยเจ้า พระโพธิสัตว์

ดังนั้นเมื่อปฏิบัติธรรมมาถึงขั้นหนึ่ง ถ้าหากบุคคลใดเขาจะหลุดออกไปจากชีวิต เราก็อย่าไปเสียดาย อธิษฐานซ้ำไปเลยว่า หากบุคคลใดที่เข้ามาใกล้มาคลุกคลี มาข้องแวะมาข้องเกี่ยวแล้วทำให้เราเสื่อมลง คือธรรมะของเราเสื่อมลง ชีวิตของเราเสื่อมลง ก็ขอให้หลุดขอให้ผลักขอให้พ้นออกไปจากชีวิตของเราและชีวิตของบุคคลในครอบครัวเรานับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป  อธิษฐานไปเช่นนี้แล้วในขณะเดียวกัน สักครู่ที่เราพิจารณาก็คือพิจารณาธรรมในฝ่ายที่เรียกว่าอกุศล อเสวนา จะ พาลานัง

ข้อที่สองก็คือคบบัณฑิต บัณฑิตที่เป็นบัณฑิตที่สุดยอดที่สุด ก็คือพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงเป็นพระบรมครู เป็นครูของมนุษย์ เป็นครูของเทวดาพรหม เป็นครูของสัตว์ทั้งหลาย ดังนั้นเราอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบใด เราก็จงอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ห้อมล้อมไปด้วยพระพุทธองค์ ห้อมล้อมไปด้วยพระพุทธเจ้า ห้อมล้อมไปด้วยพระปัจเจกพุทธเจ้า ห้อมล้อมไปด้วยพระอรหันต์ สถานที่นั้นมีหรือ ตอนนี้จิตเราก็อยู่กับท่าน ดังนั้นก็คือเหตุผลว่าจงอยู่ยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพานให้บ่อยที่สุดมากที่สุด เพราะเมื่อไหร่ที่เราอยู่กับพระพุทธองค์บนพระนิพพาน ทุกดวงจิตบนพระนิพพานล้วนแล้วแต่สิ้นอาสวะกิเลส อยู่ใกล้ท่านไม่มีกระแสการกระทบที่เป็นลบ ไม่มีกระแสบรรยากาศที่เป็นความโลภความโกรธความหมั่นไส้ความเกลียดชัง ไม่เหมือนกับอยู่ในดงของมนุษย์ปุถุชน ไม่เหมือนอยู่ในดงคนบาป กระแสคลื่นกระแสจิต  กระแสความรู้สึกกระแสอารมณ์เป็นเหมือนกับทะเล ที่พัดพาให้จิตเราไหลตาม ให้จิตเรากระทบจนหวั่นไหว

ดังนั้นการที่เรายกจิตขึ้นมาบนพระนิพพาน ให้เราแยกพิจารณาตอนนี้ แยกจิตดูว่าระหว่างอยู่กับการที่เราอยู่ในหมู่ชนคนหนาแน่นด้วยกิเลส เราพบเจอเรารับกระแส เราพบแรงกระทบ เรารับแรงกดดันอะไรบ้าง และเวลาที่เรายกจิตยกใจของเราขึ้นมาอยู่กับพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน เรารู้สึกเราสัมผัสในกระแสสิ่งใดได้บ้าง

ดังนั้นจริงๆแล้วการที่เราปฏิบัติจนถึงจุดนี้ คือยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพานได้ การปฏิบัติขั้นต่อไปที่เป็นขั้นสูงที่สุดก็คือ พยายามที่จะยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพานให้บ่อยและนานที่สุด ให้จิตอยู่กับโลกมนุษย์หรือรับกระแสกับโลกมนุษย์น้อยที่สุด การฝึกการปฏิบัติของเราต่อไป ก็คือการที่เราสามารถแยก คือกายเนื้อเราก็ทำงานทำหน้าที่ พูดจาพบปะพูดคุยกับคนทั่วไปตามปกติ แต่เราแยกอาทิสมานกายยกจิตขึ้นมาอยู่บนพระนิพพาน และก็จิตทรงอารมณ์อยู่บนพระนิพพาน อารมณ์จิตเป็นอารมณ์จิตแห่งอรหัตผลอยู่บนพระนิพพาน กายเนื้อก็ทำหน้าที่ไป กายเนื้อก็ขับรถไป กายเนื้อก็ทำกิจการงานต่างๆไป แต่จิตอยู่กับพระพุทธองค์บนพระนิพพาน อันนี้คือขั้นต่อไปที่เราพึงฝึกให้ยิ่งขึ้นเจริญขึ้นก้าวหน้าขึ้น

แล้วก็ต่อไปสิ่งที่เป็นสิ่งสำคัญเมื่อเราฝึกปฏิบัติจนได้มโนมยิทธิได้เรื่องกายทิพย์ตรงนี้แล้ว ก็คือพยายามที่จะสื่อสารคุยกับพระท่านให้ได้ การที่เราคุยกับพระท่านได้ก็คือ สามารถสื่อสารโต้ตอบถามธรรมะท่านได้ กำหนดรู้ได้ ธรรมผุดรู้ขึ้นมาเป็นปกติได้ ตรงนี้ถ้าเราทรงอารมณ์อยู่บนพระนิพพานได้ตลอดเวลา แล้วก็สื่อสารกับพระท่านได้ตลอดเวลา สติของเราจะกลายเป็นมหาสติครบถ้วน คือสิ่งใดกระทบทางโลกแต่ก็จะมีข้อธรรมจากพระท่านมาสงเคราะห์ เราก็จะไม่หลุดเราก็จะไม่ไหล เราก็จะผ่านเราก็จะไม่หวั่นไหวกับการกระทบทั้งหลายเหล่านั้นไปได้ ถ้าทรงฌานอยู่โดยเฉพาะอย่างยิ่งทรงอารมณ์พระนิพพานอยู่ อยู่กับพระคือพระพุทธองค์ รับรองว่าการปฏิบัติของเราหรือการทรงอารมณ์ของเรา ความทุกข์มันจะคลายตัวลงไป เพราะจิตมันไม่เสวยอารมณ์ของความทุกข์จากการกระทบแล้ว เพราะใจเราจิตเรามีธรรมของพระพุทธองค์ที่มาเตือนสติเราตลอดเวลา ซึ่งตรงนี้เป็นจุดสำคัญอย่างยิ่ง ถ้าคนที่ตั้งใจปฏิบัติอย่างเข้มข้นเพื่อมรรคผลพระนิพพาน ถ้าทรงอารมณ์เช่นนี้อยู่ตลอดเวลา ตั้งจิตขัดเกลากิเลสไม่มีการยั้งตัว เดินจิตเจริญวิปัสสนาญาณ พิจารณาตัดสังโยชน์ พิจารณาตัดกิเลส พิจารณากำหนดรู้ในการกระทบ เห็นธรรมจากสิ่งที่ปรากฏ โดยที่ใจเราไม่ทุกข์ ไม่นานที่เราทรงอารมณ์เช่นนี้ก็จะเป็นไปตามคําพรรณนาในอานิสงส์ของมหาสติปัฏฐานสี่ คือ 7 วัน 7 เดือน 7 ปี ถ้าทรงอารมณ์ผ่องใสแนบกับพระรัตนตรัย แนบกับพระนิพพาน แนบกับพระพุทธองค์ ธรรมะกำหนดรู้ผุดในจิตตลอดเวลา อย่างไรก็เข้าถึงมรรคผลพระนิพพานได้  แต่ต้องแนบแบบนี้โดยที่จิตผ่องใสตลอดเวลา จิตเป็นสุขตลอดเวลา จิตไม่ทุกข์คือแทบไม่ทุกข์เลย กายมันปวดมันป่วยก็มีข้อธรรมแยกกายแยกจิตขึ้นไปอยู่บนพระนิพพาน รู้ว่ากายเจ็บกายป่วยมีเวทนา แต่จิตไม่มีความอาลัยในขันธ์ 5 ร่างกาย ถ้ามันตายก็ปล่อยมัน เราเข้าพระนิพพานเลย เวทนาก็หนีรู้ว่ามันทุกข์เพราะเวทนาจากการมีร่างกายขันธ์ 5 ก็แยกจิตขึ้นไปอยู่บนพระนิพพาน ทรงอารมณ์ความผ่องใสเสวยวิมุติอยู่กับอารมณ์พระนิพพาน

ดังนั้นกายเวทนาจิตธรรมถึงพร้อมอยู่ตลอดเวลา จิตแนบอยู่กับธรรมตลอดเวลา และก็อย่าลืมว่าการที่จิตเราอยู่ท่ามกลางมหาสมาคม คือกระแสของพุทธบารมี กระแสของพระปัจเจกพุทธบารมี กระแสแห่งพระอรหันต์ ลองคิดเอาว่าจิตของเราเหมือนกับอาบชโลมอยู่กับกระแสของวิมุตติธรรม อยู่ท่ามกลางแสงสว่างฉัพพรรณรังสีของพระพุทธองค์อยู่ตลอดเวลา ในที่สุดเราอยู่ท่ามกลางจิตที่สิ้นอาสวะกิเลส อยู่ท่ามกลางดวงจิตทั้งหลายเหล่านั้น แล้วก็ไม่ใช่แค่จิตดวงเดียวแต่เป็นพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ ดังนั้นในที่สุดจิตเราก็ค่อยๆเหนี่ยวนำสลายล้างกิเลสจนจืดจนจางออกไป จนในที่สุดจิตเราก็พลอยบริสุทธิ์ ค่อยๆบริสุทธิ์เฉกเช่นทุกๆท่าน อันนี้ก็ถือว่าเราคบบัณฑิตแล้วก็เป็นอัครมหาบัณฑิตคือพระพุทธเจ้า

กำหนดรู้เข้าใจยินดีกับการปฏิบัติที่เราทรงอารมณ์อยู่นี้ปฏิบัติอยู่ทุกวันนี้ ทำความเข้าใจและก็ตระหนักถึงบุญคุณของหลวงพ่อพระราชพรหมญาณที่ได้เมตตาประสิทธิ์ประสาทวิชาเหล่านี้สืบต่อมาจนกระทั่งถึงเรา

คราวนี้สิ่งสำคัญก็คือ เมื่อของดีอยู่กับเรา 1_เรารู้คุณค่าหรือไม่ ตอนนี้ให้ถามจิตของเราดู พออาจารย์อธิบายละเอียดแบบนี้แล้ว เราตระหนักถึงคุณค่าความลึกซึ้งของวิชาในความเรียบง่าย ขึ้นมาบนพระนิพพานเรื่อยๆ อยู่กับพระพุทธเจ้าเรื่อย ๆ ทำไมถึงเกิดผล ทำไมถึงเกิดความก้าวหน้า ในการขัดเกลากิเลส ทำไมถึงยิ่งเป็นเหตุแห่งความใกล้ในมรรคผลพระนิพพาน เพราะเรามาถึงพระนิพพานเลยตายไปเมื่อไหร่ก็ถึงพระนิพพานเมื่อนั้น เรามาพระนิพพานยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพานบ่อยมากเท่าไหร่ ความเคยชินของจิต จิตเขาจำและจิตมีสภาพจำ จำได้ว่าตายเมื่อไหร่มาพระนิพพาน เคยมาแล้วมาบ่อยมาจนชินมาจนจิตจำได้ ตายเมื่อไหร่จิตเขาก็มาพระนิพพานเป็นอัตโนมัติ

ดังนั้นการปฏิบัตินี้ไม่มีข้อเสียอะไร มีแต่เรารู้ค่ารู้รักษารู้ปฏิบัติหรือไม่ อันนี้ก็ให้เราพิจารณา ถ้าเรารู้คุณค่าเราก็จะยิ่งปฏิบัติ ปฏิบัติให้ยิ่งขึ้นทำให้ครบ คือ 1 ขึ้นมาให้บ่อยขึ้น 2 ขึ้นมาให้นานขึ้น 3 พยายามปฏิบัติจนถึงจุดที่สามารถสื่อสารกราบเรียนกราบทูล รู้ธรรม ธรรมะผุดขึ้นในจิต จากที่พระพุทธองค์ทรงประสิทธิ์ประสาทให้ได้ แล้วก็ตระหนักถึงคุณค่า ปฏิบัติจนเกิดธรรมฉันทะความพึงพอใจอยู่กับพระนิพพาน

ตอนนี้ก็ให้เราพิจารณา กิเลสใดที่เราละวางไปได้แล้วบ้าง ห่วงใดที่เราตัดออกไปได้แล้วบ้าง ร่างกายเราความห่วงในขันธ์ 5 ร่างกายของเรา เราตัดไปได้ไหม คลายตัวไปได้ไหม พิจารณาตัดจากบนพระนิพพาน จำไว้นะ ตัดบนพระนิพพานมันตัดง่ายที่สุด เล็งญาณเครื่องรู้ญาณทั้ง 8 จากพระนิพพานลงมามันง่ายที่สุด พิจารณาให้เห็นทุกข์จากบนพระนิพพานมันง่าย เหตุผลเพราะว่าเราไม่ได้อยู่ท่ามกลางกระแสของโลกที่พัดพาจิตเราไป แต่เราอยู่เหนือกระแสของโลกอยู่บนพระนิพพานจึงถือว่าเป็นโลกอุดร ก็คืออยู่เหนือโลกอยู่เหนือกระแส  พิจารณาจากเหนือกระแสมันก็ตัดง่าย ถ้าจิตเราไหลจิตเราหลงอยู่กับกระแสมันก็ตัดยาก ปล่อยวางยาก

ดังนั้นเคล็ดลับสำคัญที่สุดที่เราพึงใช้ในกำลังของมโนมยิทธิ ก็คือยกจิตขึ้นมาให้บ่อยขึ้นมาให้นาน กราบเรียนสื่อสารกับพระท่านให้ได้ และก็ฝึกที่จะสามารถกายเนื้อทำงานกิจการหน้าที่ไป แต่จิตเราสามารถแยกขึ้นมาอยู่บนพระนิพพานพร้อมกับสามารถเชื่อมต่อกราบเรียนสื่อสารกราบทูลกับพระพุทธเจ้าพระพุทธองค์หรือครูบาอาจารย์ของเราได้ตลอดเวลา ถ้าเราทำเช่นนี้ก็ถือว่าทรงมโนมยิทธิตลอดเวลา ซึ่งมีหลายคนที่เขาทำได้แม้เป็นฆราวาส อันนี้เป็นเรื่องปกติ เวลาจะกำหนดรู้สิ่งใดก็สามารถกำหนดรู้ได้ทันทีไม่ต้องตั้งท่า ปฏิบัติจนกระทั่งถึงจุดที่ไม่ต้องตั้งท่าเลยนะ พอเราเชื่อมต่อยกจิตแยกอาทิสมานกายอยู่บนพระนิพพานตลอดเวลา สำหรับวันนี้ก็เป็นเรื่องของธัมมวิจยะในการปฏิบัติในมโนมยิทธินิพพาน

เมื่อพิจารณาแล้วก็ให้เราเร่งความเพียรขึ้น ปัญญากระจ่างรู้ตื่น กำหนดรู้ตระหนักรู้ในคุณค่าแห่งการปฏิบัติ ความลึกซึ้งแห่งศาสตร์แห่งวิชาให้เพิ่มขึ้น ภพอื่นไม่ต้องไปเที่ยวมาก ปฏิบัติถึงขั้นหนึ่งเราจะไม่อยากเที่ยวภพอื่นภูมิใด จุดเดียวที่จะไปก็คือพระนิพพานจุดเดียว ถ้าอารมณ์จิตเป็นเช่นนี้ก็ถือว่าจิตจืดจากความอยาก ความหลงความเพลิดเพลินในสังสารวัฏ แต่ถ้ายังอยากเที่ยวภพนี้ภูมินั้นจะไปดูอันนู้นอันนี้อยู่ก็ยังถือว่ายังมีความหลงในโลกหลงในวัฏสงสาร แต่เมื่อไหร่ใจของเราอยากมาพระนิพพานอยู่กับพระพุทธเจ้าอย่างเดียว อันนี้ก็ถือว่าจิตเริ่มแนบเริ่มคล้อยเริ่มน้อมเข้าสู่โลกุตรธรรม ตรงนี้ก็ให้เรากำหนดรู้พิจารณาใจของเราได้

ต่อไปก็ขอให้เราน้อมจิต อธิษฐาน ขอกำลังพุทธานุภาพ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกพระองค์ เปล่งประกายแสงสว่างฉัพพรรณรังสีห้อมล้อมกายพระวิสุทธิเทพของข้าพเจ้าทุกคนไว้ พร้อมกับอธิษฐานจิต ข้าพเจ้าขออาราธนากระแสบุญศักดิ์สิทธิ์จากพระนิพพาน บารมีทั้ง 30 ทัศ ที่ทุกท่านบำเพ็ญมาจนบรรลุเข้าถึงซึ่งนิพพานสมบัติ ข้าพเจ้าขอน้อมอัญเชิญกระแสบุญจากพระนิพพานนี้ เป็นตัวแทนแผ่เมตตาลงไปยังสามภพสามภูมิ แผ่เมตตาน้อมกระแสบุญจากพระนิพพานลงไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย ขอจงเกิดปัญญาในสัมมาทิฐิ ขอจงเกิดกำลังบุญอันเกิดขึ้นจากทานศีลภาวนาของทุกท่านบนพระนิพพานแห่งนี้ ลงสู่จิตสู่ใจของสรรพสัตว์ทั้งปวง กำหนดน้อมเห็นกระแสแสงสว่างแผ่ลงไปยังภูมิแห่งอรูปพรหมทั้งหลายจนสว่างแพรวพราวเจิดจ้า กระแสบุญจากพระนิพพานแผ่ลงไปยังพรหมโลกมีท่านท้าวสหัมบดีพรหมเมตตาเป็นประธาน เหล่าพรหมทั้งหลายทั้ง 16 ชั้นขอจงเกิดกำลังบุญแห่งพรหมฤทธิ์ปรากฏสว่าง กุศลจงปรากฏแสงสว่างแห่งพรหมจงปรากฏ รัศมีกายทั้งหลายของทุกท่านทุก ๆ คนจงปรากฏ แผ่เมตตาน้อมกระแสบุญลงไปยังภพภูมิของอากาศเทวดาทั้ง 6 ชั้น มีพระอินทร์ท่านท้าวมหาราชทั้ง 4     ท่านมเหสักขา กระแสบุญแผ่ส่องถึงเทวดาทั้งหลายทุกภพทุกชั้นนับตั้งแต่จตุมหาราชิกาดาวดึงส์ยามาดุสิตนิมมานปรนิม ขอจงเกิดกำลังบุญกำลังกุศลกำลังแห่งสัมมาทิฐิเทพฤทธิ์จงปรากฏรัศมีกายจงปรากฏ ทิพยสมบัติทั้งหลายจงปรากฏ กระแสธรรมอริยทรัพย์ทั้งหลายจงปรากฏ

แผ่เมตตาต่อไปยังภพภูมิของรุกขเทวา ภุมเทวดาทั่วโลกและในทุกดวงดาวทั่วอนันตจักรวาล  แผ่เมตตาต่อไปยังบรรดามนุษย์และสัตว์อันมีขันธ์ 5 กายหยาบทั้งหลายทั่วอนันตจักรวาลทุกดวงดาว จะอยู่ดาวดวงใดก็ตาม ก็ขอให้ได้รับกระแสแห่งบุญความสว่างความผ่องใส กระแสแห่งสัมมาทิฐิ กระแสแห่งธรรม แผ่เมตตาลงไปยังภพของโอปปาติกะสัมภเวสี ดวงจิตดวงวิญญาณเร่ร่อนผู้หลงภพหลงภูมิ มิติทับซ้อนเมืองบังบดลับแลทั้งหลายทุกมิติทั่วจักรวาล แผ่เมตตาต่อไปยังภพของเปรตอสุรกายทั้งหลายที่ทุกข์ทรมานหิวโหยก็ขอให้กำลังบุญกุศลแสงสว่างแห่งบุญจงปรากฏ แผ่เมตตาต่อไปยังนรกภูมิทุกขุม ขอท่านพญายมราชตลอดรวมถึงนายนิรยบาลได้เมตตาเป็นประธานได้รับส่วนบุญส่วนกุศลส่งถึงทุกดวงจิตดวงวิญญาณในนรกภูมิ

จากนั้นอธิษฐานจิต ขอบารมีสมเด็จองค์ปฐมทรงเครื่องจักรพรรดิเปิดโลก แผ่เมตตาปรากฏเปิดโลกสามภพสามภูมิสามแดนโลกธาตุ จงสว่างด้วยกำลังแห่งพุทธานุภาพกำลังแห่งบุญ กระแสบุญแห่งพระนิพพานจงสว่างเปิดสามแดนโลกธาตุด้วยกำลังบุญศักดิ์สิทธิ์ ณ บัดนี้ด้วยเทอญ  ความสว่างความผ่องใส กำหนดจิตว่าเราโปรดแผ่เมตตา โปรดสรรพสัตว์สามภพภูมิ แต่จิตเราไม่ติดไม่เกาะไม่ยึดไม่หลงและไม่ขอเกิดในสามภพภูมินี้อีกต่อไป ตั้งจิตมั่นอยู่กับพระนิพพานเป็นที่สุด

จากนั้นตั้งจิตอธิษฐานต่อไป และขอน้อมกระแสบุญจากพระนิพพาน กระแสบุญจากการเจริญพระกรรมฐานเป็นพุทธบูชาธรรมบูชาสังฆบูชาของข้าพเจ้าทั้งหลาย รวมเป็นกระแสบุญศักดิ์สิทธิ์น้อมรวมลงมายังโลกมนุษย์แห่งนี้ ขอจงบรรเทาเบาบางจากภัยพิบัติทั้งปวง  บรรเทาเบาบางจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลาย บรรเทาเบาบางจากศึกสงครามโลกทั้งหลายที่ปรากฏขึ้น น้อมกระแสบุญจากพระนิพพานลงมาคลุมประเทศไทย ขอให้ดินแดนสุวรรณภูมินี้จงเกิดความสุขสงบสันติร่มเย็น บุคคลที่ขึ้นมาเป็นใหญ่ปกครองมีอำนาจในบ้านเมืองในแผ่นดิน ขอจงเป็นเพียงแต่ผู้ที่มีคุณธรรมศีลธรรมความดีบารมีแห่งธรรมปรากฏ บุคคลที่เป็นบุคคลพาล บุคคลที่อสัตย์ปราศจากสัจวาจาในการทำนุบำรุงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์  บุคคลที่อกตัญญูต่อชาติต่อแผ่นดินต่อบ้านเมืองต่อพระมหากษัตริย์ ขอจงไม่อาจทานทนอำนาจกฎของกรรมได้อีกต่อไป ขอจงแพ้ภัยตนเองไปด้วยกฎของกรรม และขอให้กำลังบุญหนุนนำส่งเสริมให้บุคคลที่มีจิตบริสุทธิ์ปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมืองต่อแผ่นดินต่อส่วนรวม  ต่อมวลหมู่ประชาชนจงได้มามีอำนาจปกครองบ้านเมืองตามพระราชดำรัสแห่งในหลวงรัชกาลที่ 9 ให้คนดีมามีอำนาจปกครองบ้านเมือง ให้คนดีมามีกำลัง กำลังทรัพย์กำลังอำนาจกำลังบารมีในการสร้างสรรค์นำพาให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองสู่ยุคชาววิไลด้วยเทอญ

ขอกำลังบุญจากพระนิพพานลงมาให้เกิดความอุดมสมบูรณ์สันติสุขร่มเย็นสันติ เป็นแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง ขอกระแสบุญแห่งพระนิพพานส่องตรงลงมายังเขตแห่งพระพุทธศาสนาวัดวาอารามทุกแห่ง สถานปฏิบัติธรรมทุกแห่ง พระพุทธรูปทุกพระองค์ พระบรมสารีริกธาตุพระธาตุพระอัฐิธาตุพระอรหันตธาตุ วัตถุมงคลทั้งหลาย ขอจงมีกระแสพุทธานุภาพพุทธคุณบริสุทธิ์ ขอกระแสธรรมชำระล้าง ขอจงปรากฏแต่พุทธบริษัท จงปรากฎแต่พระสงฆ์ผู้เป็นพระสุปฏิปันโน พระอริยเจ้า พระโพธิสัตว์ ขอฆราวาสทั้งหลายจงเข้าถึงธรรม จากฆราวาสจงกลายเป็นพระคือความเป็นพระอริยเจ้าจงปรากฏ ขอธรรมจงน้อมรวมลงสู่ดวงจิตของพุทธบริษัท 4 ขอกระแสมรรคผลกระแสธรรมกระแสสัมมาทิฐิจงน้อมรวมลงสู่ดวงจิตของพุทธบริษัท 4 ขอกระแสพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ ความนอบน้อมไตรสรณคมน์ จงน้อมรวมลงยังพุทธบริษัท 4 ทั้งหลาย

จากนั้นอธิษฐานจิต ขอกระแสบุญจงหลั่งไหลลงมาคุ้มครององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอจงเป็นผู้ทรงธรรมในสัมมาทิฐิ มีความตั้งมั่นศรัทธาในไตรสรณคมน์เข้าถึงในพุทธานุภาพคุ้มครองพิทักษ์รักษาพระชนมวารพระราชบัลลังก์ บารมีแห่งพระเศวตฉัตรจงปรากฏ พระบารมีที่จะนำพาแผ่นดินนี้เข้าสู่ยุคชาววิไล ขอจงถึงการณ์ที่ปรากฏพระบารมีเด่นชัดขึ้นปรากฏขึ้น ส่งผลขึ้น นำพาไทยเข้าสู่ยุคชาววิไลด้วยเทอญ ขอเทวดาพรหมทั้งหลายได้เมตตารับรู้ประสิทธิ์ประสาท ขอจงเกิดความศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์กับชาติ ต่อบ้านเมือง ต่อแผ่นดินอย่างเร็วอย่างอัศจรรย์ทันใจนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปด้วยเทอญ

อธิษฐานจิตให้เห็นแสงสว่างคลุมประเทศไทย ยิ่งจิตเรามีความเสียสละเพื่อปฏิปทาสาธารณะประโยชน์มากเพียงใด ความดีนี้ก็จะสะท้อนย้อนกลับคืนมาสู่เราที่ปฏิบัติ มนุษย์คนทั่วไปเขาอาจจะไม่รู้ แต่เทวดาพรหมทั้งหลายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย พระ ครูบาอาจารย์ท่านรับรู้รับทราบในสิ่งที่เราทำความดี ทั้งต่อตนคือการปฏิบัติขัดเกลาจิต และการที่เราอธิษฐานจิตเพื่อชาติเพื่อแผ่นดินเพื่อบ้านเมือง หรือแม้กระทั่งเพื่อโลกเพื่อสังสารวัฏนี้ ดังนั้นความดีทั้งหลายของเราถูกบันทึกอยู่ในแผ่นทองคำในทุกภพ กุศลใดที่ยังผลให้เกิดวิมานทิพยสมบัติในสวรรค์ชั้นนั้น ก็ถูกจารจารึกบันทึกไว้ ณ สวรรค์ชั้นนั้น กุศลแห่งการเจริญสมถะเจริญพระกรรมฐาน แผ่เมตตาเจริญพรหมวิหาร 4 ยังผลให้เกิดวิมานอยู่บนพรหมโลก แผ่นจารจารึกชื่อที่เป็นแก้วปนทองก็ถูกจารึกอยู่บนพรหมโลกนั้น และกรรมฐานการปฏิบัติขัดเกลาสละละวางกิเลสทั้งหลาย ตัดสังโยชน์ทั้ง 10 พิจารณาการตัดภพจบชาติในทุกครั้งในทุกขณะที่จิตเราสะอาดจากสรรพกิเลส ทุกครั้งที่จิตเรายกขึ้นมาบนพระนิพพาน ทุกครั้งที่จิตเรายินดีกับพระนิพพาน วิมานก็ดี แผ่นจารคำอธิษฐานก็ปรากฏอยู่บนพระนิพพานเช่นกัน ทุกกุศลนั้นยังคงอยู่ไม่หายไป แต่สุดท้ายผู้ที่ปฏิบัติเพื่อพระนิพพานก็เลือกเพียงจุดเดียวก็คือที่พระนิพพานเท่านั้น

สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญ ตั้งจิตให้เราโมทนาบุญกับทุกคนทุกกุศล น้อมจิตกราบลาพระพุทธเจ้าทุกท่านทุกๆพระองค์ ท่านผู้มีพระคุณทุกท่านทุกๆพระองค์ น้อมกราบด้วยความนอบน้อมด้วยความเคารพ

จากนั้นก็พุ่งจิตกับลงมาบนโลกมนุษย์กลับมาที่กายเนื้อ อธิษฐานจิตขอกระแสแห่งพระนิพพานเป็นลำแสงสว่างคลุมกายทั้งหมด ธาตุธรรมฟอกธาตุขันธ์ ผมขนเล็บฟันหนัง อาการทั้ง 32 กลายเป็นแก้วกลายเป็นเพชรใสสะอาดบริสุทธิ์ โครงกระดูกกลายเป็นแก้วใสบริสุทธิ์  หลอดเลือดเส้นเอ็นกลายเป็นแก้วใสบริสุทธิ์ กล้ามเนื้อทุกส่วนเซลล์ทุกเซลล์กลายเป็นแก้วใสบริสุทธิ์  ธาตุธรรมฟอกธาตุขันธ์ เซลล์มะเร็งเซลล์ผิดปกติเซลล์เนื้องอก พยาธิสภาพโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลาย จงสลายตัวไปด้วยกำลังแห่งพุทธานุภาพธรรมานุภาพสังฆานุภาพ ธาตุธรรมฟอกธาตุขันธ์ ขันธ์ 5 ร่างกายจนสะอาดบริสุทธิ์หมดจด สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง

จากนั้นน้อมจิตอธิษฐาน ขอบุญกุศลทานศีลภาวนาบารมีทั้งหลายที่ข้าพเจ้ากระทำบำเพ็ญโดยเฉพาะอย่างยิ่ง มหาสังฆทานที่ข้าพเจ้ากระทำถวายเป็นนิจด้วยกำลังใจอันสูง ทรงฌานสมาบัติสูงสุดคืออารมณ์พระนิพพาน ขอจงรวมตัวในระหว่างที่ข้าพเจ้ามีชีวิตขันธ์ 5 มีกายเนื้อกายหยาบ ขอกำลังบุญทั้งหลายจงเปิดสายบุญสายทรัพย์สายสมบัติสายบารมี ขอจงปรากฏขึ้นผุดเกิดขึ้นเป็นมนุษย์สมบัติอันจับต้องได้ เงินทอง โชคลาภ โอกาส ความเมตตาบุคคลที่สงเคราะห์ช่วยเหลือเกื้อกูลจงปรากฏขึ้น เทวดาพรหมทั้งหลายขอจงดลจิตดลใจให้มีคนช่วยเหลือสงเคราะห์เกื้อหนุน ขอปู่โสมเฝ้าทรัพย์เทวดาที่พิทักษ์รักษาทรัพย์สินที่ข้าพเจ้าเคยเป็นเจ้าของมาในอดีตกาลในอดีตชาติและในชาติปัจจุบัน ขอจงเปิดมหาโภคทรัพย์ประตูทรัพย์ โอกาสแห่งความคล่องตัว จงหลั่งไหลเข้ามายังชีวิตของข้าพเจ้านับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปด้วยเทอญ อธิษฐาน ขอประตูมหาโภคทรัพย์จงเปิด มีแต่โชคดีเข้ามา มีแต่เงินทองหลั่งไหลเข้ามา บุญจงส่งผลทันใจ บุญใหญ่ส่งผลก่อน ทานอันเป็นเหตุปัจจัยแห่งโภคทรัพย์จงปรากฏ สีเลนะ ศีลอันเป็นปัจจัยแห่งโภคทรัพย์จงปรากฏ ภาวนา จิตที่สวดภาวนาบริกรรมในคาถาเงินล้านเป็นเหตุแห่งมหาโภคทรัพย์ มหาลาภจงปรากฏหลั่งไหล ทานศีลภาวนาครบ จงเปิดประตูแห่งโภคทรัพย์ให้กับข้าพเจ้าทุกคนด้วยเทอญ

จากนั้นก็ค่อยๆหายใจเข้าลึกๆช้าๆ 3 ครั้ง หายใจเข้าพุทออกโธ ครั้งที่ 2 ธัมโม ครั้งที่ 3 สังโฆ ตั้งจิตตั้งใจว่าเรามีคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ คุ้มครองรักษาจิตของเราบริสุทธิ์ จิตของเราดีงาม เราพบเจอแต่คนดีๆ พบเจอแต่กัลยาณมิตร

จากนั้นโมทนาบุญกับทุกคนที่ปฏิบัติธรรมร่วมกันในวันนี้ โมทนากับบุญกุศลภาวนากับความดี บุญอันสำเร็จขึ้นจากภาวนามัย บุญอันสำเร็จขึ้นในนิพพานสมบัติที่ตั้งจิตกันไว้เป็นบุญใหญ่ ก็ขอให้เกิดขึ้นจากโมทนานุปัจจัยนี้ด้วยเทอญ

สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน สำหรับวันนี้ก็มีเรื่องแจ้งให้ทราบ 2-3 เรื่อง คือ

1 ตัวผ้ายันต์เกราะเพชรที่เราดำเนินการ จะแจกทหารชายแดนทั้ง 4 ทิศ ชายแดนที่ตรึงกำลังฐานทัพแนวหน้า ผ้ายันต์กำลังจัดพิมพ์อยู่ แล้วก็จะมีสติ๊กเกอร์ยันต์เกราะเพชรซึ่งทางโรงพิมพ์โพธิ์ทองการพิมพ์คุณแก้ว แล้วก็ทางพนักงานบริษัททั้งหมดได้เมตตาเป็นเจ้าภาพในการจัดพิมพ์สติ๊กเกอร์ แล้วก็จะมีส่วนหนึ่งที่สามารถพอจะนำไปแจกซึ่งอันนี้แยกออกมาแยกกองออกมาต่างหาก ไม่ได้เกี่ยวกับเงินบริจาคอะไร เอามาแจกพวกเราที่ไปร่วมงานเมตตาสมาธิที่จะจัดขึ้นในวันที่ 29 มิถุนายน เดี๋ยวประมาณเปิดมาต้นสัปดาห์ก็จะประกาศเรื่องการลงทะเบียนอีกที ซึ่ง 29มิถุนายนก็เมตตาสมาธิครั้งต่อไปเต็มวันที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งแต่เช้าคือมาถึงได้ตั้งแต่ 08:00 น จนกระทั่งถึง 16:00 น ส่วนผ้ายันต์ก็เดี๋ยวขั้นตอนต่อไปก็จะได้อันเชิญไปร่วมในพิธีรับยันต์เกราะเพชรที่วัดท่าขนุน แล้วก็มีโครงการที่จะขอเมตตาหลวงปู่ศิลาท่าน ในการอัดช่วยเมตตาอธิษฐานจิตให้ แล้วก็จะมีครูบาอาจารย์รูปอื่นที่เมตตาตอบรับในการอธิษฐานจิตให้ ก็คือพระอาจารย์หนุน พระอาจารย์เอกลักษณ์ แล้วก็จะมีอีกหลายๆท่านที่เมตตาสงเคราะห์ในโครงการที่เราจะทำ อันนี้ก็ถือว่าเรื่องหนึ่ง หลังจากผ่านพิธีเมตตาอธิษฐานจิตทั้งหลายแล้ว ก็จะนำส่งนำแจกยังทหารชายแดนแนวหน้าให้เร็วที่สุด

ส่วนต่อมาก็คือเรื่องของการจัดสร้างพระเจ้าองค์แสนดวงจิตพระนิพพาน ในช่วงนี้ก็ยังรับบริจาคในการจัดสร้างอยู่ ปัจจัยในการจัดสร้างพระก็ยังใช้อยู่ แล้วก็จะมีงานหล่อบวงสรวงแล้วก็หล่อพระที่โรงหล่อพุทธปฐม จังหวัดอุทัยธานีใกล้วัดท่าซุง ในวันที่ 27 กันยายน เป็นวันเสาร์เป็นวันเสาร์ห้าพอดี ช่วงนี้ก็จะทำงานทำพิธีอะไรก็จะเกี่ยวเนื่องกับวันเสาร์ 5 เป็นหลัก ตรงนี้ก็ขอแจ้งให้ทราบ สำหรับใครที่จะร่วมถวายทองคำแท้ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้อัญเชิญทองคำไปหล่อด้วยตัวเอง พยายามอย่าฝากพยายามอย่าส่งมาทางไปรษณีย์ หรือถ้าใครอยากจะฝากไปไม่ได้จริงๆก็มามอบให้อาจารย์ในวันที่ 29 มิถุนายนในเมตตาสมาธิก็พอได้อยู่ อันนี้ก็สำหรับเรื่องที่ประชาสัมพันธ์ก็มีประมาณนี้ ก็ขอให้เราทุกคนมีร่างกายมีสุขภาพที่แข็งแรงรอดพ้นจากภัยพิบัติทั้งปวง ส่วนใหญ่พวกเราที่ปฏิบัติในห้องนี้ก็ค่อนข้างจะแคล้วคลาดปลอดภัยจากภัยพิบัติกัน ไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ที่จังหวัดที่เพื่อนบ้านน้ำท่วมเราก็รอด อันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับกุศลของการปฏิบัติ บุญรักษาคุ้มครองเราทุกคนได้

สำหรับวันนี้โมทนาบุญกับทุกคนสวัสดี

ผู้ถอดเสียงและเรียบเรียง คุณรัตนา

You cannot copy content of this page