เสียงธรรมจากห้อง “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”
วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2568
เรื่อง อรูปฌาน เเละเคล็ดลับกายทิพย์สวดพระคาถาเงินล้าน
และคาถาพระมหาจักรพรรดิ
โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค
กำหนดสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ผ่อนคลายร่างกายกล้ามเนื้อทุกส่วน ปล่อยวางความเกาะความยึด ผัสสะความกังวลทั้งหลายที่เกี่ยวพันกับขันธ์ 5 ร่างกายออกไปให้หมด ผ่อนคลายเพื่อปล่อยวางร่างกาย วางกายตัดกายเพื่อเข้าสู่ความสงบ ทรงอารมณ์สภาวะความสงบไว้ เมื่อจิตสงบ ปล่อยวางทั้งร่างกายและความคิด ใช้สติกำหนดจินตภาพเห็นลมหายใจเป็นเหมือนกับแพรวไหม พลิ้วผ่านเข้าออกในกายของเรา ลมหายใจละเอียดสงบเบาสบาย สติกำหนดรู้ในลมตลอดสายตลอดทั้งกองลมนั้น จดจ่อกำหนดรู้เป็นผู้ดูผู้รู้ในลมหายใจ ลมหายใจยิ่งเบายิ่งละเอียดยิ่งสงบ อารมณ์จิตเรายิ่งสบาย สงบนิ่ง ปล่อยวาง ว่าง โล่ง เบา ใจสบายๆ คลายอารมณ์คลายความหนัก มีแต่ความเบาสบาย
จากนั้นกำหนดจิต ยกกำลังใจของฌานสมาธิในอานาปานสติ หยุดจิต นิ่งหยุด หยุดเป็นตัวสำเร็จ หยุดอกุศลทั้งหลาย หยุดการปรุงแต่งทั้งหลาย สงบนิ่ง หยุด ไม่สนใจไม่ปรุงแต่งในสิ่งใด จิตที่สงบนิ่งทรงสภาวะความสงบไว้ ให้จิตเราฝึกฝนความทรงตัวในการทรงอารมณ์ เข้าถึงเอกัคคอารมณ์ เข้าถึงอุเบกขารมณ์ หยุดการปรุงแต่งสงบนิ่ง กำหนดรู้ว่าจิตที่เข้าถึงเอกัคคตารมณ์คือฌานสี่ในอานาปานสติกรรมฐาน เดินจิตเข้าสู่สมถะที่สูงขึ้น คือการเข้าฌานจากกสิณ อันเป็นบาทฐานของอภิญญาจิต กำหนดจุดที่หยุดของจิตนิ่งหยุด น้อมนึกจินตภาพให้กลายเป็นเส้นวงกลม 2 มิติ จากจุดขยายขึ้นเป็นเส้นวงกลม จากเส้นวงกลม 2 มิติ จิตภาพนึกภาพให้กลายเป็นทรงกลม คือเป็นดวงแก้ว จากดวงแก้วขยายดวงแก้วให้ใหญ่ขึ้น สว่างขึ้น ใสขึ้น จิตกำหนดนิมิตคือภาพขึ้น จดจ่ออยู่กับนิมิต ดวงแก้วที่ใสขึ้นสว่างขึ้น สัมพันธ์กับอารมณ์ใจของเรา ดวงแก้วยิ่งใส อารมณ์จิตเรายิ่งผ่องใส ดวงแก้วยิ่งสว่าง จิตเรายิ่งรู้สึกสัมผัสถึงพลังงาน คือพลังของจิตตานุภาพที่อยู่ภายในดวงแก้ว เชื่อมโยงดวงแก้วหรือนิมิตของกสิณนั้นให้เป็นหนึ่งเดียวกับจิตของเรา จิตคือกสิณ กสิณคือจิต ยิ่งดวงแก้วสว่างใสมากเท่าไหร่ ใจเรายิ่งเป็นสุขฉันนั้น กำหนดรู้ว่าดวงแก้วคือดวงจิตที่ใสสว่าง คือกสิณที่เข้าถึงสภาวะที่เรียกว่าอุคหนิมิต คือจิตและกสิณนั้นเริ่มมีกำลัง เริ่มจดจ่อเป็นสมาธิ
จากนั้นกำหนดต่อไป คือจินตภาพจากดวงแก้วใสให้กลายเป็นเพชรระยิบระยับ คือเปลี่ยนจากดวงแก้วใสเรียบๆ ให้กลายเป็นเพชรที่ถูกเจียระไนโดยละเอียด โดยช่างเจียระไนชั้นดี จนภาพของนิมิตกสิณหรือดวงจิตของเราขณะนี้ เป็นประกายระยิบระยับ มีความแพรวพราวเล่นแสง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีแสงออกมาจากภายใน จิตที่เป็นเพชรประกายพรึก กำหนดเปล่งประกายให้แสงจากดวงจิต จิตคือกสิณ กสิณคือจิต กสิณมีจิตตานุภาพมีอภิญญาจิต จิตของเราเป็นหนึ่งเดียว จิตเราก็พลอยเกิดอภิญญาจิต คือผลอานิสงส์กำลังของกสิณจากการฝึกฝน กำหนดน้อมนึกคือนึกภาพให้เห็นจิตที่เป็นเพชรประกายพรึกนั้น มีรัศมีแผ่ออกมาโดยรอบ 360 องศา เป็นเส้นแสงสว่างออกมาชัดเจน เส้นแสงสีรุ้งเปล่งประกายออกมาจากดวงจิตของเรา ขยายดวงจิตของเราให้สว่างขึ้น มีขนาดใหญ่ขึ้น กำหนดเชื่อมโยงอารมณ์จิตกับภาพนิมิตของกสิณ จิตยิ่งสว่างแพรวพราวระยิบระยับมากเท่าไหร่ ความเป็นทิพย์ของจิตอภิญญาจิตยิ่งเพิ่มพูน เราออกกำลังกายเพื่อฝึกฝนให้เกิดพละกำลังต่อร่างกายกล้ามเนื้อฉันใด เราฝึกจิตในกสิณจิตเป็นกีฬาสมาบัติที่ฝึกฝนเพื่อเพิ่มพูนจิตตานุภาพแห่งอภิญญาจิต กำหนดน้อมนึกให้จิตเรานั้นเปล่งประกายประภัสสรสว่าง จิตขยายขนาดใหญ่ขึ้น ใหญ่จนมีขนาดเท่ากับตัวเราคือร่างกาย สูงเท่าไหร่ก็มีดวงจิตเป็นเพชรสว่างสูงเท่านั้น เป็นเพชรลูกขนาดใหญ่ มีรัศมีสว่างอย่างยิ่ง ฝึกที่จะขยายให้จิตที่เป็นเพชรประกายพรึก ที่ขณะนี้เรียกว่าเป็น “ปฏิภาคนิมิตของกสิณ” ขยายจนมีขนาดเท่าบ้านของเรา ใหญ่เท่าบ้าน ขยายขนาดต่อไป ยิ่งขยายยิ่งสว่างยิ่งใสขึ้น จิตยิ่งมีกำลังขึ้น ขยายจนกระทั่งจิตที่เป็นปฏิภาคนิมิตมีขนาดเท่ากับโลกใบนี้ทั้งหมด ขยายใหญ่เท่ากับโลกใบนี้ลอยอยู่ในจักรวาล ขยายขนาดกสิณของเรา ใหญ่จนกระทั่งกลายเป็นดวงอาทิตย์ เปล่งประกายแสงสว่าง มีประกายระยิบระยับมีขนาดเท่ากับดวงอาทิตย์ในสุริยะจักรวาล ใหญ่กว่าโลก
กำหนดจิตต่อไปให้ดวงจิตที่เป็นกสิณเป็นเพชรประกายพรึกนั้น ใหญ่คลุมอนันตจักรวาลทั้งหมด ดวงดาวทั้งหมดกาแล็กซี่ทั้งหมดอนันตจักรวาลทั้งหมด ถูกจิตของเราที่เป็นกสิณจิตคลุมไว้ทั้งหมด สว่างเป็นเพชรระยิบระยับอยู่ ทรงอารมณ์ทรงสภาวะที่จิตเราสว่าง เดินจิตต่อไป กำหนดว่าเมื่อจิตเราคลุมครอบจักรวาลทั้งหมดแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่เป็นรูปหลงเหลืออยู่ หายไปอยู่ภายในจิตของเรา ดังนั้นรอบข้างเรา เลยพ้นจากดวงจิตของเราก็กลายเป็นความว่าง อันนี้ก็เป็นวิธีการเดินจิต จากอานาปานสติขึ้นสู่กสิณ จากกสิณขึ้นสู่สมาบัติ 8 คืออรูปฌาน
เมื่อจิตเราคลุมจักรวาลไว้ทั้งหมด จิตเราลอยเด่นอยู่ท่ามกลางความว่างเวิ้งว้างว่างเปล่า ไม่มีขอบเขตไม่มีพื้นไม่มีผนังไม่มีเพดาน ขาวโล่งว่าง มีแต่จิตเราคือเพชรที่คลุมอนันตจักรวาลทั้งหมด ระยิบระยับสว่างอยู่ ทรงสภาวะที่จิตเราคลุมจักรวาลทั้งหมดนี้ไว้ กำหนดรู้ว่าจิตนั้นมีพลังงานอย่างไร้ขีดจำกัด ข้อจำกัดทั้งหลายอยู่ที่เราเป็นคนไปปรุงแต่งเองไปคิดเอง จิตนั้นเป็นใหญ่กว่าร่างกาย จิตนั้นมีพลังงานไร้ขีดจำกัด พลังงานของจิตนั้นอันที่จริงไม่มีวันหมดไปได้ และสิ่งสำคัญ จิตทุกดวงล้วนแล้วแต่เป็นอมตะ ความตายเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนรูปเปลี่ยนภพเปลี่ยนร่างเปลี่ยนขันธ์ 5 เปลี่ยนสมมุติ แต่สุดท้ายมันก็มีแต่เพียงจิตดวงนี้ที่ท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏ สะสมกำลังของบุญ สะสมกำลังของบาป สะสมกำลังของสมาธิ ก็ส่งผลให้จิตไปจุติยังพรหมโลก
เรากำหนดเข้าถึงสภาวะจิตที่ประภัสสรเต็มกำลัง เข้าถึงจิตเดิมแท้อันเป็นประภัสสร จิตนี้เป็นอมตะ แต่จิตยังต้องไปเสวยบุญบาปด้วยอำนาจกฎของกรรม ความจำทั้งหลายสิ่งทั้งหลายที่กระทำ ก็บันทึกลงในจิต กำหนดให้จิตของเราตอนนี้ประภัสสรสว่างที่สุด ใจเอิบอิ่มที่สุดเป็นสุขที่สุด กำหนดกลั่นจิตของเราให้จิตเราคลุมจักรวาลใหญ่ ดวงจิตที่เป็นเพชรประกายพรึกมีน้ำละเอียด มีความแวววาวแพรวพราวระยิบระยับอย่างยิ่ง เปล่งประกายอย่างยิ่งสว่างอย่างยิ่ง เราตระหนักเข้าถึงสิ่งที่ทรงคุณค่าที่สุดก็คือจิตอันประภัสสรของเรา จิตประภัสสรมีแต่กุศล มีแต่ความคิดที่เป็นมงคล จิตที่ประภัสสรมีแต่ความสว่างแพรวพราว ปราศจากกิเลสความโลภโกรธหลง ทรงสภาวะที่จิตสว่างผ่องใสนี้ไว้ จิตเราสว่างอย่างยิ่ง กำหนดให้รัศมีของจิตเส้นแสงรัศมีของจิตที่แผ่ออกไปเป็นกระแสของเมตตาอันไม่มีประมาณ จิตเราคลุมจักรวาลพร้อมกับแผ่กระแสรัศมีจิตเป็นกระแสของเมตตาแผ่ออกไปยังภพ ที่เป็นภพที่ไม่เกี่ยวเนื่องด้วยวัตถุคือภพที่เป็นสุขคติภูมิและทุติยภูมิ อันได้แก่สวรรค์พรหมโลกและอรูปพรหม ลงไปด้านล่างก็คือภพของดวงจิตที่ปราศจากขันธ์ 5 กายเนื้ออันได้แก่โอปปาติกะสัมภเวสีเปรตอสูรกายและสัตว์นรกทั้งปวง ให้คลื่นกระแสจากจิตที่ประภัสสรนั้น แผ่เป็นกระแสเมตตาอันไม่มีประมาณ กระแสความกรุณาปราณีอันไม่มีประมาณ กระแสแห่งมุทิตาอันไม่มีประมาณ กระแสแห่งอุเบกขาอันไม่มีประมาณ แผ่กระแสแห่งพรหมวิหาร 4 ออกไป จิตประภัสสรสว่างระยิบระยับ
จากนั้นอธิษฐานจิต ให้จิตอันประภัสสรคลุมจักรวาลทั้งหมด ค่อยๆย่อเล็กลงมาย่อเล็กลงมา ย่อเล็กลงเล็กลง ควบแน่นจักรวาลทั้งหมดให้เล็กลงเล็กลง จนกระทั่งมีขนาดเท่ากับหัวใจของเรา ดวงแก้วจิตที่ประภัสสรนั้น ควบแน่นพลังงาน มวลมหาศาลของอนันตจักรวาลทั้งปวง ควบแน่นอัดรวมอยู่เล็กลงเล็กลงเล็กลง มีขนาดเท่ากับหัวใจของเรา แล้วกำหนดให้จิตอันประภัสสร จิตอันเปี่ยมด้วยพลังของเมตตาอันไม่มีประมาณนั้นรวมลงอยู่ภายในจิต และให้ดวงจิตนั้นลอยเลื่อนเคลื่อนคล้อยเข้ามาในกายของเรา เมื่อดวงแก้วดวงจิตอันประภัสสรที่ถูกกลั่นด้วยกำลังของเมตตาฌานพรหมวิหาร 4 อันไม่มีประมาณ ลอยเข้ามาในกายก็กำหนดจิตให้เห็นกายนี้ ใสทะลุเห็นอวัยวะภายในทั้งหมด อาการทั้ง 32 โครงกระดูก หลอดเลือดเส้นเอ็น สมองตับไตไส้พุงปอดหัวใจ ดวงจิตที่ผ่องใสประภัสสรนั้นลอยอยู่ภายในกายที่เป็นขันธ์ 5 กายเนื้อ เมื่อลอยแล้วก็ส่องสว่างจนมองเห็นกายภายในทั้งหมดพิจารณาเห็นกายภายในรู้กายภายใน กำหนดเห็นกายเห็นอวัยวะภายในร่างกายกล้ามเนื้อทุกส่วน อาหารใหม่อาหารเก่า เมื่อพิจารณาเห็นกายละเอียด ความเป็นกายหยาบขันธ์ 5 เราเห็นกายเป็นแก้วใสมองทะลุปรุโปร่งไปทั้งหมด กำหนดรู้ว่าจิตที่เข้ามาอยู่ในกายนั้น มันก็เหมือนกับการที่เรามาอยู่บ้านเช่าเพียงชั่วคราว สักวันหนึ่งเมื่อร่างกายขันธ์ 5 นี้ตายลง เราก็หมดสมมุติว่าเป็นกายนี้ร่างกายนี้บุคคลนี้ครอบครองทรัพย์สินเงินทองแบบนี้ มีพ่อแม่ชื่อนี้มีภรรยาสามีชื่อนี้มีลูกชื่อนี้ ทุกอย่างก็ไม่เป็นของเราอีกต่อไป กำหนดพิจารณาในมรณะสัญญาในมรณานุสติ พิจารณาว่าเราปล่อยวางสมมุติ ยึดในสมมุติหรือปล่อยวางสมมุติ ยึดในร่างกายขันธ์ 5 นี้หรือมีปัญญาปล่อยวางร่างกายขันธ์ 5 นี้ ถ้ามีปัญญาปล่อยวางได้ใจเราก็ไม่ทุกข์ เมื่อถึงเวลาที่เราต้องละจากร่างกายนี้จากอัตภาพนี้ออกไป พิจารณาจนจิตของเรานั้นยอมรับตามความเป็นจริง เราไม่มีในร่างกายร่างกายไม่มีในเรา เราคือดวงจิตเราคืออทิสมานกายที่มาอาศัยขันธ์ 5 ร่างกายเนื้อนี้อยู่
เมื่อพิจารณาได้ดังนี้แล้ว ก็ตั้งจิตน้อมรำลึกถึงพระพุทธเจ้า กำหนดอธิษฐานขอปรากฏทรงภาพพระ 3 ฐาน คือองค์พระอยู่เหนือศีรษะ 1 องค์ องค์พระอยู่ในศีรษะ 1 องค์ และองค์พระอยู่ภายในอกของเราอยู่ในกายของเราอีก 1 องค์ เมื่อกำหนดน้อมนึกได้แล้วพร้อมกับเห็นจิตของเราอยู่ภายในกาย อวัยวะภายในใสเห็นอาการ 32 ทั้งหมด กายนั้นใสไปหมดกายเนื้อนั้นใสไปหมด จิตสว่างอยู่องค์พระสว่างอยู่ภายในกาย ทรงอารมณ์พิจารณาว่า ขออาราธนาบารมีพุทธานุภาพ ให้จิตข้าพเจ้านี้เกิดญาณเครื่องรู้ เห็นความเป็นไปเห็นความไม่เที่ยง เห็นความแปรปรวนในร่างกายขันธ์ 5 ทั้งหมด เห็นสภาวะของขันธ์ 5 ทั้งหมด เกิดทิพยจักษุญาณพิจารณากาย เพื่อตัดกายเพื่อปล่อยวางร่างกาย ขอทิพยจักษุญาณในการพิจารณากายนี้ จงปรากฏเป็นญาณเครื่องรู้ประจำจิตของข้าพเจ้า สามารถพิจารณาได้ทั้งกายภายในและกายภายนอก คือกายของตนเองและกายของบุคคลอื่น
เมื่อพิจารณากายแล้วเราก็กำหนดต่อไป ปล่อยวางกายตัดกายเห็นตามความเป็นจริงของขันธ์ 5 ร่างกาย แล้วก็อาราธนาบารมีขอบารมีพระพุทธเจ้าทรงสงเคราะห์ ขอยกจิตของข้าพเจ้า คือดวงจิตอันประภัสสรนั้นพุ่งขึ้นไปเป็นแสงสว่างขึ้นไปบนพระนิพพาน จากดวงแก้วก็เปลี่ยนรูป จากดวงแก้วทรงกลมเปลี่ยนสภาวะเป็นอทิสมานกาย เปลี่ยนรูปเป็นกายแห่งกายพระวิสุทธิเทพ มีสภาวะความสว่างความใส กำหนดรู้ในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพขณะนี้ ว่าเราสวมใส่สิ่งใดมีลักษณะอย่างไร กายมีความใสเพียงใด มีแสงสว่างรัศมีกายแค่ไหน กำหนดจิตสำรวมใจในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ อธิษฐานเปล่งประกายแสงสว่างของกายทิพย์ให้สว่างขึ้น กายทิพย์สว่างขึ้นเต็มกำลัง มีความสว่างมีความแพรวพราว เครื่องประดับทั้งหลายปรากฏรู้สึกชัดเจน กำหนดในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ ตรงจุดนี้เป็นจุดสำคัญในการปฏิบัติ ไม่ใช่ว่าเราไปเห็นพระวิสุทธิเทพ แต่อารมณ์จิตในการฝึก คือรู้สึกได้ว่ากายของเราตอนนี้เป็นกายพระวิสุทธิเทพสวมชฎา มีเครื่องประดับมีอินธนูมีทับทรวงมีข้อ ข้อพระกรก็คือกำไล มีแหวนประดับครบทั้ง 10 นิ้ว ผิวกายเป็นแก้วสว่าง กำหนดทำความรู้สึกในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ จุดนี้จะเป็นข้อแตกต่างระหว่างวิชชา 3 กับอภิญญา 6
วิชชาสาม ก็คือทิพย์จักษุญาณคือไปเห็น อภิญญา 6 คือไปด้วยกายทิพย์ การฝึกมโนยิทธิถ้าพูดเป็นภาษาง่ายๆก็คือฝึกใช้กายทิพย์ แต่กายทิพย์เราไม่ใช่ใช้เพียงแค่ไปทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือไปเที่ยวในภพอื่นภพใดเพียงอย่างเดียว แต่ที่จริงมโนมยิทธิมีไว้ฝึกเพื่อยกจิตอทิสมานกายเราไปที่พระนิพพานโดยตรง ฝึกเพื่อที่ว่ากำลังที่เราตัดกิเลส เราตั้งใจปฏิบัติเพื่อพระนิพพาน เพื่อออกจากสังสารวัฏ เราก็ใช้กำลังของมโนมยิทธิ ยกกายทิพย์อาทิสมานกายเราที่ไปที่พระนิพพานเลย จิตสุดท้ายก่อนตายไปที่ใด จิตก็เสวยคือไปจุติ ณ ภพนั้น ภูมินั้น ถ้าจิตเราไม่ปรารถนาในภพอื่นภูมิใด หรือแม้แต่ความเป็นมนุษย์ จิตเราตัดภพจบชาติจนหมด ตั้งจิตอยู่ที่พระนิพพานจุดเดียว เราก็เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน อารมณ์ตัดทั้งหมดมันมารวมตัว กรรมฐานทั้งหมดที่เราเคยฝึก มันก็รวมตัวจุดเดียวอารมณ์เดียวในขณะจิตสุดท้ายก่อนตาย
เมื่อกำหนดรู้แล้ว เราก็ทรงสภาวะความรู้สึกในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพให้ชัดเจนให้สว่าง พอชัดเจนสว่างแล้วก็อธิษฐานจิต ขอพระพุทธองค์เมตตาสงเคราะห์ ให้ข้าพเจ้าได้กราบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมเด็จองค์ปฐม น้อมจิตกราบสมเด็จองค์ปฐมด้วยความนอบน้อมด้วยความเคารพ จิตเราถึงพระรัตนตรัย จิตเราถึงพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง กำหนดอธิษฐานจิตพิจารณาว่า โลกนี้มีความวุ่นวาย โลกนี้มีศึกสงครามเกิดขึ้น โลกนี้มีการหลอกลวงกัน เบียดเบียนเอารัดเอาเปรียบกันเป็นเรื่องธรรมดาของบุคคลที่ยังหนาด้วยกิเลส คือความโลภโกรธหลง แต่ขณะที่เรามากราบพระบนพระนิพพานนี้ เราอยู่กับพระแท้ทั้งสิ้น คือทุกท่านทุกๆพระองค์บนพระนิพพาน มีแต่เพียงพระพุทธเจ้าพระปัจเจกพุทธเจ้าพระอรหันต์เท่านั้น ที่ท่านอยู่บนพระนิพพานแห่งนี้ ดังนั้นวัดที่มีความบริสุทธิ์ที่สุดก็คือวัดพระนิพพาน เรามากราบพระพุทธรูปที่ไหนก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์เท่ากราบพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน
ดังนั้นการที่เรายกจิตมาถึงจุดนี้ได้มาถึงพระนิพพานได้ เราก็พึงที่จะใช้ผลแห่งการปฏิบัติผลแห่งการฝึกของเรา ให้เกิดประโยชน์จนกลายเป็นมรรคผลอย่างแท้จริง แม้ว่าการที่เรายกจิตขึ้นมาบนพระนิพพานในขณะที่เราปฏิบัติตอนนี้ เป็นการเข้าถึงพระนิพพานเพียงชั่วคราว ในขณะที่เราขึ้นมาอยู่บนพระนิพพาน ในฌานสมาบัติในสมาธิแบบนี้ จิตเราไม่มีความโลภโกรธหลง จิตเราปราศจากกิเลส จิตเรามีความยินดีในพระนิพพาน ปล่อยวางจากความปรารถนาความเกิดในการเป็นมนุษย์ในการเป็นเทวดาในการเป็นพรหม จิตขณะปฏิบัติเราสะอาดบริสุทธิ์ แต่ถึงแม้ว่าการที่เราทรงอารมณ์พระนิพพานได้เพียงชั่วคราวก็จริง แต่หากเราปฏิบัติซ้ำบ่อยเข้านานเข้า บ่อยเข้าหมายความว่าขยันที่จะยกจิตขึ้นมา จิตห่างจากกิเลสวันละ 5 นาทีบ้าง 10 นาทีบ้างครึ่งชั่วโมงบ้าง แต่ถ้าทำทุกวันสะสมเพาะบ่มบารมีตรงนี้ก็กลายเป็นตบะรวมตัวกัน สะสมประดุจน้ำทีละหยดก็สะสมกลายเป็นมหาสมุทรได้ฉันใด จิตเราที่ทรงอารมณ์พระนิพพาน ก็ค่อยๆรวมตัวจนกระทั่งทำให้สุดท้ายจิตสุดท้ายก่อนตายเราเข้าถึงอรหันตผลได้ฉันนั้นได้เช่นกัน เข้าใจการฝึกเข้าใจประโยชน์ ตั้งใจว่าทุกครั้งที่ยกจิตขึ้นบนพระนิพพาน จิตเราตั้งมั่นอยู่กับพระนิพพาน สะอาดจากกิเลสทั้งปวง มั่นคงไม่ลังเลสงสัยในคุณของพระพุทธเจ้าพระธรรมพระอริยสงฆ์ กำหนดรู้ว่าเมื่อเราปฏิบัติมาถึงจุดนี้ คำว่าพระคำว่าสงฆ์ในความหมายของจิตเรา ไม่ได้หมายความรวมไปถึงบุคคลที่เป็นอลัชชี บุคคลที่ปลอมบวชเข้ามา บุคคลที่มาใส่ผ้าเหลืองแล้วก็ทำผิดละเมิดศีลหลอกลวงผู้คน เราหมายถึงพระสุปฏิปันโนพระโพธิสัตว์พระอริยเจ้าเท่านั้น คำว่าพระคำว่าสงฆ์ของเราหมายถึง พระสุปฏิปันโนพระอริยเจ้าเท่านั้น ดังนั้นบุคคลทั้งหลายที่เป็นอลัชชีบ้างปลอมบวชบ้าง ที่หลอกลวง เราก็กำหนดด้วยปัญญาด้วยอุเบกขารมณ์ ปล่อยวางจากบุคคลเหล่านั้นผู้เป็นโมฆะบุคคล เป็นอาภัพบุรุษ คือมาอยู่ในศาสนาแล้วก็ทำให้ศาสนามัวหมอง มาอยู่ในศาสนาแล้วก็กลับกลายเป็นผู้ที่ทำลายศรัทธาของญาติโยม เราก็กำหนดรู้ด้วยวาระจิตของเรา
อธิษฐานตรงต่อพระพุทธเจ้าต่อพระพุทธองค์บนพระนิพพาน ขอให้นับแต่นี้ข้าพเจ้าได้พบเจอแต่ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระสุปฏิปันโนพระอริยเจ้าพระอริยสงฆ์หรือพระโพธิสัตว์เท่านั้น หากบุคคลใดที่เป็นอลัชชีก็ตาม บุคคลใดที่ปลอมบวชก็ตามบุคคลใดที่เป็นภัยต่อพระพุทธศาสนา ก็ขอให้ข้าพเจ้ามีเหตุขอให้ข้าพเจ้ารู้ด้วยเจโตปริยญาณ รู้ด้วยกระแสจิต หลีกเลี่ยงห่างจากบุคคลทั้งหลายเหล่านั้น พาลชนทั้งหลายข้าพเจ้าไม่คบ บุคคลทั้งหลายที่ไม่มีศีลมีธรรม ศีลไม่เสมอกันข้าพเจ้าไม่คบหาสมาคมด้วยทั้งสิ้น ยินดีที่จะหลีกยินดีที่จะห่างยินดีที่จะเลิกคบ เพื่อไม่ให้คุณความดีกุศลจิตทิฐิของข้าพเจ้าจะเสียหายปนเปื้อนไปกับบุคคลที่เป็นพาลชนบุคคลที่เป็นมิจฉาทิฏฐิทั้งหลายเหล่านั้น
จากนั้นตั้งจิตอธิษฐาน วันนี้หลายท่านที่ได้ทำบุญเนื่องจากการบูรณะปิดทองพระพุทธรูปซ่อมแซมพระพุทธรูป อธิษฐานจิตขอบุญกุศลอันเนื่องกับการจัดสร้างการปิดทองการซ่อมแซมพระพุทธรูป เป็นพุทธบูชาธรรมบูชาสังฆบูชา ด้วยความศรัทธาเลื่อมใสอันบริสุทธิ์ ขอจงปรากฏผลบุญปรากฏบนพระนิพพาน ให้รัศมีกายของกายทิพย์กายพระวิสุทธิเทพข้าพเจ้ายิ่งสว่างขึ้นด้วยเทอญ กำหนดอธิษฐานด้วยความอิ่มใจ บุญเกิดแล้วกายทิพย์เรายิ่งสว่างขึ้น ใสระยิบระยับแพรวพราวขึ้น เครื่องประดับทั้งหลายเครื่องทรงทั้งหลายยิ่งสว่างขึ้น นั่นก็คือยิ่งสว่างยิ่งสวยยิ่งแพรวพราวใจเรายิ่งเป็นสุข เมื่อจิตเรายิ่งเป็นสุขความเป็นทิพย์ของจิตก็ยิ่งเกิด ความเป็นทิพย์ของจิตยิ่งเกิด จิตตานุภาพอภิญญาจิตก็ย่อมเกิดขึ้น จำไว้ว่าในโลกของกายทิพย์ นับตั้งแต่เทวดารุกขเทวดาภุมเทวดาขึ้นไปถึงอากาศเทวดาพรหม หรือแม้แต่กระทั่ง ท่านที่อยู่บนพระนิพพานนั้น บุญญาธิการบารมีท่านดูกันที่รัศมีกาย ยิ่งรัศมีกายสว่างมากก็มีกำลังของบุญมาก บุญสะสมจากการถวายทานก็ดี จากการเจริญสมาธิภาวนาก็ดี จากการแผ่เมตตาก็ดี จากการสวดมนต์ก็ดี ความอิ่มใจความสุขใจบุญกุศลจากการสร้าง มาส่งผลให้เกิดเป็นแสงสว่างของรัศมีกาย บุญคือความอิ่มใจ ยิ่งทำกุศลแล้วใจเราอิ่มมากเท่าไหร่ อารมณ์แห่งความอิ่มใจนั้นก็กลายเป็นพลังงานที่มาเสริมมาเพิ่มมาหล่อเลี้ยงให้กายทิพย์หรือจิตของเรามีพลัง ซึ่งตรงกันข้ามกันกับจิตที่เศร้าหมอง จิตเศร้าหมองเกิดขึ้นจากอกุศล จากความทุกข์ จากการปรุงแต่ง จากความวิตกกังวล จากอารมณ์ที่เป็นอารมณ์ของโทสะ อารมณ์ของความโลภโลภะ อารมณ์ของความหลงความมัวเมาในอำนาจในทรัพย์สินเงินตรา ยิ่งเศร้าหมองมากยิ่งคิดร้ายคิดลบมาก มันก็บั่นทอนกำลังของจิตพอจิตมันไม่มีกำลังมันก็ไม่สามารถยกจิตขึ้นไปสูง จนไปจุติเป็นเทวดาได้ไปจุติเป็นพรหมได้ เศร้าหมองมากทึบมากมืดดำมากมืดบอดมาก ก็มีแต่ดิ่งลงไปยังภพที่เป็นทุกขคติภูมิ
ดังนั้นกุศลอกุศลมันส่งผลกับจิต ว่าจะเป็นแรงผลักดันขึ้นสู่สุคติภูมิ หรือเป็นเครื่องถ่วงลงสู่ทุกขคติภูมิ พอเราเข้าใจจิตอย่างชัดเจน เราก็รู้ที่จะหลีกเลี่ยงจากอารมณ์ที่เป็นอกุศลทั้งปวง ยังกุศลให้ถึงพร้อม ทำจิตให้ผ่องแผ้วเบิกบาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่องแผ้วผ่องใสที่สุด ก็คือผ่องใสในระดับของพระนิพพาน กำหนดรู้เข้าใจในเรื่องของจิต เมื่อเข้าใจกระจ่างแจ้งในจิตแล้ว อทิสมานกายก็จงสว่างขึ้น นึกถึงแต่บุญกุศลกายทิพย์ยิ่งสว่างขึ้น ถวายมหาสังฆทาน บุญทั้งหลายรวมตัว อทิสมานกายยิ่งสว่างขึ้น ปิดทองซ่อมพระพุทธรูปมามากมาย อทิสมานกายเรายิ่งสว่างขึ้น สวดมนต์เจริญภาวนามากมาย อทิสมานกายเรายิ่งสว่างขึ้น แผ่เมตตาอันไม่มีประมาณบ่อยครั้งมากครั้ง อทิสมานกายเรายิ่งมีรัศมีกายขอบเขตครอบคลุม 3 ไตรภูมิ นั่นก็แปลว่ากายทิพย์เรายิ่งมีกำลังในการแผ่เมตตาที่สว่างขึ้น เมื่อจิตมีกำลังบารมีเราเต็ม เราก็น้อมจิตอธิษฐาน ให้กายทิพย์ของเราขณะนี้ ขอจงปรากฏธูปแพเทียนแพอันวิจิตรบรรจงขนาดใหญ่อยู่ในมือของเรา อธิษฐานให้พานใหญ่เลยนะ ตั้งจิตถวายกราบขอขมาพระรัตนตรัย คือพระพุทธเจ้าพระธรรม พระอริยสงฆ์ เทพพรหมเทวาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านผู้มีพระคุณ บูรพมหากษัตราธิราชเจ้า อธิษฐานจิตขอขมากรรม สิ่งใดที่เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรรมที่ปรามาสพระรัตนตรัย จาบจ้วงล่วงเกินท่านผู้มีพระคุณ ข้าพเจ้าขอขมาลาโทษต่อพระรัตนตรัย ต่อพ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านผู้มีพระคุณ ต่อท่านทั้งหลายต่อเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้
จากนั้นอธิษฐานจิต ยกพานขอขมาตรงต่อสมเด็จองค์ปฐม ขอบาปเวรขอเวรภัยทั้งหลาย กรรมทั้งหลายวิบากทั้งหลาย จงสลายเป็นโมฆะกรรมด้วยการกราบขมากรรมของข้าพเจ้าในครั้งนี้ โดยตรงต่อสมเด็จองค์ปฐมด้วยเทอญ ถวายท่านด้วยความนอบน้อมด้วยความผ่องใส จากนั้นอธิษฐาน ใช้กายทิพย์เราประนมมืออธิษฐานจิต ขอนับแต่นี้กระแสธรรมอันบริสุทธิ์วิมุติหมดจด กระแสธรรมอันเป็นไปเพื่อดับสละละวางความรักโลภโกรธหลงทั้งปวง ความอาฆาตพยาบาทจองเวรทั้งปวง ขอกระแสธรรมอันเป็นโลกุตระธรรม น้อมนำให้จิตข้าพเจ้าเข้าสู่มรรคผลพระนิพพาน กระแสธรรมอันสัปปายะตรงวาระจิต เหมาะสมกับวิสัยการปฏิบัติภูมิธรรมภูมิจิตของข้าพเจ้า ขอกระแสธรรมอันบริสุทธิ์วิมุติหมดจดทั้งหลาย จงหลั่งไหลชโลมลงสู่จิตของข้าพเจ้า ชำระล้างสรรพกิเลสทั้งปวง ให้ปลาสนาการสิ้นไปได้โดยเร็วโดยพลันด้วยเทอญ ธรรมใดที่พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ธรรมใดที่พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ธรรมใดที่พระอรหันต์ขีณาสพพระอริยเจ้าพระอริยสงฆ์ทุกๆพระองค์ ได้บรรลุได้เข้าถึงได้สัมผัสได้สภาวธรรมนั้นแล้ว ขอกระแสธรรมทั้งหลาย จงปรากฏกระจ่างแจ้งในจิตของข้าพเจ้า ได้โดยง่ายโดยพลันบรรลุธรรมโดยฉับพลันทันใด ด้วยกำลังอานิสงแห่งอธิษฐานบารมีนี้ด้วยเทอญ
จากนั้นตั้งจิตกราบ กราบพระพุทธเจ้า จากนั้นก็มีเคล็ดลับที่พระท่านฝากมา สำหรับบุคคลใดที่ตั้งใจสวดคาถาเงินล้าน คนไหนที่สวดคาถาเงินล้านก็กำหนดจิต อธิษฐานจิตขออาราธนาบารมี พระปัจเจกพระพุทธเจ้า องค์ต้นเจ้าของคาถาที่ท่านเมตตาประสิทธิ์ประสาท เป็นคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าโปรดสัตว์ ถ่ายทอดผ่านตรงลงมาถึงหลวงปู่ปานวัดบางนมโค ขอให้ท่านเมตตาปรากฏองค์อยู่เบื้องหน้าข้าพเจ้าบนพระนิพพานนี้ด้วยเทอญ ท่านเมตตามาปรากฏไหม จากนั้นตั้งจิตกราบลงไปแทบตักของท่าน อธิษฐานนับแต่นี้ ขอลูกยกจิตาทิสมานกายขึ้นมาสวดคาถาเงินล้าน อยู่กับพระปัจเจกพุทธเจ้าบนพระนิพพาน ผลอานิสงค์ใดที่บุคคลทั้งหลายได้สวดคาถาเงินล้าน จนเกิดผลเกิดเงินงอกเกิดความร่ำรวยเกิดโชคลาภเกิดความคล่องตัวเกิดความศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์ เปลี่ยนฐานะเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี สินค้าสิ่งของต่างๆเพิ่มพูน มีผลเป็นเมตตามหานิยม ขอให้ท่านพ่อพระปัจเจกพระพุทธเจ้า เมตตาประสิทธิ์ประสาทให้เกิดผลเช่นนี้โดยตรง และข้าพเจ้าขอตั้งจิตว่านับแต่นี้ จะขอขึ้นมากราบสวดโดยตรงต่อหน้าเบื้องหน้าพระปัจเจกพุทธเจ้า ขอท่านส่งผลให้กับข้าพเจ้าในการสวดบทพระคาถาเงินล้านเต็มกำลังด้วยเทอญ
จากนั้นกราบ เราก็ตั้งใจทำให้ได้แบบนั้นทุกครั้งนะ นั่นก็คือเราใช้กำลังของสมาธิในกำลังสูงสุด กรรมฐานในกรรมฐาน 40 กอง กำลังกำลังที่สูงที่สุดก็คือพุทธานุสติกรรมฐาน อุปมานุสติกรรมฐาน เราก็ควบ ก็คือขึ้นมาบนพระนิพพานแล้วก็กราบพระพุทธเจ้าโดยตรง ขึ้นมาบนพระนิพพานอยู่กับพระปัจเจกพระพุทธเจ้าและสวดโดยตรง ใช้กำลังมากกว่าการที่เราสวดบนโลกมนุษย์ แต่นี่คือใช้กายทิพย์ขึ้นมาสวด ผลอานิสงส์ก็มากกว่าการที่ใช้กายเนื้อสวด เพราะกำลังฌานมันสูงกว่า
คราวนี้ในขณะเดียวกันก็มีอีกหลายท่าน ที่สวดบทพระมหาจักรพรรดิ สวดบทพระมหาจักรพรรดิอันที่จริงถ้าจะอธิษฐานโดยตรงให้เกิดผล โดยตรงเหมาะสมกับคาถา เราก็อธิษฐาน ขออาราธนาบารมีขอพระศรีอาริยเมตไตรยมหาโพธิสัตว์เจ้า เมตตาเสด็จมาปรากฏอยู่เบื้องหน้าข้าพเจ้าบนพระนิพพานขณะนี้ ขอพระองค์ทรงมาปรากฏโดยกายทิพย์ที่สว่าง มีเครื่องทรงพระจักรพรรดิเต็มกำลัง มีความแพรวพราวมีความสว่างอย่างยิ่ง เมื่อท่านมาปรากฏแล้วก็อธิษฐาน อธิษฐานกราบท่าน ขอตั้งกำลังใจว่าทุกครั้ง ที่ลูกสวดบทมหาจักรพรรดิจะกี่จบก็ดี ก็ขอตั้งใจสวดตรงต่อหน้าพระศรีอาริยเมตไตรยมหาโพธิสัตว์เจ้า ขอผลอานิสงส์การเชื่อมกระแส กำลังแห่งการปรับภพภูมิ กำลังแห่งมหาเมตตา กำลังแห่งความศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์ของพระคาถา ไม่ว่าพระธาตุเสด็จก็ดี ความผ่องใสของจิตที่ปรากฏก็ดี ขอพระศรีอริยเมตไตรยมหาโพธิสัตว์ เมตตาประสิทธิ์ประสาทให้เกิดผลเต็มกำลัง เกิดผลในการสวดอย่างยิ่งยวดต่อข้าพเจ้าด้วยเทอญ อธิษฐานจิต กราบลงไปแทบพระบาทหรือที่ตักของท่าน กราบแล้วก็น้อมให้เห็นเส้นแสงที่ถักทอเชื่อมกระแสกับครูบาอาจารย์เชื่อมกระแสกับผู้ที่สวดคนอื่นทั้งหมดทั่วโลก เห็นเส้นแสงเส้นบุญเกิดเป็นกำลัง อธิษฐานว่าเราใช้กำลังความเป็นทิพย์อทิสมานกาย มากราบมาพบท่านได้ เราก็อธิษฐานจิต ขอให้ท่านเมตตาสงเคราะห์ แสดงภาพให้เห็นการเชื่อมจิตการเชื่อมกระแสกับทุกคนที่ตั้งใจสวดบทพระมหาจักรพรรดิทั่วโลก ให้เห็นเป็นเส้นแสงเห็นเป็นกำลังบุญถักทอคุ้มครองโลกใบนี้ด้วยเทอญ ขอให้ทุกคนที่สวดมีกำลังที่พระศรีอาริยเมตไตรยส่งถึง ไม่ว่าเขาจะได้ญาณได้ฌานได้กายทิพย์หรือไม่ได้ ก็ขอให้กำลังส่งถึงทุกรูปทุกนามทุกบุคคลด้วยเทอญ
จากนั้นต่อไป ให้ใจเราวางอุเบกขา ให้ใจเราอุเบกขาที่สุดวางเฉยที่สุด มีเมตตาอุเบกขากรุณา อธิษฐานน้อมรำลึกนึกถึงบุญกุศลของพระพุทธเจ้าพระปัจเจกพุทธเจ้าพระอรหันต์ทุกๆพระองค์บนพระนิพพาน อาราธนากระแสบุญจากพระนิพพาน คือทานศีลภาวนาบารมี 30 ทัศของทุกท่านทุกๆพระองค์ บารมีของพระโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์บนสวรรค์ชั้นดุสิต ขออาราธนาลงมาเป็นกระแสกุศล คลุมประเทศไทยทั้งหมด อธิษฐานขอพุทธานุภาพประสิทธิ์ประสาทเกิดยันต์เกราะเพชรคลุมประเทศไทยทั้งหมด ขออธิษฐานขอเกิดยันต์มหาพิชัยสงครามอันเป็นทิพย์ ประสิทธิ์ประสาทจากพระพุทธองค์ลงไปยังธงชาติทุกผืนบนผืนแผ่นดินไทยทั้งหมด หรือแม้แต่ธงชาติไทยไม่ว่าจะปักไม่ว่าจะโบกสะบัดในดินแดนใดก็ตาม อธิษฐานเห็นยันต์คือเป็นเส้นแสงสีทองอยู่บนธงชาติทุกผืน ธงชาติใดที่เย็บติดยันต์เกราะเพชรไปแล้วก็ขอให้ยิ่งเกิดกำลัง
จากนั้นอธิษฐานจิต ขอพุทธานุภาพอาราธนาพุทธานุภาพของพระพุทธเจ้าเกิดเป็นพุทธนิมิต อธิษฐานให้เห็นเป็นองค์พระ วางอยู่เหนือศีรษะของทหารทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่ ขอคุ้มครองให้ปลอดภัยหากไม่เกินกฎของกรรม อธิษฐานให้องค์พระคลุมกายทั้งหมด เป็นเกราะแก้วแคล้วคลาดปลอดภัยจากกระสุนจากภยันอันตราย จากจรวดจากขีปนาวุธจากกับระเบิดจากศาสตราวุธทั้งหลาย องค์พระคลุมทหารทุกคน
อธิษฐานจิตต่อไป ขอจงบังเกิดเป็นกำแพงแก้วเป็นยันต์มหาพิชัยสงคราม กั้นเป็นกำแพงรอบเขตดินแดนประเทศไทยทั้งหมด คลุมล่วงหน้าครอบคลุมขอบเขตในยุคแห่งไทยมหารัฐ คลุมให้หมดล้อมให้หมด มีกำลังพุทธานุภาพปกป้องคุ้มครอง
จากนั้นอธิษฐานจิต ขอกระแสจากพระนิพพานลงมา ขอธรรมะจงชนะอธรรม ขอกฎของกรรมจงทำหน้าที่ของตน ใกล้เข้าเขตเข้าสู่ยุคชาววิไล ขอบุคคลที่เป็นภัยต่อชาติศาสนาพระมหากษัตริย์นั้น จงแพ้ภัยตนเอง และเป็นไปตามกฎของกรรม เราอธิษฐานด้วยจิตอันเป็นอุเบกขา พิจารณาว่าเราอธิษฐานเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขของประเทศชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ ของประชาชนส่วนรวมที่เขามีกุศลมีความดี ขอให้ดินแดนที่จะขึ้นสู่ยุคชาววิไล ทรัพยากรนั้นขึ้น ทรัพยากรความมั่งคั่งร่ำรวยขึ้นมา ก็เมื่อคนชั่วคนที่เบียดเบียนทำร้ายคนที่เอารัดเอาเปรียบนั้น เขาสลายตัวไปหมดบุญวาสนาไป ดังนั้นก็ขอให้บุญมาส่งผล ชำระล้างเป็นไปตามกฎของกรรม
จากนั้นเรากำหนดจิต อาราธนาขอกระแสจากพระนิพพานลงมาคลุมคุ้มครองพระพุทธศาสนา คือวัดวาอารามสถานปฏิบัติธรรมทั้งหมด ให้มีความบริสุทธิ์กลับมามีความสะอาด กระแสมรรคผลพระนิพพานกระแสพุทธานุภาพจงมาสถิตเกิดความศักดิ์สิทธิ์ กระแสธรรมจงหลั่งไหลลงมา ธรรมะอันเป็นมรรคผลอันเป็นโลกุตระจงหลั่งไหลลงมาสู่จิตของพุทธบริษัท 4 ทั้งปวง จะเป็นพระสงฆ์จะเป็นแม่ชีจะเป็นภิกษุจะเป็นสามเณร จะเป็นฆราวาสจะเป็นอุบาสกจะเป็นอุบาสิกา ขอจงมีแต่กระแสธรรม อันเป็นกระแสมรรคผลพระนิพพาน ขอจงมีคุณธรรมศีลธรรม ขอจงมีความผ่องใสของจิต
จากนั้นอาราธนาบารมีพุทธานุภาพ ลงมาเป็นกระแสบุญคุ้มครองอภิบาลรักษาพระชะตาวารองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมราชินี พระพันปีหลวง พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ขอกระแสบุญศักดิ์สิทธิ์จากพระนิพพานหลั่งไหลลงมาเพิ่มกำลังให้กับพระสยามเทวาธิราชทุกพระองค์ เทวดาผู้อภิบาลรักษาคุ้มครองพระมหาเศวตฉัตร พระราชบัลลังก์ พระบรมมหาราชวังและพระตำหนักทุกแห่ง ขอกระแสบุญน้อมรวมลงมาคุ้มครองรักษา เพิ่มกำลังให้กับพระเสื้อเมืองพระทรงเมืองพระหลักเมืองพระกาฬไชยศรี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่รักษาคุ้มครองชาติรักษาแผ่นดิน กระแสบุญน้อมรวมลงมาถึงดวงพระวิญญาณของบูรพมหากษัตราธิราชเจ้าทุกๆพระองค์ ดวงวิญญาณบรรพบุรุษไทยที่ยังมีจิตใจพิทักษ์รักษาชาติบ้านเมือง ขอน้อมบุญกุศลลงมาคุ้มครองรักษาบุคคลผู้มีจิตอันสัตย์ซื่อกตัญญูปรารถนาดีต่อชาติ ต่อพระพุทธศาสนาต่อแผ่นดิน ให้มีเทวดารักษามีบุญรักษา ขึ้นสู่สถานะที่สามารถยังประโยชน์ต่อส่วนรวมได้มากขึ้นยิ่งขึ้น ขอบุญจงส่งผลสนับสนุนให้บุคคลที่เป็นคนดีปรารถนาดีต่อชาติ มีความสุขมีความเจริญมีความรุ่งเรือง หรือแม้แต่ตัวข้าพเจ้าเองทั้งหลาย ที่กระทำบำเพ็ญประโยชน์เป็นจิตอาสา ช่วยกันรักษาชาติบ้านเมืองทำนุบำรุงพระศาสนา ก็ขอให้มีความสุขมีความเจริญรุ่งเรืองด้วยฉันนั้น ขอเทวดาพรหมทั้งหลายทุกภพภูมิได้รับรู้รับทราบและโมทนากับข้าพเจ้า ช่วยเหลือข้าพเจ้าสนับสนุนข้าพเจ้าทุกคนด้วยเทอญ
จากนั้นกำหนดจิต กราบลาพระพุทธเจ้า กราบลาพระปัจเจกพุทธเจ้า กราบลาพระอรหันต์ กราบลาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายบนพระนิพพาน น้อมจิตกราบลา
จากนั้นพุ่งจิตลงมายังโลกมนุษย์ อธิษฐานขอกระแสบุญจากพระนิพพาน เป็นลำแสงสว่างคลุมร่างกายกายเนื้อทั้งหมดคลุมจิตทั้งหมด ธาตุธรรมชำระล้างฟอกธาตุขันธ์ ผมขนเล็บฟันหนังกลายเป็นแก้วใส โรคภัยไข้เจ็บสลายตัวไป โครงกระดูกทั่วร่างกายกลายเป็นแก้วใส หลอดเลือดสะอาดใส เส้นเอ็นสะอาดใส อาการ 32 เซลล์ทุกเซลล์สะอาดผ่องใส ธาตุธรรมฟอกธาตุขันธ์ เซลล์มะเร็งจงสลายตัวไปฝ่อไปยุบไป เซลล์เนื้องอกซีสทั้งหลายเซลล์ที่ผิดปกติแบ่งตัวผิดปกติ จงสลายตัวไปฝ่อไปหายไปจากขันธ์ 5 ร่างกาย ธาตุธรรมฟอกธาตุขันธ์โรคาพยาธิทั้งหลาย จงสลายตัวไปโรคภัยไข้เจ็บจงคลายตัวสลายตัวไป ด้วยกำลังบุญกำลังธรรมโอสถฟอกธาตุขันธ์ ร่างกายจงมีความแข็งแรงสดชื่นมีพลังชีวิตมีกำลังบุญ กายจงเปี่ยมด้วยกระแสของออร่า ใบหน้าอิ่มบุญอิ่มกุศล กายจิตผ่องใสสว่าง ใจแย้มยิ้มเบิกบานเป็นสุข โมทนาสาธุกับเพื่อนกัลยาณมิตรทุกคนที่เจริญพระกรรมฐานร่วมกันในวันนี้ทั้งหมด 94 ท่าน ฌานสมาบัติที่ท่านได้ก็ดี อารมณ์จิตที่ปรารถนาพระนิพพานที่ท่านได้ก็ดี บุญกุศลที่เกิดแล้วก็ดี เราทั้งหลายโมทนาบุญซึ่งกันและกัน ขอให้การปฏิบัติการเจริญพระกรรมฐานมีความก้าวหน้าขึ้น นำเคล็ดลับในการปฏิบัติจากการเจริญพระกรรมฐาน มาเสริมในการสวดมนต์ก็ดี ในการถวายทานก็ดี ในการปิดทองก็ดี ในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาก็ดี ให้มันเกิดผลก้าวหน้าอานิสงส์เต็มกำลัง
สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน มีเรื่องให้แจ้งให้ทราบก็คือวันพรุ่งนี้อาจารย์ก็จะเริ่มประกาศเกี่ยวกับการจัดสร้างพระเจ้าองค์แสนดวงจิตพระนิพพาน ซึ่งยังขาดปัจจัยอีกเป็นจำนวนมาก ก็จะมีการที่จะมอบวัตถุมงคลให้กับท่านที่เป็นกองบุญหรือต้นบุญ ก็คือรวบรวมปัจจัยเป็นต้นบุญกองบุญแล้วก็ร่วมบุญมา ก็จะมีวัตถุมงคลให้เป็นกำลังใจทุกคน แล้วงานหล่อก็จะจัดในวันเสาร์ห้าที่ 27 กันยายนที่โรงหล่อป้าเนียมใกล้กับวัดท่าซุง ก็ขอเรียนเชิญทุกคน ตอนนี้เวลาก็ใกล้เข้ามา ถ้าท่านใดมีความสะดวกมีความคล่องตัวที่จะร่วมบุญก็ยังสามารถร่วมบุญกันมาได้เรื่อยๆนะครับ
สำหรับการปฏิบัติช่วงนี้สิ่งที่อยากเตือนเป็นพิเศษ ก็ถ้าเป็นไปได้พยายามทรงภาพพระคลุมทุกวัน อาราธนายันต์เกราะเพชรไว้ทุกวัน ตอนนี้กระแสกรรมก็ดี กระแสวิบากก็ดี หรือแม้แต่กระแสของคุณไสยที่ทางเขมรเขาส่งมาค่อนข้างเยอะ ค่อนข้างถี่จนทุกสายการปฏิบัติครูบาอาจารย์ท่านก็เตือน ถ้าเป็นไปได้ก็ขอบารมีพระคลุม ปฏิบัติเข้มข้นขึ้น เวลาที่จะทานอะไรก็นึกพุทโธ อาราธนากระแสจากพระนิพพานลงมาชำระล้างที่น้ำที่อาหารทุกครั้งที่กินที่ดื่ม ถวายข้าวพระทุกครั้งที่กิน ถ้าเราทำแบบนี้ไว้สม่ำเสมอ ก็เชื่อมั่นได้ว่าปลอดภัยจากอันตรายทั้งหลายได้แน่นอน
สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคนอีกครั้งหนึ่ง พบกันใหม่สัปดาห์หน้า พยายามปฏิบัติด้วยความสม่ำเสมอ ขอให้สมาธิจิตกรรมฐานอภิญญาสมาบัติทรงตัว อยู่ในจิตของพวกเราทุกคน สำหรับวันนี้ สวัสดี
ถอดเสียงและเรียบเรียงโดย : คุณรัตนา