เสียงธรรมจากห้อง “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”
วันอาทิตย์ที่ 4 พฤษภาคม 2568
เรื่อง เมตตาล้างพยาบาท
โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค
กำหนดสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม รู้กายตลอดทั้งกายตั้งแต่ศีรษะไล่ลงไปถึงปลายเท้า ทุกส่วนของร่างกายอวัยวะ เรากำหนดรู้ รู้กายเพื่อปล่อยวาง ผ่อนคลายร่างกายทุกส่วน ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วน พร้อมกับความรู้สึกที่เราปลดปล่อยความเกาะเกี่ยวในผัสสะ ปล่อยวางร่างกายขันธ์ห้า แยกรูปแยกนาม แยกกายแยกจิต ผ่อนคลายปล่อยวางกาย ผ่อนคลายปล่อยวางขันธ์ห้า จิตเบาสบาย ปล่อยวางความวิตกกังวล ปล่อยวางทั้งร่างกาย ปล่อยวางทั้งจิตใจ ผ่อนคลายปล่อยวาง
สติกำหนดรู้จดจ่ออยู่กับความรู้สึกที่เราปล่อยวาง จิตกำหนดรู้ว่า เมื่อวาง เราเบา วางแล้วจิตสบาย จิตเรียนรู้ เกิดปัญญาจากการปล่อยวาง ยิ่งยึดยิ่งกังวลยิ่งทุกข์ ยิ่งเกาะกายมากยิ่งทุกข์ ผ่อนคลายปล่อยวางตัดร่างกายขันธ์ห้า เป็นทั้งวิปัสสนาญาณ เป็นเทคนิคการที่เราฝึกให้จิตวางกายเพื่อเข้าสู่ฌานสู่ความสงบ
กำหนดรู้ว่าทั้งสมถะและวิปัสสนารวมกันเป็นหนึ่ง วางกาย ตัดกาย ทิ้งกาย วางภาระ ปล่อยวาง จิตเข้าถึงความสงบ เมื่อเราปล่อยวางจนจิตของเราสงบ กำหนดรู้ว่าในการปฏิบัติธรรม การปล่อยวางร่างกายก็คือการตัดขันธ์ห้า
การปล่อยวางภาระของใจ เรียกว่า “ปลิโพธ” ซึ่งครอบคลุมไปถึงการตัดละวางนิวรณ์ทั้งห้าออกไปจากจิต
เมื่อจิตของเราสงบดีแล้ว เรามาจับลมหายใจ การปล่อยวาง การละวางทั้งกายและจิต ก็จะช่วยส่งเสริมสมถะในอานาปานสติ ให้มีความง่ายความเบาความละเอียดขึ้น
กำหนดจินตภาพเห็นลมหายใจเป็นเหมือนกับแพรวไหม พลิ้วผ่านเข้าออกในกาย ลมหายใจละเอียดเบาสบาย สติกำหนดรู้ จดจ่ออยู่กับลมหายใจตลอดสายตลอดทั้งกองลมนั้น ลมหายใจละเอียดก็รู้ว่าละเอียด ลมหายใจของเราสงบเบาก็รู้ว่าสงบเบา
จิตเกิดปัญญารู้เมื่อลมหายใจสบาย อารมณ์คือเวทนาก็มีความเบาสบายตามไปด้วย ลมปราณสัมพันธ์จิตใจ ลมหายใจยิ่งละเอียดเบา อารมณ์จิตเรายิ่งเข้าถึงความเบาสบาย
ความเบาสบายจากอานาปานสตินี้ ก็คือตัวสุขในองค์แห่งฌาน อันได้แก่ วิตก วิจาร ปีติสุข เอกัคคตา
จิตจดจ่อตั้งมั่นอยู่กับลมสบาย คือความสุขของความสงบ ลมหายใจยิ่งละเอียดลงเบาลงสงบลง จิตกำหนดรู้ สติ กำหนดว่า จิตของเราเข้าสู่สมาธิ เข้าสู่ความสงบ อยู่กับความสงบสุขของใจ ทรงอารมณ์ทรงสภาวะไว้ ให้จิตได้พักจากความวุ่นวายความฟุ้งซ่านการปรุงแต่ง อยู่กับความสงบสบายของลมหายใจ ของสมาธิที่มีความละเอียดความเบานี้
เมื่อจิตเข้าถึงความสงบความสบาย บางคนเมื่อเข้าสู่สภาวะนี้ ก็อาจจะมีความเพลิดเพลิน อยากที่จะอยู่ในสภาวะที่ใจเราได้พักแบบนี้นานๆ จนไม่อยากออกจากสมาธิ ตรงจุดนี้ก็ถือว่าเราทำในระยะเวลาพอประมาณ ไม่เป็นการติดฌาน คือติดสมาธิ ติดสุขของสมาธิ จนจิตไม่ก้าวหน้าไม่เคลื่อนต่อ ส่วนจะเคลื่อนการเดินจิต เดินฌาน เดินสมาบัติ ให้เข้าสู่สมาบัติเข้าสู่สมาธิที่สูงขึ้น เราก็กำหนดจากจิตที่มันเบา อารมณ์จิตสบาย กำหนดมาอยู่กับตัวหยุด นิ่ง หยุดจิต หยุดจิตหยุดการปรุงแต่ง หยุดความคิดทั้งหลาย เข้าสู่เอกัคคตารมณ์ นิ่ง หยุด สงบ
เมื่อจิตที่หยุด ทรงในฌานสี่ในอานาปานสติ ซึ่งเป็นฌานสี่ใช้งานมีความทรงตัวดีแล้ว เราก็กำหนดเดินจิตขึ้นจากอานาปานสติ ก้าวขึ้นไปยังกสิณ จากจุดที่หยุด กำหนดว่าจากจุดขยายกลายเป็นเส้นวงกลม เส้นวงกลมก็ถือว่าเป็นสองมิติ ขยายขึ้นจากจุดกลายเป็นวง จากวงกำหนดน้อมนึกในจิตให้กลายเป็นดวง คือกลายเป็นทรงกลม กลายเป็นดวงแก้ว การที่จิตสามารถนึกภาพกำหนดภาพที่เป็นสามมิติได้ อันที่จริงถือว่าเป็นเรื่องยากสำหรับบางบุคคล
การที่เรากำหนดภาพนิมิตดวงแก้วได้ บางคนที่ไม่เคยฝึกไม่เคยปฏิบัติมาก่อน ก็ไม่สามารถทำได้ หรือนึกได้แต่ไม่สามารถที่จะทรงภาพ คือทรงนิมิตให้มีการทรงตัว คือนึกให้ภาพเกิดขึ้นต่อเนื่องยาวนานได้ อันนี้ขึ้นอยู่กับระดับของสมาธิความตั้งมั่น
ตอนนี้เรากำหนดให้เห็นภาพ ดวงแก้วสว่าง ขั้นตอนต่อไปก็คือ กำหนดเชื่อมระหว่างภาพนิมิตกับดวงจิตของเรา
วิธีการก็คือกำหนดนึกในจิตว่า จิตของเราเป็นหนึ่งเดียวกับภาพนิมิตที่ปรากฏขึ้น ภาพนิมิตที่เรากำหนดนึก ผ่องใสมากเท่าไร จิตของเราก็ผ่องใสมากเท่านั้น ภาพนิมิตมีความเป็นทิพย์ คือเป็นเพชรระยิบระยับแพรวพราว จากกำลังของปฏิภาคนิมิต คือฌานสี่ในกสิณมากเพียงใด จิตเราก็ประภัสสร มีกำลังของอภิญญาจิต มีกำลังของความเป็นทิพย์มากขึ้น สัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกับภาพนิมิต ที่เรากำหนดขึ้นในจิต ซึ่งอันที่จริงเคล็ดลับเคล็ดวิชชาของกสิณ ซึ่งกสิณนั้นถือว่าเป็นบาทฐานของอภิญญาใหญ่
เคล็ดลับที่สำคัญก็คือ บุคคลทั่วไปที่ฝึกกสิณ นึกภาพนิมิตของกสิณก็รู้สึกว่า นิมิตกสิณเป็นดวงที่อยู่ภายนอก แต่กว่าที่จิตจะสามารถเข้าใจและเชื่อมโยงให้จิตเป็นหนึ่งเดียวกับกสิณ กสิณมีอานุภาพแห่งอภิญญาเพียงใด จิตเราเมื่อเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว อภิญญาหรือฤทธิ์ของกสิณก็ปรากฏขึ้น จิตเราก็เกิดความศักดิ์สิทธิ์ขึ้น ดังนั้นคนที่เล่นกสิณ ฝึกกสิณไปเป็นสิบปี ยี่สิบปี ไม่เกิดผล ก็เนื่องจากการที่ไม่ได้เชื่อมโยงให้จิตเป็นหนึ่งเดียวกับกสิณ
ดังนั้นถ้าเราเข้าใจ “เอกัคคตารมณ์” คือจิตเป็นหนึ่งเดียว
จิตเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งใด จิตเราก็หยั่งเข้าถึงสิ่งนั้น เข้าถึงพลังของสิ่งนั้น
กรณีที่เรากำหนดจิต เชื่อมโยงระหว่างจิตของเรากับภาพนิมิตของกสิณ นั่นก็คือจิตเราเป็นเอกัคคตารมณ์กับดวงกสิณที่เรากำหนดขึ้น จิตเป็นหนึ่งเดียวเป็นหนึ่งเดียวกัน ถ้าเข้าใจหลักเรื่องเอกัคคตารมณ์ เราก็จะสามารถกำหนดเชื่อมโยงยกขึ้นไปสูงขึ้นไปได้ตามลำดับ
เอกัคคตารมณ์ในองค์ฌานของอานาปานสติ จิตเป็นหนึ่ง หยุดจิต เอกัคคตารมณ์ จิตเป็นหนึ่งเดียวกับกสิณ ถ้าพิจารณาฝึกทำความเข้าใจแยกย่อยต่อไปก็คือ เวลาจะใช้ฤทธิ์อภิญญา เวลากำหนดกสิณลม จิตเราเป็นหนึ่งเดียวกับสายลม เข้าถึงพลังแห่งลม เข้าถึงศักยภาพการพัดพาของลมนั้น สามารถสัมผัสถึงทิศทางของกระแสลม บังคับควบคุมลม เพราะเราเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งนั้น อันนี้เป็นการยกตัวอย่างให้เข้าใจ จะได้เข้าใจในการปฏิบัติได้ลึกซึ้งขึ้น
คราวนี้ต่อมาเมื่อเรากำหนดจิตเชื่อมโยงกับนิมิตของกสิณ เมื่อสักครู่เรากำหนดเป็นดวงแก้วใส แต่อันที่จริงจุดหรือนิมิตที่เราต้องการในกสิณก็คือปฏิภาคนิมิต จุดที่เราต้องการก็คือ เห็นจิตคือกสิณนั่นแหละ เป็นดวงเพชรลูกมีความแพรวพราวระยิบระยับ คือมีความประภัสสรพร้อมกับมีเส้นแสงรัศมีของจิต แผ่สว่างกระจายออกมา เลยพ้นจากเส้นแสงรัศมีของจิตจากดวงกสิณ พ้นเขตออกไปก็เป็นสภาวะแห่งความเป็นทิพย์ บรรยากาศแห่งความเป็นทิพย์คลุมไกลเป็นชั้นที่สาม มีสภาวะเหมือนชั้นบรรยากาศ มีความพร่างพราย มีกากเพชรโปรยปลายในชั้นบรรยากาศ
จากนั้นเมื่อกำหนดภาพกสิณครบถ้วนเต็มกำลัง เราก็ทรงภาพสภาวะจิตเป็นเพชรประกายพรึกจิตประภัสสร มีเส้นแสงรัศมีของจิต พ้นออกใบมีสภาวะความเป็นทิพย์พร่างพรายคลุมอยู่ และภาพนิมิตสัมพันธ์กับอารมณ์ใจ
อารมณ์ใจก็คือ ยิ่งสว่างจิตเรายิ่งเอิบอิ่มเป็นสุขเปี่ยมพลัง จิตยิ่งสว่างยิ่งเป็นสุข จิตยิ่งสว่างยิ่งเปี่ยมบุญ รัศมีกายหรือแสงสว่างของจิต ยิ่งไกลมากสว่างมาก ยิ่งเป็นจิตของผู้มีบุญญาฤทธิ์
เรากำหนดว่าจิตเราเป็นสุข จิตเราผ่องใส จิตเราสว่าง กำหนดทรงสภาวะทรงภาพนิมิตนี้ไว้ เพื่อให้จิตเราเกิดกำลังที่ทรงตัว ทรงความผ่องใสเต็มกำลัง ยิ่งผ่องใส ยิ่งสว่าง ยิ่งเป็นสุข จิตยิ่งประภัสสร จิตยิ่งเป็นสุข ในขณะที่เราทรงสภาวะทรงฌานสมาบัติในกสิณ บุญก็ปรากฏขึ้น บุญบารมีจากการเจริญพระกรรมฐานที่มีความสว่าง ที่มีกำลังสูง ก็ปรากฏขึ้น เทวดาพรหมท่านก็มาบันทึกบุญ ท่านก็มาบอก อย่างเทวดาพรหมในภพในภูมิให้โมทนาบุญกับมนุษย์ ที่ใฝ่ในกุศลในความดี เราก็กำหนดจิตทรงสภาวะทรงฌานทรงความผ่องใสประภัสสรของจิต ในขณะเดียวกันก็กำหนดรู้ว่าในขณะที่เราทรงฌาน จิตเราทรงไว้ในกุศลจิต จิตเราไม่มีอกุศล จิตเราไม่ได้ล่วงละเมิดผิดศีล จิตเราในขณะจิตนี้ในสภาวะที่เราทรงอารมณ์เช่นนี้ จิตสะอาดบริสุทธิ์จากกิเลส คือความรักโลภโกรธหลงทั้งปวง
กำหนดสงบนิ่งผ่องใส ช่วงระยะเวลาที่เราฝึกนานเท่าไร สมถะจะเป็นวิปัสสนาได้ก็คือ พิจารณาว่า เวลายาวนานเท่าไรที่เราทรงฌานสมาบัตินี้ เรากำลังฝึกให้จิตเราห่างจากกิเลส จืดจากกิเลส ความอยากไม่มีในจิตของเรา ความคิดร้ายความคิดเบียดเบียนประทุษร้ายผู้อื่นไม่มีในจิตเรา มีเพียงแต่กุศล มีแต่ความผ่องใส มีแต่จิตอันเป็นสุข จิตยิ่งสว่างยิ่งเป็นสุข ยิ่งเปี่ยมบุญ บุญยิ่งเพิ่มพูนขึ้น จากอานิสงส์แห่งการเจริญพระกรรมฐาน บุญเพิ่มพูนขึ้นจิตยิ่งสว่างขึ้น
ตอนนี้ให้เราเร่งกำลังบุญ อันนี้ถือว่าเร่งกำลังบุญหรือกลั่นจิต
กำหนดและทรงอารมณ์ เห็นจิตประภัสสรสว่าง เป็นเพชรระยิบระยับมีรัศมีสว่างไกลออกไป กำหนดน้อมนึกในจิตบริกรรม “จิตยิ่งสว่างขึ้น บุญยิ่งเพิ่มพูนขึ้น” “จิตยิ่งสว่างขึ้น บุญยิ่งเพิ่มพูนขึ้น” พร้อมกับความรู้สึกที่สัมผัสได้ว่า แสงสว่างของจิตยิ่งสว่างขึ้นในทุกคำบริกรรม รัศมีของจิตยิ่งแผ่ไกลมากขึ้นในทุกคำบริกรรม
ทรงอารมณ์ ทรงสภาวะ ทรงภาพดวงจิตกสิณไว้
จิตยิ่งสว่างขึ้น บุญยิ่งเพิ่มพูนขึ้น
จิตยิ่งสว่างขึ้น บุญยิ่งเพิ่มพูนขึ้น
จิตยิ่งสว่างขึ้น บุญยิ่งเพิ่มพูนขึ้น
ยิ่งสว่างจิตเรายิ่งเป็นสุข จิตเรายิ่งยิ้ม จิตเรายิ่งยินดีในกุศล ยินดีในแสงสว่างแห่งธรรม แสงสว่างแห่งบุญทานภาวนา บุญกุศลทั้งหลาย ในขณะที่ทรงฌาน บุญยิ่งมารวมตัวกัน บุญยิ่งเพิ่มพูนขึ้น จิตยิ่งสว่างขึ้น
จิตยิ่งสว่างขึ้น บุญยิ่งเพิ่มพูนขึ้น พร้อมกับความรู้สึกว่า แสงสว่างของบุญที่แผ่ออกไป จิตเราแผ่เป็นกระแสของเมตตาอันไม่มีประมาณ จิตละเอียดปราณีต ปรารถนาดีเมตตาต่อสรรพสัตว์อย่างไร้เงื่อนไข
จิตเรายกสภาวะที่สูงขึ้น จิตยิ่งสว่างขึ้น บุญยิ่งมากเพิ่มพูนขึ้น
จิตยิ่งสว่างขึ้น กระแสเมตตาอันไม่มีประมาณยิ่งล้นเหลือมากมายขึ้น
พลังงานจากจิตแสงสว่าง กระแสบุญกระแสเมตตาจากจิต ที่เราทรงอารมณ์อยู่นี้มากมายเพิ่มพูน ประดุจดวงอาทิตย์ทั่วทั้งจักรวาลมารวมกัน บุญยิ่งเพิ่มพูนขึ้น กุศลยิ่งมากมายขึ้น แสงสว่างของจิต ยิ่งสว่างมากเท่าไร กำลังบุญกำลังเมตตายิ่งเพิ่มพูนขึ้น จิตยิ่งยกระดับสู่พลังงานฝ่ายกุศลที่มากขึ้น
เมื่อเราทรงอารมณ์ทรงสภาวะเช่นนี้แล้ว ก็อธิษฐานซ้ำไปอีกว่า และขอให้กำลังบุญของเรานี้ช่วยคุ้มครองตน คุ้มครองคนรอบข้าง กัลยาณมิตร ญาติธรรมทั้งหลาย ตลอดรวมจนถึงเป็นกำลังบุญคุ้มครองโลก คุ้มครองชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จิตยิ่งสว่างขึ้น ยิ่งเกิดกำลังบุญเพิ่มขึ้น บุญยิ่งเพิ่มพูนมากเท่าไร บุญก็สลายวิบากกรรม พัดพาให้วิบากกรรมอกุศลบาปเคราะห์ทั้งหลายห่างหายไปจากชีวิตของเรา
จิตยิ่งสว่างขึ้นใสขึ้น จิตยิ่งละเอียดขึ้น จิตยิ่งเคยชินกับความผ่องใส เคยชินกับบุญกุศลมากขึ้น
เมื่อกำหนดทรงฌานจนมีอารมณ์สว่างสมบูรณ์เต็มที่แล้ว เราก็อธิษฐานจิต ขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ กำหนดน้อมภาพองค์พระ มีกำลังแห่งพุทธานุภาพมาสถิตอยู่กลางดวงแก้วดวงจิตของเรา ณ บัดนี้ ตั้งใจว่าเมื่ออาราธนาภาพองค์พระคือ พุทธนิมิตไว้ที่จิตของเรา จิตของเราน้อมมาเป็นไตรสรณคมน์ เข้าถึงคุณพระพุทธเจ้า จิตเข้าถึงกำลังแห่งพุทธานุภาพ กำลังแห่งพุทธานุภาพ อาราธนารวมลงจิตของข้าพเจ้า
สรรพธรรมะ คือ ธรรมทั้งหลายอันประเสริฐ ธรรมทั้งหลายอันเป็นปัญญาเครื่องรู้แห่งมรรคผลพระนิพพาน ขอจงมาสถิตอยู่ในจิตใจของข้าพเจ้า
สังฆานุภาพ กำลังกุศลความเมตตาการสงเคราะห์ ของครูบาอาจารย์ พระอริยเจ้า พระอริยสงฆ์ทุกๆพระองค์ ก็ขอมาสถิตอยู่ในจิตในใจของข้าพเจ้า กำหนดน้อมว่าเมื่อไรที่เราทรงภาพพระ จิตเราเข้าถึงไตรสรณคมน์อย่างลึกซึ้งแท้จริง เมื่อองค์พระมาอยู่ในจิตเรา กำหนดอธิษฐานว่า ขอให้ฉัพพรรณรังสีของพระพุทธองค์ แผ่สว่างให้จิตของเราขณะนี้ ยิ่งสว่างขึ้นไปอีก ผ่องใสขึ้นไปอีก รัศมีของจิตยิ่งสว่างกว้างไกลออกไปอีก ด้วยเหตุที่มีกำลังแห่งพุทธานุภาพมาสถิตรักษาในจิตของเรา
จากนั้นกำหนดจิตต่อไปว่าเมื่อจิตของเรามีกำลังแห่งพุทธานุภาพแล้ว เราทรงสภาวะทรงอารมณ์ เพื่อให้จิตนั้นได้มีการฝึกฝน และเป็นวสี ในการที่เราจะตั้งมั่นในฌานสมาบัติ ฌานอารมณ์กรรมฐานไม่มีอาการสัดส่ายแกว่งขึ้นลง แต่มีความเสถียรคือตั้งมั่นต่อเนื่องราบรื่น ทรงอารมณ์ได้อย่างเสถียร สว่าง จิตของเราสว่างองค์พระสว่างรัศมีกายสว่าง จิตรู้สึกถึงความเปี่ยมพลัง จิตรู้สึกถึงความเปี่ยมสุข ปิติล้นจิตล้นใจ จิตเอิบอิ่มผ่องใสเป็นสุขอย่างที่สุด บุญคือความอิ่มใจสุขใจ
ดังนั้นจะให้จิตเรามีกำลังบุญเต็มที่ จิตเราก็ต้องเข้าถึงความอิ่ม ความสุข ความปิติยินดี อย่างล้นจิตล้นใจ
จำไว้ว่าเวลาที่มีพลังที่สุดก็คือจิตอิ่มใจปิติเป็นสุขที่สุด เพราะตอนนั้นขณะนั้นขณะจิตนั้น จิตเราเปี่ยมบุญที่สุด พอเปี่ยมบุญที่สุดระยะเวลานั้นถ้าเรายกถวายทาน ทานนั้นก็มีกำลังของจิตกำลังของความปิติ บุญก็มากกว่าการยกถวายทานในขณะที่จิตเศร้าหมอง
ดังนั้นกำลังบุญยิ่งมาก คนมีบุญจึงมีราศีมีใบหน้าที่ยิ้มผ่องใส เรียกว่าใบหน้าของผู้อิ่มบุญ
ตอนนี้ก็ให้เราทรงอารมณ์ทรงสภาวะทรงภาพองค์พระสว่างไว้ จิตเป็นสุขอย่างที่สุดผ่องใสอย่างที่สุด เปี่ยมพลัง รู้สึกถึงว่าจิตของเราตอนนี้เปี่ยมพลังที่สุด สว่างเจิดจ้าที่สุด มีองค์พระเป็นหลักชัยอยู่ภายในจิต
จากนั้นกำหนดอาราธนาขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ขอยกจิตข้าพเจ้าขึ้นไปบนพระนิพพาน อยู่ท่ามกลางมหาสมาคม มีสมเด็จองค์ปฐมทรงเป็นประธาน ท่ามกลางพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทุกพระองค์ด้วยเถิด
จากนั้นพุ่งจิตขึ้นไปด้วยกำลังมีความรู้สึกว่าพุ่งไปด้วยกำลัง มีความชัดเจนไปปรากฏสภาวะเป็นกายพระวิสุทธิเทพ อยู่เบื้องหน้าสมเด็จองค์ปฐมและทุกท่านทุกๆพระองค์บนพระนิพพาน
จากนั้นกำหนดจิตกราบสมเด็จองค์ปฐม กราบพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ด้วยความนอบน้อม ด้วยความเคารพ ด้วยจิตอันผ่องใส เมื่อกราบแล้วเราก็กำหนดจิต พิจารณาในสภาวะแห่งการเป็นกายพระวิสุทธิเทพ ตั้งกำลังใจว่าเราปฏิบัติธรรม เราปฏิบัติเพื่อมรรคผลพระนิพพาน ต้องการที่สุดของการปฏิบัติ ตายเมื่อไร เราขอเข้าพระนิพพานชาตินี้ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเราในสังสารวัฏ ดังนั้นจิตของเรามีความนอบน้อม มีความแนบอยู่กับคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ จิตของเรามีความแนบ มีความเคารพ มีความยินดี ธรรมฉันทะ พึงพอใจอยู่กับพระนิพพาน
กำหนดในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพรู้สึกว่ากายประกอบไปด้วยเครื่องประดับเช่นไร มีสภาวะเช่นไร มีความใสมีความสว่างของกาย
พิจารณาเทียบระหว่างกายหยาบกายเนื้อหรือขันธ์ห้า กับกายที่เป็นกายทิพย์คือกายพระวิสุทธิเทพ เห็นความหยาบ
ตอนนี้ก็ถือว่าเป็นการพิจารณาในกายคตาบนพระนิพพาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปรียบเทียบกันระหว่างขันธ์ห้ากายหยาบ กับกายที่เป็นทิพย์ที่บริสุทธิ์หมดจด เป็นกายพระวิสุทธิเทพ
เราก็พิจารณาดูกายเนื้อของเรา กายเนื้อกายหยาบ มีความทึบตัน มีความหยาบกว่า ข้างในก็มีแต่อาการทั้ง 32 โครงกระดูก ม้าม ตับไตไส้พุงทั้งหลาย มีแต่สิ่งปฏิกูล ดังคำที่ท่านพิจารณาเปรียบเทียบ พระท่านพิจารณาเปรียบเทียบท่านบอกว่า ร่างกายขันธ์ห้าเป็นเหมือนถุงหนังที่ภายนอกอาจจะดูสวย แต่ภายในบรรจุแต่สิ่งที่เป็นปฏิกูล คือของสกปรก อวัยวะเครื่องใน เลือดเนื้อทุกอย่าง จริงๆก็ถือว่าเป็นของไม่สะอาด หรือแม้แต่สิ่งที่เป็นปฏิกูลอย่างแท้จริง เช่นอุจจาระ ปัสสาวะ น้ำมูก น้ำเมือก อาหารเก่า อาหารใหม่ อวัยวะทุกส่วนนั้น มันก็เป็นสิ่งปฏิกูล แต่กายพระวิสุทธิเทพนั้นใสสว่าง เป็นแสง ไม่มีมลทิน ไม่มีสิ่งที่เป็นปฏิกูลใดๆ เราก็เห็นกาย เพื่อปล่อยวางร่างกาย
ในการตัดกิเลสก็ดี ตัดสังโยชน์ก็ดี ตัดร่างกายขันธ์ห้าก็ดี พระท่านสอนว่า ถ้าเราไม่เห็นโทษไม่เห็นภัย เราก็จะไม่มีปัญญา หรือไม่มีความปรารถนาที่จะตัด เราก็จะหลงคิดว่ามันเป็นของดีของสวยงามอยู่ แต่ถ้าเมื่อไรเราพิจารณาเห็นโทษของการมีร่างกายนี้ เห็นโทษของการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ เห็นโทษจากการที่เรายังห่วงยังเกาะยังยึดอยู่กับโลก อยู่กับโลกธรรม คือมีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มีสุข มีทุกข์ มีสรรเสริญ มีนินทา เราหวั่นไหวไปใจเราก็ทุกข์ เสื่อมลาภเสื่อมยศเราก็ทุกข์ ถูกนินทาว่าร้ายเราก็ทุกข์ เสื่อมจากคำชมคำสรรเสริญเราก็ทุกข์ ดังนั้นเรากำหนดพิจารณาปล่อยวางทุกสรรพสิ่ง ปล่อยวางกาย ปล่อยวางเรื่องราวในสังสารวัฏ ปล่อยวางอดีต ปล่อยวางความอาฆาตพยาบาท
อย่างการพิจารณาตัดโทสะความโกรธ เรากำหนดพิจารณาอยู่บนพระนิพพานขณะนี้ว่า ถ้าเราเข้าถึงพระนิพพานแล้ว เราจะไปโกรธคนอื่นอีกไหม เราอยู่บนพระนิพพานขณะนี้แล้ว ถ้าให้เราทิ้งพระนิพพานกลับลงไปจุติไปเกิด เพื่อทวงแค้นตามแรงอาฆาตแค้น ที่เราเคยมีมาก่อนกับใครคนใดคนหนึ่งก็ตาม เราลองคิดพิจารณาดูว่า มันเป็นเรื่องสมควรไหม จริงๆแล้วความโกรธความอาฆาตแค้นความพยาบาท มันไม่ได้ทำร้ายบุคคลที่เราอาฆาตแค้น แต่ที่จริงความอาฆาตแค้นความพยาบาทการจองเวร คือไฟที่เผาจิตของเราในขณะที่เรารู้สึกเครียดแค้นบุคคลนั้น ก่อชาติภพให้เกิดขึ้นกับเรา หรือในการตามไปเกิด ตามไปจุติ ตามไปจองล้างจองผลาญ ดังนั้นคนที่ทุกข์ที่สุด เกิดวิบากกรรมที่สุด ก่อภพก่อชาติมากที่สุด ก็คือ จิตของบุคคลที่อาฆาตแค้นพยาบาทนั้นเอง
เมื่อเราพิจารณาเห็นโทษภัยในความอาฆาตแค้นในความพยาบาททั้งหลายแล้ว เราก็ปล่อยวาง อโหสิกรรม ดับ ให้อภัยทาน ดับพยาบาท ดับโทสะ และอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ เมื่อไรเราดับความพยาบาทให้มันเบาบางลง มันจะเป็นการพัฒนายกระดับจิตของเรา ว่าจิตของเรานั้นดับความอาฆาต ดับความพยาบาท จิตเราก็ยกระดับกว่าคนที่เขาจมอยู่กับความเครียดแค้นความเศร้าหมอง จากการถูกแผดเผาด้วยไฟของความโกรธ จิตเราพ้นขึ้นมา
ตอนนี้เราอยู่บนพระนิพพาน เราก็วาง เราก็ฝึกตัด ฝึกดับ ความอาฆาตแค้นพยาบาทโทสะทั้งปวง ใครเคยทำ ใครเคยเอาเปรียบเราไว้ ใครเคยกลั่นแกล้งเราไว้ ใครเคยทำร้ายร่างกายจิตใจของเรา เราปล่อยวางทิ้งให้หมด เพื่อให้ใจของเราพ้นจากพันธนาการ ของความแค้นความทุกข์ความเศร้าใจนั้น เรายกจิตเราขึ้นว่าจิตเราสูง สูงเกินกว่าจะไปแก้แค้นจะไปอาฆาตพยาบาท ดังนั้นภูมิของจิตจะสูงขึ้นจากการที่เราตัดกิเลส ตัดความอาฆาต ตัดโทสะ ตัดความพยาบาท ยกจิตเราขึ้น ตอนนี้เราอยู่บนพระนิพพาน มีจิตที่สามารถอโหสิกรรมได้ก็อโหสิกรรม
แล้วก็กำหนดรู้ในภาพรวม ในยามที่จิตของใครคนใดคนหนึ่งมีความอาฆาตแค้น มันก็ส่งพลังงานด้านลบกับโลกใบนี้ กระแสของความพยาบาทยิ่งเข้มข้นรุนแรงมากเท่าไร มันก็ก่อให้เกิดพลังงานมวลรวมฝ่ายอกุศลบนโลก แล้วก็ดึงให้เกิดภัยพิบัติเกิดขึ้น ในขณะเดียวกัน การที่จิตของบุคคลหนึ่งตัดความพยาบาททั้งปวงออกไปได้ กรรมทั้งหลายวิบากทั้งหลายจากการที่ถ้าไม่ ละ ตัดความพยาบาท ตัวเองก็จะไปก่อกรรมฝ่ายอกุศลอีกมากมาย อีกหลายชาติภพ ก่อภพก่อชาติ แต่การตัดความพยาบาทตัดการจองเวรทั้งหลาย มันเท่ากับบุคคลนั้นตัดกรรมที่จะก่อในอนาคต ตัดชาติภพที่ตัวเองจะต้องไปเกิดอีกมากมายมหาศาล ดังนั้นสิ่งเล็กๆที่บางคนไม่ตระหนักถึงว่ามีผลมีอานิสงส์ต่อตนเองมากมาย ก็คือ การให้อภัยทาน การอโหสิกรรม
เมื่อเราพิจารณาครอบคลุมเข้าใจรอบรู้แล้ว เราก็ตั้งใจว่าเราจะวาง เราจะเลิกเป็นคนที่พยาบาทอาฆาตแค้น เราจะให้อภัยได้เร็ว เราจะอโหสิกรรมให้ได้เร็วมากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ ดับความแค้นความโกรธ จากการถูกเบียดเบียนทั้งปวงออกไป
กำหนดใจของเราให้ผ่องใสสว่าง ตอนนี้จิตของเราเป็นอย่างไรบ้าง คลายความแค้น ดับความโกรธ ไฟโทสะเมื่อไม่ใส่เชื้อแห่งการปรุงแต่งในความเครียดแค้น เชื้อเพลิงไม้ฟืนที่เติมไปในกองไฟของโทสะ มันก็น้อยลง จนในที่สุดมันก็ดับไป ค่อยๆมอดไปจากจิตของเราในที่สุด ตอนนี้มันอาจจะยังดับไม่ทั้งหมด มันก็เป็นเหมือนถ่านที่สามารถคุขึ้นมาได้ ในยามที่ถูกกระทบถูกกระตุ้น แต่อย่าให้เปลวเพลิงมันแผดเผาเจิดจ้ามาเผาใจของเราได้
ตอนนี้เราก็กำหนด ตัดความอาฆาตพยาบาทจองเวรทั้งปวง อโหสิกรรมให้อภัย ใจเรายกขึ้น จิตเรายกขึ้น เพื่อจุดนี้ก็จะได้เป็นกำลังในการลดพลังงานหรือกระแสฝ่ายอกุศล กระแสของการเป็นเจ้ากรรมนายเวร แล้วอีกอย่างหนึ่งที่เป็นเรื่องของภาคโลกทิพย์ ความเป็นทิพย์ จิตอยู่ในอารมณ์ใดก็ดึงดูดจิตประเภทเดียวกันเข้ามา
ดังนั้นการที่จิตเราเป็นจิตที่มีแต่ความอาฆาตแค้น รู้ไหมว่าจิตที่มีแต่ความอาฆาตแค้น มันตรงกับลักษณะของจิตที่เรียกว่าประเภทใด จิตของเจ้ากรรมนายเวร เจ้ากรรมนายเวรเขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรเพราะความอาฆาตแค้น เมื่อเรามีอุปนิสัยเจ้ากรรม เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น เป็นคนที่มีจิตอาฆาตพยาบาท คลื่นจิตเราเป็นคลื่นความถี่เดียวกันกับเจ้ากรรมนายเวร เพราะเราเป็นเจ้ากรรมนายเวรคนอื่น ดังนั้นในขณะนั้น จิตเราก็ดึงเจ้ากรรมนายเวรคนอื่นที่เขาจ้องจะเล่นงานเราเข้ามาหาเราด้วยเช่นกัน
ดังนั้นการที่เราจะแก้กรรมในเรื่องเจ้ากรรมนายเวร จุดสำคัญก็คือเราต้องมาอยู่ในคลื่นความถี่เดียวกันกับเขาซะก่อน ก็คือเราต้องอโหสิกรรม เราต้องให้อภัยทาน เราต้องเลิกเป็นคนที่มีความอาฆาตพยาบาทจองเวรก่อน ตรงนี้ได้ไหม เข้าใจนะ
แล้วทำอย่างไรถึงจะให้เกิดบุญกุศลขึ้น เกิดความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตเราขึ้น เราก็ไปอยู่ในคลื่นความถี่ฝ่ายกุศล คือจิตรู้สึกถึงกระแสเมตตาที่แผ่จากใจเราตลอดเวลา พอจิตเราแผ่เมตตาแผ่กระแสตลอดเวลาที่เป็นกุศล ผลลัพธ์ก็คือเราก็อยู่ในคลื่นความถี่ของพรหม พรหมท่านได้อานิสงส์ในการจุติเป็นพรหมจากการได้ฌานสี่ ได้ฌานทั้งสี่ คือฌานหยาบฌานละเอียด 1 2 3 4 ไล่ขึ้นไป แล้วก็จากการที่เจริญพรหมวิหาร คือ เจริญเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขา ดังนั้นเมื่อไรที่จิตเราอยู่ในย่านความถี่ที่มีแต่กระแสเมตตาอยู่ตลอดเวลา ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็คือ เราก็ดึงดูดพรหม คือถือว่าเป็นเทวดาที่มีฤทธิ์มากกว่าเทวดาทั่วไป คือ สูงเป็นชั้นพรหม มาอยู่ใกล้มาดูแลรักษาเรา
ดังนั้นเราจะอยู่ในย่านของบุญกุศล จิตเราก็ต้องอยู่ในกุศลให้ได้ก่อน
อันนี้ก็ขอเล่าเสริมในเรื่องของกระแสของเมตตา ในสมัยที่อาจารย์บวชเป็นพระใหม่ เป็นพระนวกะตั้งแต่ช่วงยังหนุ่ม ตอนนั้นก็ปฏิบัติด้วยตัวเองจะค่อนข้างมาก แต่ว่าโชคดีปฏิบัติถูกทาง คือเน้นเรื่องเมตตา เพราะเห็นว่าได้ผลอานิสงส์สูง ตอนนั้นก็ทำง่ายที่สุดฝึกง่ายที่สุดก็คือ ตั้งใจแค่อย่างเดียว ทุกครั้งที่ก้าวเท้าลงจากกุฏิ เราจะแผ่เมตตา คือ ภาวนาบริกรรม คือก้าวซ้ายก็สัพเพสัตตา อัพยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ภาวนาแค่นี้ตลอดเวลา
แต่ผลที่เกิดขึ้นก็คือทำแค่แบบนี้ แต่เวลาไปบิณฑบาตเราก็สัพเพสัตตาไปตลอดทาง ถึงเวลาก็ญาติโยมเขาก็ใส่บาตรเรียกว่าล้นจนหอบ บาตรต้องไปเปลี่ยนเป็นบาตรใหญ่กว่าบาตรปกติ เป็นบาตรไซส์ใหญ่สุด แล้วบิณฑบาตมาก็หิ้วสองมือ สองแขนพร้อมย่ามกลับวัดทุกวัน เดินไปบิณฑบาตมีบางครั้ง เดินบิณฑบาตอยู่มีนกมาเกาะที่ไหล่ โดยที่เขามาบินมาเกาะโดยที่เราก็เดิน ไม่ได้เรียกอะไร เราก็สัพเพสัตตาไป เขาก็มาหามาเกาะ แล้วคราวนี้ญาติโยมเขาเห็นว่า พระองค์นี้เดินบิณฑบาตมีนกมาเกาะ เกาะเดินไปด้วย คราวนี้ก็ลือกันใหญ่ กลายเป็นว่าคนใส่บาตรเยอะขึ้น หรือการแผ่เมตตาง่ายๆแค่นี้ เวลาช่วงที่บวชใหม่ไปธุดงค์ มันก็ยังมีสัตว์ที่เขาเข้ามาหา
มีหนหนึ่งไปธุดงค์ที่ดอยแม่สลอง เดินไปคนเดียว ตั้งใจว่าเราจะเดินจงกรมจะปฏิบัติกรรมฐาน ก็เดินไปในทางซึ่งมันเป็นเขาไม่ค่อยมี คนสมัยก่อนมันก็คนน้อยมาก เดินไปก็เจอเนินอยู่เนินหนึ่ง เป็นเนินพูนพูนที่พึ่งมีดินใหม่ๆอยู่ ความรู้สึกของใจเราก็มีความรู้สึกว่า น่านั่งจังเลย ยังไม่ได้พิจารณาละเอียด พอนั่งไปเสร็จ คราวนี้จิตรู้ละ ดินพูนพูนที่พึ่งมีหน้าดินใหม่ๆที่เข้ามากลบ จริงๆก็ขึ้นหลุมศพ แต่เขาก็เชิญชวนให้เรามานั่ง เพราะเราเจริญพระกรรมฐานแผ่เมตตา พอกำหนดรู้สึกว่านั่นคือหลุมศพ ใจก็ไม่ได้สะดุ้งอะไร ถ้าเจริญเมตตาแล้ว ส่วนใหญ่ความกลัวผีความกลัวภูตผีมันจะไม่ค่อยมี เราก็ภาวนาไป พิจารณาทำไปเรื่อยๆ พอพิจารณาทำไปสักครู่หนึ่ง ก็มีวัวมาตัวหนึ่งเดินเข้ามาแล้วมาคุกเข่า มาคุกเข่าคือคู่ขาหน้าเหมือนหน้ากราบ มาคำนับแล้วหลังจากนั้นมันก็มาเลียที่มือด้วยอาการที่ตั้งใจ เจตนามา อันนี้ก็สัมผัสได้ว่า วัวเขาก็ดีนะ เขาสามารถสัมผัสกระแสเมตตาได้ ขนาดสมัยนั้น เมตตาอัปปันนาณฌานก็ยังไม่ได้เต็มที่เต็มกำลัง แต่แค่ตั้งใจแค่เดินแล้วบริกรรมอย่างเดียวก็มีผลมากมายมหาศาล
ดังนั้นตรงนี้ก็ขอบอกว่า เมื่อไรก็ตามที่เราฝึกที่เราปฏิบัติ กำหนดให้ตลอดเวลาที่เรารู้ตื่นอยู่ ไม่ใช่เฉพาะแต่เวลาที่เราเจริญพระกรรมฐาน แต่เราทำความรู้สึกว่าคลื่นกระแสจากจิตของเรา เป็นกระแสของเมตตา เป็นกระแสของของความสงบเย็น คนที่เขาจิตใจบริสุทธิ์พอ จิตใจดีพอ จะเป็นเด็ก จะเป็นสัตว์ เขาก็จะสามารถสัมผัสได้ แต่บางครั้งก็ต้องเข้าใจ เวลาเราแผ่กระแสเมตตา ถ้าคนชั่วบางทีเขาก็จะมีความร้อน ไอ้เรื่องพวกนี้นี่ถือว่าเป็นเรื่องต้องทำความเข้าใจ บางคนเขาก็จะหมั่นไส้โดยไม่มีสาเหตุ หรืออย่างตัวอาจารย์เองสิ่งที่เจอบ่อยๆ เช่นเราก็เดินแผ่เมตตาของเราอยู่ บางทีก็อยู่ตามห้าง ทางกว้างมีทางตั้งเยอะ คนก็ชอบเดินมาจะชน คือตั้งใจแบบเดินมาเฉียดเดินมาชน ทางก็ต้องกว้าง เราก็ตามใจตามสบาย ไอ้เรื่องพวกนี้ก็มีเรื่องกระทบเป็นธรรมดา ถ้ากระแสจิตเราดี ถ้าคนเขาจะหมั่นไส้ก็ถือว่าเป็นกรรมของเขา เราก็เฉยๆ เราก็ไม่ต้องไปโกรธไม่ต้องไปอะไร ทำความเข้าใจตรงนี้
แล้วก็อีกอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อไรก็ตามที่เราน้อมแผ่กระแสของกุศล ของบุญของเมตตาแผ่ออกไปมากเท่าไร เราก็จงอธิษฐานว่า ก็ขอให้เมื่อไรที่เราแผ่กระแสของกุศลเมตตา ก็ขอให้ผลักคนที่เป็นพาลชน คนพาล คนคิดร้ายต่อเรา คนที่เขาคิดไม่ดีต่อเรา ขอให้เขาห่างหายหลุดออกไปจากชีวิต ให้กระแสเมตตาเราดึงดูดแต่คนดี ควรที่จะเกื้อกูลสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน คนที่ปรารถนาดีซึ่งกันและกัน คนที่เป็นกัลยาณมิตร ดึงดูดเข้ามาสู่ชีวิตของเรา ก็เหมือนเป็นการที่เราใช้กำลังสมาธิกรรมฐานนี่แหละ เป็นตัวเปลี่ยนชีวิต เป็นตัวสับคัดกรองคนที่จะเข้ามามีปฏิสัมพันธ์กับชีวิตของเรา
ถ้าคนดีเข้ามาใกล้อยู่ในชีวิตเรามากขึ้น การกระทบที่ทำให้จิตเราทุกข์เศร้าหมองมันก็น้อยลง วิบากกรรมมันก็เบาลง อันนี้คือสาเหตุว่าทำไมการเจริญพระกรรมฐานถึงมีผลในการเปลี่ยนชีวิต เพราะอย่าลืมว่าคนที่ให้ทานแต่ก็ยังเป็นคนมักโกรธได้ คนที่ให้ทานก็ยังเป็นคนที่ยังมีจิตเศร้าหมอง ทุกข์กังวล หรือมีความโลภโกรธหลงได้ แต่ว่าการที่เราปฏิบัติ คือภาวนา ต้องเข้าใจว่าเราภาวนาเพื่อขัดเกลาจิตของเรา จากจิตเศร้าหมองให้ผ่องใส จากจิตที่โหดร้ายให้เป็นจิตที่ละเอียด ประณีต มีเมตตา จากจิตที่หยาบจิตที่กระด้างให้กลายเป็นจิตที่มีความละเอียด มีปัญญาพิจารณาสุขุมรอบคอบขึ้น
ตอนนี้ก็ให้เราพิจารณาเช่นนี้ ขอให้การภาวนา ขอให้การปฏิบัติการเจริญพระกรรมฐานนี้ ให้ข้าพเจ้ายกระดับจิต จากหยาบสู่ละเอียดปราณีต จากที่เมื่อก่อนอาจจะเคยมีความเศร้าหมอง ขึ้นมาสู่ความผ่องใส จากจิตที่เมื่อก่อนอาจจะมีธุลีแห่งกิเลส ก็กลายเป็นจิตที่มีความบริสุทธิ์วิมุตหมดจด ขอให้การปฏิบัติธรรมของข้าพเจ้า ยกระดับภูมิจิตภูมิธรรม ภูมิปัญญาของข้าพเจ้าให้เพิ่มพูนขึ้นสูงขึ้นด้วยเถิด
ตั้งจิตอธิษฐานกับพระพุทธเจ้าพระสมเด็จองค์ปฐมพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน หลวงพ่อท่าน
จากนั้นกำหนดน้อมเปล่งประกายจากกายพระวิสุทธิเทพของเราให้สว่างที่สุด จิตอิ่มยินดีในธรรม ยินดีในการปฏิบัติ เกิดปัญญารู้พร้อมครอบคลุมในการปฏิบัติ รู้ว่าเราปฏิบัติทำไม เพราะอะไร เป้าหมายในการปฏิบัติเรา จะเดินอย่างไรต่อ ชัดเจน มีปัญญาพิจารณาเข้าใจว่า ธรรมใดที่เราเข้าถึงแล้ว ธรรมใดที่เราจะพึงเจริญให้ยิ่งขึ้น ธรรมรืออกุศลใดที่เราพึงจะต้องพัฒนา จะต้องละ จะต้องดับล้างสิ่งที่เป็นอกุศลใดออกไปจากจิตของเราบ้าง กำหนดรู้ของเราเอง
กำหนดจิตของเราตอนนี้อยู่กับพระ อยู่บนพระนิพพาน กายพระวิสุทธิเทพสว่างเจิดจ้า แผ่กระแสเมตตาลงมายังโลก ยังจักรวาล อธิษฐานจิตว่ากายทิพย์ข้าพเจ้ามีพลัง มีจิตตานุภาพแห่งการเจริญเมตตามากเพียงใด ก็ขอให้เมื่อกายทิพย์นี้กลับมาสู่กายเนื้อบนโลก ก็สามารถแผ่กระแสเมตตาความสงบเย็นออกไปได้อย่างประจักษ์ชัดแจ้ง กระจ่างแก่ใจของเรามากเพียงนั้นด้วยเช่นกัน
จากนั้นกำหนดจิตต่อไป น้อมกระแสอาราธนากระแสบุญจากพระนิพพาน คือบุญสอนของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกๆพระองค์บนพระนิพพาน ทานศีลภาวนาบารมีสามสิบทัศที่ทุกพระองค์ท่านบำเพ็ญมาดีแล้ว สำเร็จแล้ว บรรลุแล้ว ขออาราธนารวมบุญ เพื่อโปรดมวลหมู่เวไนยสัตว์
น้อมกระแสจากพระนิพพานแผ่เมตตาลงไปยังภพภูมิทั้งหลาย แผ่เมตตาลงไปเป็นแสงสว่างยังอรูปพรหมทั้งสี่
แผ่เมตตาลงไปยังภพของพรหมโลกทั้ง 16 ชั้น แผ่เมตตาลงไปยังสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น
แผ่เมตตาลงไปยังภพของรุกขเทวดาภูมิเทวา พระภูมิเจ้าที่ เจ้าที่เจ้าทาง ทั้วอนันตจักรวาล
แผ่เมตตาต่อไปยังมนุษย์และสัตว์ที่มีขันธ์ห้ากายเนื้อกายหยาบทั่วอนันตจักรวาล
แผ่เมตตาลงไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลายที่เป็นโอปปาติกะสัมภเวสี ดวงจิตดวงวิญญาณเร่ร่อน ดวงจิตที่อยู่ในมิติที่ทับซ้อน ดวงจิตที่อยู่ในเมืองบังบดลับแล
แผ่เมตตาต่อไปยังภพภูมิของเปรตอสุรกายทั้งหลาย
แผ่เมตตาต่อไปยังภพภูมิของนรกในทุกขุมลึกที่สุดจนถึงโลกันตมหานรก
อธิษฐานจิตขอบารมีสมเด็จองค์ปฐมเปิดโลกแผ่เมตตาสามภพสามภูมิพร้อมกัน
กำหนดน้อมจิตว่ากำลังเมตตา กำลังบุญ กำลังพระกรรมฐาน อุทิศแผ่ให้กับสรรพสัตว์ทุกดวงจิต กำลังบุญ กำลังพระกรรมฐาน น้อมถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา บูชาปรารถนาในพระนิพพานเป็นที่สุด คือ “นิพพานัง ปัจจะโยโหตุ” จากบุญแห่งกรรมฐานแห่งภาวนานี้
จากนั้นกราบลาพระพุทธเจ้า กราบลาทุกท่านทุกๆพระองค์บนพระนิพพาน
ขอความเป็นสิริมงคล กุศลจงบังเกิด บุญจากการร่วมถวายมหาสังฆทานจงสำเร็จสัมฤทธิ์
ตั้งจิตอธิษฐานพิเศษ ขอบุญที่ถวายมหาสังฆทาน บุญที่เราเจริญพระกรรมฐานเป็นบุญที่เราสะเดาะเคราะห์ส่งพระราหู ถือว่าเป็นบุญในการส่งผลให้เกิดบุญกุศลโชคลาภมงคลให้ปรากฏ
อธิษฐานให้บุญมหาสังฆทานบุญที่เราร่วมกันถวาย บุญที่เราเจริญพระกรรมฐานนี้ ถวายเนื่องในวาระแห่งวันฉัตรมงคล ขอความสวัสดีมงคลมหากุศลปรากฏ คุ้มครององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอพระองค์ได้มีพระมหาบารมีแผ่ปกเกล้าคุ้มเกศพสกนิกรปวงชนชาวไทยทั้งปวงด้วยเถิด
ก็ถือว่าเรามีความกตัญญูต่อชาติบ้านเมืองศาสนาพระมหากษัตริย์ก็เป็นมงคลกับตัวเราเอง
อธิษฐานแล้วเทวดาพรหมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านรับรู้รับทราบแล้ว เราก็พุ่งจิตกลับมาบนโลกมนุษย์
น้อมจิตอนุโมทนาสาธุกับกัลยาณมิตรเพื่อนๆทุกคนที่ปฏิบัติธรรมร่วมกัน อย่าเพิ่งรีบออกนะ เดี๋ยวช่วงท้ายจะมีเรื่องสำคัญที่จะเสริม เรื่องสำคัญที่ต้องเตือน พอน้อมจิตลงมายังโลกมนุษย์แล้ว ก็อาราธนากระแสแห่งพระนิพพาน บุญที่เราเจริญพระกรรมฐานลงมาเป็นลำแสงสว่าง คลุมกาย คลุมบ้านของเราทั้งหมด ขอกระแสบุญฟอกธาตุขันธ์ ขันธ์ห้าร่างกายสลายล้างโรคภัยไข้เจ็บไป ผมขนเล็บฟันหนังกลายเป็นแก้วใสสว่าง ธาตุธรรมฟอกธาตุขันธ์ โครงกระดูกทั่วร่างกายเป็นแก้วใสสว่าง
ธาตุธรรมฟอกธาตุขันธ์ หลอดเลือดเส้นเอ็นทั้งหลายกลายเป็นแก้วใสสะอาดปลอดโปร่งไหลเวียนได้อย่างสมบูรณ์
ธาตุธรรมฟอกธาตุขันธ์ เซลล์ทุกเซลล์กล้ามเนื้อทุกส่วนมีกระแสแห่งบุญ เซลล์ทุกเซลล์กล้ามเนื้อทุกส่วนกลายเป็นแก้วกลายเป็นเพชร อาการทั้ง 32 อวัยวะภายในทุกส่วนกระแสบุญฟอกธาตุขันธ์ ชะล้างสลายเซลล์เนื้องอกเซลล์ผิดปกติพังผืดเซลล์มะเร็งก้อนนิ่วทั้งหลายจงสลายออกไปจนหมด
จากนั้นอธิษฐานขอธาตุธรรมปรับธาตุขันธ์ห้าของข้าพเจ้า ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ จงมีกำลังมีความสมบูรณ์มีความสมดุล ธาตุทั้ง 4 จงมีกำลังมีเดชมีฤทธิ์ อวัยวะทั้ง 32 จงปรากฏความสมบูรณ์แข็งแรง ขอสุขภาพจงมีความสมบูรณ์พร้อม เซลล์ทุกเซลล์จงมีพลังแห่งบุญหล่อเลี้ยงพลังแห่งปราณหล่อเลี้ยง
ฟอกธาตุขันธ์เรียบร้อยแล้ว รักษาโรคด้วยกำลังกรรมฐานเรียบร้อยแล้ว เราก็ค่อยๆถอนจิตช้าๆจากสมาธิ
หายใจเข้า ช้า ภาวนาเข้า พุธ ออกโท ครั้งที่ 2 หายใจเข้า ช้า ลึก ยาว ธรรม ออกโม หายใจเข้าช้า ลึก ยาว ครั้งที่ 3 สังโฆ จากนั้นถอนจิตช้าๆด้วยจิตอันเป็นสุข ลืมตาขึ้นช้าๆใบหน้ายิ้ม กายยิ้ม ยิ้มเอิบอิ่มผ่องใส ราศีแห่งผู้มีบุญเปล่งปลั่ง รอยยิ้มเป็นยิ้มของผู้มีบุญ
สำหรับวันนี้สิ่งสำคัญที่จะต้องเตือนก็คือภัยพิบัติมันก็จะเริ่มเกิดขึ้นถี่ขึ้นกระชั้นขึ้น ถ้าถึงเวลาที่มันเริ่มปรากฏขึ้น เราก็พยายามสำรวมระวังใจของเรา อย่าไปกลัว อย่าไปแตกตื่น พยายามอุเบกขา ยามคับขันให้นึกถึงพระไว้เสมอ คือนึกถึงพระพุทธเจ้าไว้ทันที นึกถึงหลวงพ่อ คนที่ฝึกมีความคล่องตัวก็ยกจิตขึ้นพระนิพพานทันที แล้วก็สิ่งสำคัญ ถ้าหากมันมีช่วงเวลาที่มืดคือไฟดับทั้งหมด แล้วเราต้องอยู่บ้านแล้วก็มันมีเสียงร้องของความหวาดกลัว หรืออะไรต่ออะไรเกิดขึ้น เราก็ยิ่งต้องฝึกกรรมฐาน ต้องเปล่งประกายแสงสว่างรัศมีของจิตให้มากขึ้นกว่าเดิม ไม่ต้องไปแตกตื่นอะไรมาก อันนี้ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องเตือน แล้วก็อีกส่วนหนึ่งคือกัลยาณมิตรที่ฝึกที่ปฏิบัติด้วยกันที่อยู่ต่างประเทศก็ยิ่งต้องตรวจสอบข่าวให้มากขึ้น แล้วก็เริ่มได้วาระที่อาจจะไม่สมควรจะเดินทางไปต่างประเทศ หรือไปเที่ยวในช่วงนี้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งภูมิภาคญี่ปุ่น โอกาสที่จะเกิดภัยพิบัติจะค่อนข้างสูง ถ้าเป็นไปได้ช่วงนี้ก็อยู่ประเทศไทยไปก่อน อย่าเพิ่งเที่ยวมาก อันนี้ก็คือสิ่งที่ท่านให้เตือน แต่ว่าอย่าไปแตกตื่นอะไร เตรียมแต่พอสมควรเตรียมก็เตรียมที่บ้านนี่แหละ มีน้ำดื่มมีอาหารแห้งที่สามารถทานได้เลย แล้วก็คิดว่าถ้าสมมุติว่าไม่มีไฟฟ้า เราจะทำอย่างไร เรามีอะไรที่มันใช้การได้อยู่ได้ อันนี้ก็เตรียมไว้บ้าง แต่ว่าก็ไม่ต้องถึงขนาดที่ตื่นกลัวตื่นตระหนกจนเกินไป อันนี้ก็คือเตรียมตัวไว้
ส่วนอีกเรื่องที่จะแจ้งให้ทราบก็คือการจัดสร้างพระเจ้าองค์แสนดวงจิตพระนิพพานที่เราร่วมจิตอธิษฐานกัน ตอนนี้ก็มีผู้ใหญ่ใจดีคือครูเกด ร่วมปิดในงวดนี้คือต้องชำระให้กับทางโรงหล่อเป็นจำนวน 2600,000 บาท ทางครูเกด ทางคุณเม่ง คุณลี่ก็เป็น 3 ท่านก็เป็นเจ้าภาพไปสำหรับกองนี้แล้ว แล้วก็ยังมีปัจจัยที่เราร่วมบุญที่ยังอยู่ในบัญชีอีกประมาณ 200,000 บาทเศษ แต่ว่าปัจจัยในการจัดสร้างก็ยังจำเป็นต้องรวบรวมบุญเพิ่มเติมอีก เพราะว่าก็ยังต้องใช้อีกจำนวนหนึ่ง นี่พึ่งชำระไปครึ่งหนึ่งคือ 50 เปอร์เซ็นต์ อันนี้ก็คือแจ้งให้ทุกคนได้ทราบและโมทนาบุญ
สำหรับใครที่เขียนแผ่นทองก็รีบจัดส่งคืนมาให้เร็ว แล้วก็กำหนดในการหล่อก็หล่อที่โรงหล่อป้าเนียน ใกล้วัดท่าซุงอยู่ใกล้วัดท่าซุง หล่อในวันเสาร์๕เดือนกันยายนซึ่ง Banner รายละเอียดของงานหล่อ ก็จะแจ้งให้ทราบอีกที แต่ถ้าเป็นไปได้ใครสะดวกก็อยากเรียนเชิญทุกท่านให้ไปร่วมงานหล่อพระ แล้วครูบาอาจารย์ที่ท่านตอบรับแน่นอนก็คือ พระอาจารย์หนุนท่านตอบรับเรียบร้อย ตอนนี้ก็รอนิมนต์ฎีกาตุ๊พ่อมหาสิงห์เมตตามาในงานหล่อด้วยอีกรูปหนึ่งนะครับ
สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคนขอให้เราทุกคนยิ่งเร่งความเพียรในการปฏิบัติเพิ่ม ถึงแม้ว่าเราไม่ได้ฝึกกับอาจารย์ในทุกวันแต่เราฝึกเองให้ได้ในทุกวันฝึกเองปฏิบัติเองทุกวันแล้วเราก็มาทวนกับอาจารย์ให้ต่อเนื่องให้ได้สม่ำเสมอสำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน ให้ทุกคนมีความเจริญรุ่งเรืองให้ทุกคนรอดพ้นจากภัยพิบัติทั้งหลายแคล้วคลาดจะอุบัติภัยภยันอันตรายทั้งปวงมีบารมีพระคุ้มครองตลอดเสมอทุกคน สาธุ สวัสดีครับ
ถอดเสียงและเรียบเรียงโดย : คุณวิลาวัลย์ วลีเดช