green and brown plant on water

มรณานุสติ

เวลาอ่าน : 4 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”

วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม  2568

โดย อาจารย์ คณานันท์  ทวีโภค

เรื่อง มรณานุสติ

กำหนดสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ผ่อนคลายร่างกายกล้ามเนื้อทุกส่วน พร้อมกับความรู้สึกที่เราปลดปล่อย ความเกาะ ความห่วง ความยึดความสนใจในสังขารร่างกายขันธ์ห้า ผ่อนคลายเพื่อปล่อยวางร่างกายขันธ์ห้า ปล่อยวางขันธ์ห้าเพื่อแยกกายแยกจิต ปล่อยวางผ่อนคลายสงบ

จากนั้นกำหนดจิต กำหนดรู้ในลมหายใจ จินตภาพเห็นลมหายใจเป็นเหมือนกับแพรวไหม พลิ้วผ่านเข้าออกในกาย ลมหายใจรายละเอียด สงบ ผ่องใส ระยิบระยับ ลมหายใจเข้ารู้ ลมหายใจออกรู้ รู้ในความสงบ เข้าสู่สภาวะลมหายใจละเอียด เบาสบาย ทรงอารมณ์ ทรงสภาวะที่เข้าถึงลมสบายในอานาปานสติ ลมหายใจเหมือนกับแพรวไหม สงบ ละเอียดเบา

จากนั้นเคลื่อนจิตต่อไป กำหนดจิตนิ่งหยุดเป็นเอกัคคตารมณ์ เข้าถึงฌานสี่ สงบนิ่ง หยุด ทรงอารมณ์ฌาน ทรงอารมณ์สมาธิ เพื่อฝึกฝนจิตของเราเองให้ตั้งมั่น นิ่งหยุด สงบ จิตเป็นหนึ่งในเอกัคคตารมณ์ จิตเข้าถึงอุเบกขารมณ์ วางเฉยในสิ่งที่มากระทบทางอายตนะทั้งปวง

จากนั้นเดินจิตต่อ ขึ้นสู่การทรงสมถะในกสิณ กำหนดน้อมนึก จากจิตที่นิ่งหยุดเป็นหนึ่ง จากจุดขยายกลายเป็นวง จากวงขยายกลายเป็น 3 มิติ กลายเป็นดวงแก้ว จากดวงแก้วค่อยๆ สว่างขึ้น ใสขึ้น ละเอียดขึ้น ทรงอารมณ์ ทรงสภาวะที่จิตเป็นดวงแก้วสว่าง เข้าถึงอุคคหนิมิต เชื่อมโยงกสิณกับจิต จิตคือกสิณ กสิณคือจิต เป็นหนึ่งเดียวกันทั้งอารมณ์พระกรรมฐาน ยิ่งภาพนิมิตของกสิณสว่าง จิตยิ่งเป็นสุข ยิ่งภาพของนิมิตมีความใส อารมณ์จิตยิ่งมีความผ่องใสเบิกบาน เชื่อมโยงสอดประสานภาพนิมิตของกสิณกับจิตของเราให้เป็นหนึ่งเดียวกัน

จากนั้นยกกำลังของจิตจากอุคคหนิมิต ดวงแก้วใสขึ้นกลายเป็นเพชรระยิบระยับ แพรวพราวเปล่งประกายแสงสว่างรัศมี จนกลายเป็นปฏิภาคนิมิต ทรงสภาวะความเป็นปฏิภาคนิมิต มีเส้นแสงรัศมี พ้นเลยจากเส้นแสงรัศมีของจิตก็ปรากฏสภาวะความเป็นทิพย์ พร่างพรายรายรอบเป็นอาณาเขต เหมือนกับกากเพชรแพรวพราวระยิบระยับทั่วอาณาบริเวณ พ้นเลยจากเส้นแสงรัศมีออกไป จิตเป็นเพชรระยิบระยับสว่าง ใสแล้วใสอีก สว่างแล้วสว่างอีก

จำไว้ว่าเมื่อเราเดินจิตขึ้นสู่ปฏิภาคนิมิตของกสิณจิต วิธีการฝึกฝนยกระดับให้จิตมีความก้าวหน้า คือภาพมีความชัดเจนขึ้นและจะส่งผลทำให้ยามที่เรายกกำลังจิต กำลังใจ กำลังสมาธิขึ้นเป็นกำลังของมโนมยิทธิ ยิ่งจิตใสขึ้น สว่างขึ้นมากเท่าไหร่ กำลังของมโนมยิทธิก็ยิ่งมีความชัดเจน มีความใส มีความถูกต้องเพิ่มขึ้นมากอย่างนั้น

ดังนั้นเมื่อกำหนดจิตขึ้นถึงปฏิภาคนิมิต คือฌาน 4 ของกสิณแล้ว สิ่งที่เราสามารถทำต่อไป ฝึกต่อไป ก็คือการกลั่นจิต เคล็ดลับ เคล็ดวิชามีอยู่ในหลายศาสตร์ที่ครูบาอาจารย์ท่านสอน การกลั่นจิต การดับหยาบไปหาละเอียด ก็คือใส่ไม่มากก็ทำให้มันใสมาก ยังสว่างไม่มากก็ทำให้สว่างมาก จริงๆ ก็คือการฝึกที่เป็นเทคนิคเดียวกัน แต่ชื่ออาจจะแตกต่างกัน

ตอนนี้ก็ให้เรากำหนดความรู้สึกจิตของเรา เป็นเพชรระยิบระยับสว่าง จากนั้นตั้งกำลังใจจดจ่อ กำหนดจิต สว่างแล้วสว่างขึ้นไปอีก ใสแล้วใสขึ้นไปอีก น้ำของจิตที่เป็นเพชร ยิ่งใส ยิ่งประณีต ยิ่งระยิบระยับขึ้นไปอีก จิตยิ่งเป็นสุขขึ้นไปอีกสุขแล้วสุขอีก สว่างแล้วสว่างอีก ใสแล้วก็ยังใสขึ้นไปอีก จิตที่พัฒนาแล้วก็จงจำไว้ว่ายังสามารถพัฒนาได้อีก จิตที่เราฝึกฝนไว้ดีแล้ว ย่อมทะลุผ่านขีดจำกัดของตัวเองได้ กายคนอื่นเขาฝึกอย่างไร ได้อย่างไรก็หยุดนิ่งอยู่แค่นั้น แต่จงจำไว้ว่า จิตของเรานั้นสามารถก้าวข้ามพ้นขีดจำกัด สว่างแล้วสว่างขึ้นได้อีก ใสแล้วใสขึ้นมาอีก จิตเป็นสุขแล้วก็ยังเป็นสุขขึ้นได้อีก

กำหนดทรงอารมณ์จิตของเราตอนนี้ ให้สว่างผ่องใสเป็นเพชรประกายพรึกขึ้นเต็มกำลัง จิตระยิบระยับแพรวพราวผ่องใส กำหนดตัวรู้ว่าเราทรงจิต ใช้กำลังสมาธิตามแนวทางที่ครูบาอาจารย์ท่านเมตตาสั่งสอนมา ในขณะที่เราพากเพียรฝึกฝน กลั่นจิตกลั่นใจเราให้สะอาดขึ้น ใสขึ้น เป็นกำลังที่เราพากเพียร ยิ่งกำลังต้นที่เราฝึก คือฐานแห่งสมถะ เรามีความสว่าง มีความใส มีความตั้งมั่นมากเพียงใดก็ตาม ถึงเวลาที่เราใช้กำลังมโนมยิทธิ บารมีพระท่านสงเคราะห์เพิ่มขึ้นอีก ต้นที่เราทำ เราทำไว้สูง ทำไว้มาก พระท่านให้มาอีกครึ่งหนึ่ง ก็เท่ากับคุณสองขึ้นไป กลายเป็นว่าฐานที่เราทำไว้ดีแล้ว ยิ่งทำให้กำลังมโนมยิทธิของเราชัดเจนขึ้น ผ่องใสขึ้น สว่างขึ้นไปอีก

มีคนถามว่า วิธีฝึกมโนมยิทธิทำยังไง ถึงจะทำให้ภาพมีความชัดเจน แจ่มใส จริงแล้วก็คือ

  1. การตัดร่างกาย ตัดกิเลส ตัดขันธ์ห้าละเอียดไหม แยกกายแยกจิตได้มากแค่ไหน
  2. ก็คือจะให้มโนมยิทธิผ่องใสชัดเจน จิตว่าเราก็ต้องผ่องใส ชัดเจนก่อน ยิ่งฐานที่เราฝึก จิตเราเป็นเพชรประกายพรึก สว่างชัดเจนเพียงใด พอเรายกจากฐานขึ้นไปเป็นมโนมยิทธิ มโนมยิทธิก็ยิ่งผ่องใสเพิ่มขึ้นเพียงนั้น

ดังนั้นเหตุที่เราทำก็คือ ทำจิตของเราให้ผ่องใสที่สุด ใสที่สุด เทคนิคที่ใช้ก็คือกลั่นจิตให้ประณีตที่สุด ละเอียดที่สุดผ่องใสที่สุด อารมณ์จิตเป็นสุขเบิกบานที่สุด

ตอนนี้ก็ให้เราทรงอารมณ์ให้เป็นเพชรประกายพรึก สว่างระยิบระยับ ใจเป็นสุข จิตยินดี จิตมีธรรมฉันทะในความประภัสสรของจิต อุปมาเหมือนสมบัติ คือเพชรนิลจินดาที่เรามีนั้น มีความใส มีความละเอียด มีความงดงามประณีต ใจเรายิ่งยินดีฉันใด จิตของเราจำไว้ว่าเมื่อไหร่ที่เป็นจิตประภัสสรสว่าง ทรงในฌานสี่ จิตขณะนั้นสะอาดจากนิวรณ์ห้า ประการ จิตที่ประภัสสรที่สุดขณะนั้น สะอาดว่างจากกิเลส คือความโลภ โกรธ หลง ทั้งปวง อกุศลทั้งปวง แต่เป็นกำลังที่เกิดขึ้นขับดันกิเลสออกไปจากใจด้วยความผ่องใสของจิต แต่การที่จะสิ้นอาสวะกิเลสได้นั้น เกิดขึ้นจากการถอดถอนสรรพกิเลสด้วยปัญญา คือวิปัสสนาญาณ

ดังนั้นทั้งสองส่วนคือ สมถะและวิปัสสนา จึงมีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน

กำหนดจิตในขณะนี้ ให้จิตของเราประภัสสรที่สุด สว่างที่สุด ระยิบระยับที่สุด ตั้งจิตตั้งใจว่าความประภัสสรของจิตนี้ เราน้อมถวายเป็นพุทธบูชา บูชาคุณพระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ พระธรรม พระอริยสงฆ์

จากนั้นอาราธนาบารมีพระพุทธเจ้า มาสถิตเป็นพุทธนิมิตกลางจิตกลางใจของเรา ประดุจพระพุทธองค์เสด็จมาประทับอยู่ในจิต เมื่อพระพุทธองค์มาปรากฏในดวงจิตดวงใจของเรา สว่างแล้ว เรากำหนดอธิษฐานต่อไปขอบารมีพระพุทธเจ้าทรงเมตตาสงเคราะห์ ขอยกจิตอาทิสมานกายข้าพเจ้าขึ้นไปบนพระนิพพานด้วยเถิด

จากนั้นพุ่งจิต จากดวงแก้วพุ่งขึ้นไปเป็นแสงสว่างขึ้นไปปรากฏ จากจิตที่เป็นดวงแก้วปรากฏปรับสภาวะจากรูปของจิตที่เป็นดวงแก้ว กลายเป็นกายแห่งกายทิพย์ อาทิสมานกายที่เป็นกาพระวิสุทธิเทพ ปรากฏอยู่เบื้องหน้ามหาสมาคมคือพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ โดยมีสมเด็จองค์ปฐมทรงเป็นประธาน ท่ามกลางมหาสมาคมบนพระนิพพานนี้ เราทั้งหลายปรากฏในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ คุกเข่าบรรจงกราบทุกท่าน ทุกๆพระองค์ น้อมจิตกราบลงด้วยความนอบน้อม ด้วยความเคารพ กราบจนถึงแทบพระบาทขององค์พระศาสดา คือ สมเด็จองค์ปฐม มือของกายทิพย์ กายพระวิสุทธิเทพรู้สึกได้ถึงสัมผัส ที่สัมผัสถึงฉลองพระบาทปลายงอน ที่วางอยู่บนแท่นดอกบัวแก้ว พระบาทของพระพุทธองค์สมเด็จองค์ปฐม รู้สึกได้ถึงมือของเราที่สวมพระธำมรงค์ทั้ง 10 นิ้ว กำไล เครื่องทรง เครื่องประดับ รู้สึกได้ถึงใบหน้าที่มีอุณาโลม บรรจงก้มลงแนบกับมือทั้งสองข้างที่กราบพระพุทธเจ้า ความรู้สึกชัดเจนละเอียด กายพระวิสุทธิเทพสว่างผ่องใส มีรัศมีประกายพรึก เจิดจรัสชัดเจนอย่างยิ่ง

เมื่อกราบแล้วก็ให้จิตของเรานั้น เสวยธรรมะปีติ ความดื่มด่ำ ความเคารพ ความนอบน้อม ความรักในพระพุทธเจ้า รักในพระนิพพานให้เต็มหัวอก เต็มหัวจิตหัวใจของเรา จากนั้นพิจารณาดูใจของเราตอนนี้ ว่าจิตเราอยากจะแนบกราบแทบพระบาทของสมเด็จท่านแบบนี้ตลอดกาลไหม จิตของเราอยากไปเที่ยวที่อื่น ภพอื่น ภูมิใดไหม จิตเราเกิดธรรมฉันทะในพระนิพพานไหม ความรู้สึกของจิตอารมณ์ใจนี้ น้อมรวมลงสู่จิตของกายพระวิสุทธิเทพ จิตของเรานี้ ให้จิตนี้บันทึกว่าการปฏิบัติทั้งหลาย ทาน ศีล ภาวนา ที่ข้าพเจ้าสะสมเพาะบ่มบุญบารมีมาตลอด ล้วนแล้วแต่เป็นไปเพื่อพระนิพพานเป็นที่สุด จิตแนบอยู่กับพระนิพพานเป็นอารมณ์

เมื่อจิตของเราพึงพอใจเกิดธรรมฉันทะบนพระนิพพาน ความรู้สึกชัดเจนถึงความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ ไม่สนใจร่างกาย กายเนื้อบนโลกมนุษย์ จิตรู้สึกได้ว่า กายจริงๆ ของเรานั้น มาปรากฏอยู่บนพระนิพพานอย่างชัดเจน เมื่อจิตก็เราเข้าถึงอารมณ์แห่งพระนิพพานโดยละเอียดแล้ว เราก็พิจารณาย้อนทวน ตัดภพจบชาติ ไล่ทวนว่าจิตเรายินดีในความเป็นมนุษย์ไหม ยินดีพึ่งพอใจกับความเป็นเทวดาไหม ยังเสียดายในความเป็นพรหมไหม ยังอยากไปจุติเป็นอรูปพรหมไหม ภพใดภูมิใจในสังสารวัฏ เรายังยินดีไหม ให้ไปเกิดจุติเป็นพญานาคอีกเอาไหม ให้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชอีกเอาไหม

เมื่อพิจารณาว่าใจเราไม่ปรารถนาภพใด ที่ยังข้องแวะข้องเกี่ยวอยู่กับการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ จิตเราก็แนบน้อมอยู่กับพระนิพพาน พิจารณาว่าโลกนี้ สังสารวัฏนี้ มีความทุกข์ มีความวุ่นวาย มีความไม่เที่ยง มีความเสื่อม มีความแตกสลายไปตามกฎไตรลักษณ์ คือการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไปในที่สุดพิ จารณาให้จิตพ้นจากโลก พ้นจากวัฏสงสาร พ้นจากภพภูมิทั้งหลาย จิตอยู่กับพระพุทธองค์บนพระนิพพาน

จากนั้นอธิษฐานจิต ให้กายพระวิสุทธิเทพของเรา อยู่ในอิริยาบถขัดสมาธิเพชรบนรัตนบัลลังก์ดอกบัวแก้ว เจริญพระกรรมฐานบนพระนิพพาน อยู่เบื้องหน้าพระพุทธเจ้า มหาสมาคมบนพระนิพพานนี้

จากนั้นกำหนดจิต เกี่ยวเนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของอาจารย์เอง วันนี้เราปฏิบัติในเรื่องของมรณานุสติและมรณะสัญญา ตั้งแต่โยมแม่ของอาจารย์ ป่วย เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่สบาย ระยะเวลาที่ใกล้กับมรณกาล พระท่านก็มาสงเคราะห์บอกว่าให้พิจารณานะ ใกล้เวลาแล้ว ก็ให้น้อมนำเอาแม่ของเรานี่แหละ ความแปรปรวนของสังขารแม่เรานี่แหละ มาเป็นครู แล้วก็น้อมลงสู่ตัวเรา ก็คือให้พิจารณาว่าร่างกายขันธ์ห้านี้ ในที่สุดตัวเราก็ต้องเป็นเช่นนี้ด้วยเช่นกัน ตามธรรมดาธรรมชาติ เมื่อเราเกิดขึ้น เป็นเด็ก เป็นหนุ่มสาว ถ้าหากชีวิตยังดำเนินไปตามครรลอง ยังไม่มีกรรมมาตัดรอนให้ตายก่อนกาล ให้หมดอายุขัยก่อนถึงวัยชรา ชีวิตที่ดำเนินไปก็มีความเสื่อมไปในที่สุด โดยมีบั้นปลายคือความตาย เมื่อเราชราลง ร่างกายแรงกายก็ถดถอยลง สภาวะความเสื่อมก็ชัดเจนขึ้น โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ก็ค่อยๆ มาเบียดเบียนเพิ่มขึ้นพอถึงเวลาช่วงหนึ่งตามอายุตามวัย ก็ให้เราพิจารณานะ เริ่มติดบ้าน เริ่มไม่ค่อยอยากออกไปไหน เริ่มไม่อยากขยับตัวสภาวะนี้มันก็มาจากความเสื่อมของร่างกาย ต่อมาหลังจากนั้น พอติดบ้านนานเข้า ก็เริ่มนั่งนอนมากขึ้น พอนั่งนอนมากขึ้น ร่างกายมันไม่มีการขยับเขยื้อน ความเสื่อม กาลเวลาผ่านไปก็เริ่มเข้าสู่สภาวะ จากติดบ้านก็มาติดเตียง ติดเตียงก็คือ นอนมากขึ้น ไม่อยากเดิน ไม่อยากขยับอะไรมาก พอติดเตียงไปนาน ก็จำเป็นต้องมีคนดูแลพยุงดูแลรักษา ร่างกายเราเสื่อมถอยมาก อ่อนแอมาก หมดเรี่ยวหมดแรงมาก ในที่สุดเราก็ช่วยตัวเองไม่ได้ ต้องให้ลูกดูแลเช็ดตัว เช็ดอุจจาระปัสสาวะ ดูแลไป

อันนี้มันก็คือความแก่ ความเสื่อม ร่างกายก็แห้งเหี่ยวลง โรคภัยไข้เจ็บก็เริ่มมาเบียดเบียนมากขึ้น สังขารก็ไม่มีความสวยสดงดงาม อย่างสมัยที่เป็นหนุ่มสาว ผมเผ้าก็บางลงขาว เนื้อหนังเหี่ยวย่น นัยน์ตาฝ้าฟางลงไปเรื่อยๆ พอแก่ติดเตียงจนกระทั่งช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต่อไปร่างกายมันเสื่อมต่อ จนถึงขั้นหนึ่งที่การกินอาหารมันก็เริ่มกินได้น้อยลง ร่างกายโดยเฉพาะกล้ามเนื้อของหลอดอาหารมัน อยู่ย้วย มันอ่อนแอลง สัญญาณต่อมาก็คือไม่สามารถเคี้ยวหรือกลืนอาหารได้มาก พอทานอาหารที่จำเป็นต้องเคี้ยว ต้องกลืนที่เป็นชิ้น ก็มีอาการสำลัก พอสำลักมากเข้า ร่างกายกินอาหารได้น้อยลงขันธ์ 5 ร่างกายก็ยิ่งผอม ยิ่งหมดเรี่ยวหมดแรง พอกินอาหารแข็งไม่ได้ ก็จำเป็นจะต้องกินอาหารอ่อน กินอาหารเหลว อาหารอ่อนไป จนกระทั่งเมื่อกลืนน้ำก็ไม่ค่อยไหว ร่างกายกินอะไรไม่ได้แม้แต่น้ำก็กลืนได้แค่วันละไม่กี่อึก ร่างกายมันก็ถอยลงไปเรื่อยๆ หลี่ลงไปเรื่อยๆ ประดุจเทียนซึ่งหมดเชื้อ คือเนื้อเทียนมันค่อยๆ หมด กินไส้ไปเรื่อยๆ ใกล้ที่จะมอดดับ พอถึงเวลาไม่มีสารอาหารเข้าไป ร่างกายอ่อนแอลง ร่างกายก็หายใจเบาลงเพราะไม่มีสารอาหารมาหล่อเลี้ยงร่างกาย ลมหายใจก็หรี่ลง เบาลงไปเรื่อยๆ

สำหรับบางคนก็มีอาการที่ธาตุน้ำ มันแยกออกมา ปรากฏสิ่งที่เรียกว่าเสลดหางวัว เสลดหางวัวนี่มันถือว่าเป็นสัญญาณของมรณกาล ตั้งแต่คนโบราณเขาพูดถึง จะมีเสลดมาอยู่ที่หลอดอาหาร หลอดลม ทำให้หายใจมันได้น้อยลง มีอาการหายใจคลอก พอร่างกายขาดอากาศมากเข้า ตาก็เบิกโพลง เหม่อลอย สายตาไร้แวว ความรู้สึกตัวมันเริ่มหมดไป

เราก็พิจารณา อย่างกรณีของคุณแม่ของอาจารย์เอง ก็มีอาการดังกล่าวเป็นเวลา 1 คืน พอถึงเวลาตอนเช้าตื่นขึ้นมา ก็มีเสียงพระท่านมาบอกว่า ให้ไปกราบขอขมาตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังมีลมหายใจอยู่ เราก็ลงไปกราบที่เท้าท่าน ขอขมากรรมตั้งแต่ท่านยังมีลมหายใจ จากนั้นก็นั่งเฝ้าอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งสักพักหนึ่งใบหน้าบริเวณดวงตาก็มีน้ำไหลลงมาจากตาทางด้านซ้ายมือ อาจารย์ก็ใช้กระดาษทิชชู่เช็ด พอเช็ดแล้วก็สังเกตดูว่า มีลมหายใจรวยรินออกมา อาจารย์ก็จับมือดูก็เห็นว่ามือเย็น จับเท้า ปลายเท้าก็ยังอุ่นอยู่บ้าง แต่พอมองกลับมาอีกทีจากลมหายใจนั้น ก็ไม่เห็นอากาศหายใจอีก ก็ใช้มืออังที่บริเวณจมูก เพื่อสัมผัสดูว่ามีลมอัสสาสะ ปัสสาสะ คือลมหายใจเข้าออกอยู่ไหม ก็พบว่าลมหายใจไม่มีแล้ว ลมหายใจเมื่อสักครู่ก็คือลมหายใจสุดท้ายของคุณแม่ ก็บอกพี่น้องว่าคุณแม่เสียแล้ว จากนั้นก็ให้ทุกคนมากราบขอขมาลาโทษเต็มรูปแบบ พร้อมกับกล่าวเอ่ยถึงบุญกุศลที่ท่านทำมาในอดีต เพื่อเป็นทางให้ท่านได้ไปสู่สัมปรายภพ

คราวนี้ก็ให้เราฝึกจากพิจารณาในมรณานุสติ มาพิจารณาฝึกต่อในกำลังของมโนมยิทธิ คือดูตามไป ก่อนหน้าที่คุณแม่จะเสียประมาณ 1 สัปดาห์ พระอินทร์ท่านก็เมตตามาปรากฏในจิต คือท่านปรากฏมาเห็น ให้รู้ว่าเป็นท่าน แล้วก็เตือนอาจารย์ว่า ใกล้แล้ว เราก็ทราบแล้วว่า อะไรคือใกล้ แล้วพอพระอินทร์ปรากฏขึ้นเสร็จ ก็ปรากฏเป็นภาพของคุณพ่อคุณแม่ของคุณแม่ ก็คือคุณตาคุณยาย ซึ่งเสียชีวิตแล้วมาปรากฏ น้องชายคือคุณน้าอีกคนหนึ่งชื่อน้องชายคุณแม่ คือคุณน้าที่เสียชีวิตแล้วมาปรากฏให้เห็นในจิต เราก็ทราบล่วงหน้าแล้วว่าเตรียมตัวมารับกันแล้ว แต่ในเมื่อพระอินทร์ท่านเมตตามาบอก เราก็กำหนดรู้ทันทีว่า ถ้าอย่างนั้นภพ สถานที่ สัมปรายภพที่จะไปของคุณแม่ก็คือสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ การที่เรามีกำลังของมโนมยิทธิมันก็มีประโยชน์ เราก็กำหนดกราบทูลขอบารมีพระอินทร์ท่าน บางคนเรียกท่านปู่ ของอาจารย์เรียกท่านพ่อ ขอท่านเมตตาฝากคุณแม่ไว้ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อยู่รอจนกระทั่งยุคพระศรีอริยเมตไตรยมาปรากฏจุติ ค่อยบรรลุไปในยุคนั้น

พออธิษฐานฝากกับท่านเสร็จ เวลาก็ผ่านล่วงมาทั้งหมดจนกระทั่งคุณแม่เสียชีวิต การจัดงานศพในวันแรกเพราะเสียวันแรก ก็กำหนดให้ลูกศิษย์ที่อาศัยอยู่ที่วัดท่าซุงช่วยเป็นธุระถวายมหาสังฆทานเฉพาะเจาะจง คือให้เจาะจงโดยตรงชื่อผู้วายชนม์โดยตรง อุทิศตรง แล้วโอนปัจจัยให้เขา ซึ่งลูกศิษย์ก็ได้มโนมยิทธิชัดเจนมาก ดังนั้นกำลังในการอุทิศตรงให้ ก็ยิ่งเกิดผลมาก ดังนั้นสิ่งที่ปรากฏก็คือ คุณแม่ก็ไม่ต้องเสียเวลาแบบคนทั่วไป ที่เขาตายแล้วยังไม่รู้ว่าจะไปไหน เราตายหรือยัง ก็ปรากฏได้ทิพยสมบัติทันที ก็คือได้ไปปรากฏจุติเปลี่ยนภพทันที อยู่เป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

อันนี้ก็ขออธิบาย ว่าประโยชน์ของการที่มีลูกหลาน มีญาติที่ได้มโนมยิทธิ แล้วเขาสามารถช่วยเหลือสงเคราะห์คนที่ชราดได้ คนที่ใกล้ความตายได้ อุปมาว่าให้เราดูตามน ะถ้าคนทั่วไปที่เขาไม่ได้ญาณ ไม่ได้เครื่องรู้ ไม่ได้มโนมยิทธิ  ลูกหลานเห็นญาติตาย เสียชีวิต พ่อแม่เสียชีวิตก็ร้องไห้ฟูมฟายอยู่ ไม่รู้จะทำอะไร มีแต่ความรู้สึกห่วง มีแต่อารมณ์จิตที่มีความเสียใจ ดวงวิญญาณของผู้เสียชีวิตก็มาจดจ่อ มาเกาะอยู่กับลูกหลานเพราะว่าตัวเองก็ติดอยู่กับลูกหลานเหมือนกัน

ดังนั้นก็ยังไม่ไปไหน โดยทั่วไปก็เป็นธรรมเนียมที่ยังอยู่ต่ออีก 7 วัน อันนี้ก็ถือว่าเป็นบททั่วไปสำหรับคนที่ตาย เสียชีวิตตายไป ป่วยตายไป ตามอายุขัย คือลุงพุฒท่านก็เมตตาให้มีเวลาทำบุญสร้างกุศลอุทิศให้ ก็อาจจะอยู่ที่บ้านบ้าง มาปรากฎบ้าง เดินวนเวียนหรือยังติดอยู่ ไม่อยากตาย ยังห่วงนั่นห่วงนี้ ญาติทำบุญอาจจะถึงบ้างไม่ถึงบ้าง ยิ่งงานใหญ่มาก วุ่นวายกับแขกเหลือมาก ไม่มีการตั้งจิต ไม่มีการตั้งสมาธิในการบำเพ็ญกุศล บุญก็ส่งถึงผู้วายชนม์ได้น้อย พอวิญญาณนั้นวนเวียนอยู่ในงานบ้าง อยู่ที่บ้านบ้าง จนครบตามกำหนดเวลา นายนิรยบาลเขาก็มารับตัวไป คราวนี้ก็ต้องไปต่อแถว ผ่านสำนักพระยายมต่อ ให้เรานึกภาพว่าเหมือนกับเราจะเดินทางไปต่างประเทศ ไปที่สนามบินขั้นตอนความวุ่นวาย การต่อแถวรอเช็คอินว่าจะไปภพใดภูมิใจ มันใช้เวลาแล้วก็มีความไม่แน่นอน ว่าพอผ่านสำนักพระยายมท่านนึกถึงบุญไม่ได้ ก็ต้องลงข้างล่าง ถ้าทำบุญมากพอหรือเคยอธิษฐานจิตขอให้ลุงพุฒิ ท่านเมตตาเป็นพยานก็รอดไปได้ แต่ถ้ายังต้องผ่านสำนักพระยายมก็ถือว่ามีความเสี่ยง ถ้ากุศลกรรมเข้ามาแทรกในขณะที่ผ่าน นึกไม่ออก อึกอักกรรมชั่วที่ทำไว้เยอะ ชินกับกรรมชั่ว ชินกับอารมณ์ที่เป็นอกุศลมาก ถ้าไปตรงนั้นนึกถึงกุศลไม่ออกก็ต้องลงข้างล่างก่อน

แต่คราวนี้คนที่ได้มโนมยิทธิ เราทำตั้งแต่บอกทาง เราทำตั้งแต่อัดบุญให้ตั้งแต่ต้น อุทิศส่วนกุศล น้อมจิตแผ่เมตตาให้โดยตรง ก็เหมือนกับมีช่องทางพิเศษเป็น VIP ไม่ต้องผ่านช่องศุลกากรที่ต้องต่อคิว ไม่ต้องต่อคิวเช็คอิน เข้าช่องพิเศษขึ้นเครื่องเจ็ทส่วนตัวได้ทันที อันนี้ก็คือขึ้นสู่สวรรค์หรือภพที่ต้องการได้ทันที

ดังนั้นก็ให้เราเข้าใจให้ได้ว่า เราปฏิบัติพระกรรมฐาน จริงๆ จุดที่เป็นอานิสงส์สูงสุด ว่าทำไมภาวนาถึงมีกุศลมากกว่าการให้ทาน ลำพังของการให้ทานหรือแค่การรักษาศีล เพราะการภาวนานั้นทำให้สามารถที่จะกำหนดภพที่จุติหรือการกำหนดที่จะไม่จุติ คือตัดสรรพกิเลสไม่เวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป ดังนั้นก็ให้เราพิจารณาไว้ให้เห็นประโยชน์

คราวนี้ในงานศพของคุณแม่อาจารย์ เรื่องที่คุณแม่ไปที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เนื่องจากไม่เคยฝึกพระกรรมฐานมา ไม่เคยฝึกสมาธิมาเลย ไม่สนใจ แล้วก็บอกว่าฝึกไม่ได้ ดังนั้นการที่ฝึกไม่ได้เลย ปฏิบัติไม่ได้เลย กำลังก็ทำได้แค่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก็ถือว่ายอด มีกำลังบุญที่อุทิศให้เฉพาะเจาะจง มีบุญที่เคยสร้างพระพุทธรูปก็ทำให้วิมานเครื่องทรง เคยถวายผ้าพระกฐิน มีความสว่าง มีความผ่องใส แต่คราวนี้เรื่องแปลกก็คือ ลูกศิษย์หลายคนที่ไม่ทราบ ว่าพระอินทร์ท่านมารับแต่แรก มาร่วมงานศพในขณะที่ร่วมงานศพ ข้อดีก็คือแขกที่มาในงานแม้จะน้อย แต่ก็ทรงอารมณ์พระกรรมฐานกันได้เกือบทุกคน ไม่มีใครพูดคุย เล่นในขณะที่สวดเจริญสมาธิ เจริญพระวิปัสสนากรรมฐานกันทุกคน หลายคนที่อาจารย์ตรวจดูก็ทรงอารมณ์ น้อมเอามรณานุสติมาไว้ในใจของตัวเองกัน เรานั่งฟังสวดไป ก็ดูจิตลูกศิษย์ไปด้วย แล้วก็กลายเป็นว่าลูกศิษย์ทุกคนก็ร่วมน้อมจิต น้อมใจ น้อมกุศลให้กับคุณแม่ของอาจารย์เอง บุญก็ยิ่งเพิ่มเข้าไปอีก แล้วหลายคนก็ดู รู้มาบอกอาจารย์ว่าคุณแม่อาจารย์อยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีกัน 2 คน 3 คน มีบางคนบอกด้วยซ้ำว่าคุณแม่ของอาจารย์นี่ถึงเวลาเสียชีวิตแล้ว ถึงรู้ว่าลูกมาทำอะไรบ้างนอกบ้าน มาทำอะไรไว้บ้างในเรื่องของการฝึกสมาธิ สอนสมาธิ ระหว่างมีชีวิตอยู่นี่ไม่รู้เลย ว่าทำอะไรไว้ให้ อันนี้ก็จริงตรงตามที่ลูกศิษย์ได้ดูได้รู้ กับมีกัลยาณมิตรอีกท่านโทรมาจากต่างจังหวัด โทรมาจากนครสวรรค์ ทราบข่าวว่าโยมแม่ คุณแม่ของอาจารย์เสียชีวิต ก็บอกมาดูให้ อันนี้ก็ไม่รู้ตรงไม่ตรงนะครับ แต่คุณแม่ของพี่เล็กอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ใส่เครื่องทรงสวย มีวิมานสว่างมาก ก็โทรมาก็ยืนยันจบ

ดังนั้นสิ่งที่ไม่ได้รู้ล่วงหน้า ไม่ได้บอกล่วงหน้าแต่ทุกคนเห็นตรงกันหมด ก็เอาเป็นเชื่อได้ว่า วิชาที่หลวงพ่อฤาษี พระราชพรหมยาน ท่านเมตตาสอน วิชาของพระพุทธเจ้าและสิ่งที่เราปฏิบัติธรรมกันมา มีผลยังประโยชน์ได้จริง เกิดประโยชน์ทั้งในปัจจุบันชาติและสัมปรายภพ

ดังนั้นการที่เราฝึกกรรมฐาน หัวใจสำคัญอยู่ที่ว่า เราเอาไปใช้งานได้จริงไหม ปฏิบัติแล้วเกิดผลไหม ถ้าเราปฏิบัติแบบนี้แล้วเกิดผล สวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้สามารถกำหนด สามารถช่วย สามารถสงเคราะห์ดวงจิตอื่นให้เข้าถึงได้ ดังนั้นเราเองถ้าตั้งใจจริงๆ เราจะปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงพระนิพพานนี้ ทำได้ไหม เราต้องมั่นใจว่าทำได้

แล้วก็ขอเสริมอีกเรื่องหนึ่ง มีน้องชาย คือน้องของคุณน้า ซึ่งมาปฏิบัติในสายของหลวงพ่อ ในฝ่ายของมโนยิทธิด้วยเช่นกัน ก็มาเล่าให้ฟังว่าคุณแม่ของท่านในขณะที่ก่อนตาย เห็นภาพนิมิตว่ามีพระมารับ มีพระมารับมากแล้วก็บอกว่าจิตก่อนตายนี่เห็นเลยว่ามีพระมารับ คือพระพุทธเจ้าเสด็จมารับ อันนี้ก็เป็นที่เชื่อมั่นได้ว่าไปพระนิพพานแน่นอน เพราะตั้งจิตไว้ด้วยว่าจะไปพระนิพพาน ถ้าตั้งจิตว่าจะไปพระนิพพานแล้วพระมารับ คือพระพุทธเจ้ามารับ ยังไงก็ไปพระนิพพานได้ แล้วก็เป็นรายเดียวกัน คือบุคคลที่เสียชีวิตนี้ เสียชีวิตในช่วงที่เกิด covid ระบาด อาจารย์ก็ลืมไปช่วงหนึ่งจนกระทั่งหลังโควิด ไปถวายมหาสังฆทานที่บ้านสายลม ก็มาเจอคุณน้าคนนี้ กายเนื้อเราเจอหน้าแล้วก็เรียกบอกว่าไปถวายสังฆทานด้วยกันนะครับคุณน้าครู เราชวนเขาก็ยิ้มจริงๆ แล้วเราก็วุ่นวายอยู่กับลูกศิษย์คนอื่น ที่เขามาถามปัญหากัน ปฏิบัติบ้างอะไรบ้าง ก็คลาดสายตากันไป แต่คราวนี้สิ่งที่ตอนนั้นเรานึกไม่ออก กับเธอลืมนึกไปว่าเขาเสียชีวิตตั้งแต่ช่วงโควิด แล้วมานึกได้ทีหลังว่าเมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 2 เดือนผ่านไปนึกได้ว่าเขาเสียชีวิตไปแล้วจะเข้ามาให้เห็นตาเนื้อที่บ้านสายลม

แต่คราวนี้สิ่งต่อมาก็คือ หลังจากที่เขามาสักพักหนึ่ง ลูกชายเขาก็คือน้องลูกพี่ลูกน้องก็หันมาฝึก มาเรียนมโนยิทธิ ฝึกในคอร์สเมตตาสมาธิที่จัดที่สมาคมศิษย์เก่าจุฬาลงกรณ์ ตอนหลังก็ถึงมาทราบว่าที่เขามาปรากฏให้เห็นตาเนื้อ ก็เพราะตั้งใจจะฝากให้ลูกชายมาเรียนสมาธิด้วย อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ยืนยันสิ่งหนึ่งก็คือ ถึงนิพพานแล้วก็ยังสงเคราะห์กันได้ ช่วยเหลือกันได้ มาปรากฏได้

สำหรับวันนี้ก็ให้เราน้อมพิจารณาดูว่า มรณะสัญญาทั้งหลาย ชราภาพ โรคาพญาธิ มรณกาล ในที่สุดก็ต้องเกิดกับเรา แต่เราตัดกาย ทิ้งกาย ปล่อยวางร่างกายได้ไหม ปล่อยวางร่างกายขันธ์ 5 ของบุคคลอื่นได้ไหม มีความห่วง มีความหวงในขันธ์ 5 ร่างกายของคนที่เรารัก จะเป็นพ่อแม่ไหม จงจำไว้ว่าเราปฏิบัติธรรมมาถึงขั้นนี้ เราไม่ต้องไปหวงร่างกายท่านที่เป็นร่างกายมนุษย์ ถ้าเราจะห่วงพ่อห่วงแม่ ห่วงบุคคลอื่น เราห่วงเพียงแค่ว่าเราจะช่วยบอกทางให้เขาไปยังสัมปรายภพหรือบอกทางพระนิพพานเขาได้ไหม ตรงนี้สำคัญมากกว่า

ตอนนี้ก็ให้เราแต่ละคนพิจารณาตัวเอง เราห่วงกายเราไหม หรือจิตเราแนบกับพระนิพพาน หากบุคคลที่เรารักที่สุดคือพ่อแม่ก็ดี สามีก็ดี ภรรยาก็ดี หรือแม้แต่ลูกลูกของเราก็ดี ถ้าเขาตายก่อนเราจะห่วงไหม หรือมีความรู้สึกเพียงแต่ว่าเราถ้ามีกำลังสามารถเกื้อกูลสงเคราะห์ ให้ดวงจิตเข้าไปยังสัมปรายภพหรือไปพระนิพพานได้ แทนที่จะเป็นห่วงร่างกาย เราห่วงว่าเขาจะไปไหน ก็คือตายแล้วไปไหน เราช่วยได้ไหม ตรงจุดนี้ต่างหากที่เป็นสิ่งที่สำคัญกว่า ให้เราน้อมพิจารณารวม แม้แต่ความเป็นอสุภสัญญา ความชรา ความเจ็บไข้ได้ป่วย พิจารณาน้อมสู่ตนว่า เราเห็นคนแก่สักวันเราก็ต้องแก่ เห็นคนป่วยสักวันเราก็ต้องป่วย เห็นคนตายสักวันเราก็ต้องตาย จิตยอมรับตามความเป็นจริงในกฎอนิจจลักษณะและจิตตั้งมั่นมั่นคงอยู่กับพระนิพพานเพียงจุดเดียว

เมื่อเราพิจารณาแล้ว ปล่อยวางแล้ว การปล่อยวางขันธ์ห้านั้น นำมาซึ่งความสุข การปล่อยวางคือทางแห่งพระนิพพาน ยิ่งปล่อยวางโลก ปล่อยวางกาย ปล่อยวางตัดภพทั้งหลาย ยิ่งใกล้พระนิพพาน ฝึกวางให้ลง ปรงให้เร็ว วางทุกสรรพสิ่งกายขันธ์ห้า เป็นเพียงธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ  กายขันธ์ห้าในที่สุดก็ต้องกลับคืนสู่โลก ธาตุทั้งสี่กลับคืนสู่ ดิน น้ำ ลม ไฟธาตุน้ำดับออกมา แยกออกมา ธาตุลมดับ คือลมหายใจดับ ธาตุไฟดับก็คือตัวเย็นเฉียบ ธาตุดินค่อยๆ สลาย ธาตุน้ำแยกออกมาเป็นน้ำเหลืองน้ำหนอง ผุดออกจากกายขันธ์ห้า ดิน น้ำ ลม ไฟ สลายคืนสู่โลก มันไม่มีอะไรเป็นของเรา ตายแล้วสมบัติทั้งหลาย สมมุติทั้งหลาย ก็ไม่ใช่ของเราอีกต่อไป ไปห่วงไปหวงแต่มันจบบทบาท จบสมมุติ ถ้าเราวางสมมุติ สิ้นสมมติก็จึงจะพบวิมุต คือพระนิพพาน

น้อมพิจารณาด้วยความผ่องใสของจิต จิตยอมรับทำตามความเป็นจริงทุกประการ เอาประสบการณ์มาเป็นครูของเรา เอาคุณแม่ของอาจารย์มาเป็นครูในมรณานุสติ ในอสุภสัญญา ในกายคตา พิจารณาเพื่อละ เพื่อวาง

เมื่อพิจารณาแล้วเราก็พนมมือ กำหนดจิตเรารำลึกนึกถึงพระพุทธเจ้า คุณหลวงพ่อครูบาอาจารย์ ที่ประสิทธิ์ประสาทสั่งสอนสรรพวิชากรรมฐานทั้ง 40 กอง มโนยิทธิ จนเรามีญาณเครื่องรู้ มีฌาน มีญาณ มีความสามารถในมโนยิทธิ เอามาเป็นเครื่องมือในการตัดกิเลส เป็นเครื่องมือ เครื่องนำพาจิตเข้าสู่พระนิพพาน เมื่อพิจารณาธรรมเรียบร้อยแล้ว เราก็น้อมจิตกราบพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ กราบทุกท่านทุกพระองค์บนพระนิพพาน

จากนั้นตั้งจิตอธิษฐาน น้อมอาราธนาบารมีกระแสบุญศักดิ์สิทธิ์จากพระนิพพาน คือบารมีทั้ง 30 ทัศ ทาน ศีล ภาวนา ของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระอรหันต์ทุกๆ พระองค์ รวมเป็นบุญศักดิ์สิทธิ์จากพระนิพพาน น้อมรวมลงมายังโลกใบนี้ ขอจงเกิดความสุขสันติ น้อมรวมลงมายังพื้นแผ่นดินไทย ขอกำลังพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ ตรึงแผ่นดิน ปรากฏยันต์เกราะเพชรอันเป็นทิพย์ คลุมประเทศไทยทั้งหมด ขออาราธนาบารมียันต์เกราะเพชร คลุมทหารหาญทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่ทั้ง 4 ภาค แนวชายแดนทั้ง 4 ทิศ ขอกำลังพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ สงเคราะห์เกื้อกูลให้ทหารทหารทั้ง 4 เหล่าทัพ คือ ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ตำรวจตชด. ปลอดภัยจากภัยทั้งปวง แคล้วคลาดจากอาวุธ จากสงคราม จากศึกครั้งนี้ หากไม่เกินวาระกฎของกรรม ก็ขอให้รอดปลอดภัยจากหนักก็ขอให้เป็นเบา จากเบาก็ขอให้ปลอดภัย ไม่ประสบ จากที่จะประสบพบเหตุ ก็ขอให้แคล้วคลาดไม่พบเจอเหตุร้ายผ่านพ้นไปได้ ปลอดภัยกันทุกนายด้วยเทอญ

น้อมกระแสบุญพุทธานุภาพจากพระนิพพานลงมา คลุม คุ้มครองชำระล้างพระพุทธศาสนาให้สะอาดบริสุทธิ์หมดจด พุทธบริษัท 4 มีสัมมาทิฏฐิ ตั้งมั่นในมรรคมีองค์ 8 มีจิตน้อมในกระแสแห่งมรรคผลพระนิพพาน กระแสธรรมอันเป็นโลกุตระธรรมจงหลั่งไหลลงชำระล้างดวงจิตให้สะอาดบริสุทธิ์ทุกดวง ขอน้อมบุญกุศล น้อมรวมลงมาพิทักษ์รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ กระแสบุญน้อมรวมลงรักษาพระชนมวารองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมราชินีนาถพระพันปีหลวง พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ตลอดจนทุกท่านที่มีจิตมั่นคงจงรักภักดี ตั้งใจจริงใจในการทำนุบำรุงรักษาคุ้มครองประเทศชาติบ้านเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์

ขอน้อมบุญกุศลที่ข้าพเจ้าทั้งหลาย รวมไปจนถึงบุญศักดิ์สิทธิ์จากพระนิพพาน ลงมาเพิ่มกำลังบุญให้กับพระสยามเทวาธิราช ดวงพระวิญญาณของบูรพมหากษัตราธิราชเจ้าทุกพระองค์ ตลอดจนถึงพระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระหลักเมือง พระกาฬไชยศรี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ที่พิทักษ์รักษาชาติบ้านเมือง ขอจงมีกำลังบุญ เกิดบุญฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์ เทพฤทธิ์ มีกำลังบุญบารมี มีกำลังแห่งกุศล มีกำลังกระแสแห่งสัมมาทิฐิ คุ้มครองรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้ผืนแผ่นดินสยามประเทศนี้ เป็นที่จำหลักรักษาพระบวรพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองตราบ 5000 ปี ด้วยเทอญ

ขอจิตอันตั้งมั่นของข้าพเจ้าทั้งหลาย จิตอันบริสุทธิ์ของข้าพเจ้าทั้งหลาย อันเกิดขึ้นจากการเจริญพระกรรมฐานในอารมณ์พระนิพพาน ตัดกิเลสสะอาดบริสุทธิ์ กำลังบุญยิ่งเพิ่มพูน ขอกำลังบุญนี้เกิดสัจจะอธิษฐาน เป็นกำลังบุญบารมี ความศักดิ์สิทธิ์ เกิดเป็นอภิจิตรวมใจ เป็นเกราะแก้วคุ้มครองประเทศไทย ณ บัดดล

ขออินทร์ พรหม ยม ครุฑ นาค เมตตาสงเคราะห์ เกิดอิทธิฤทธิ์ เทพฤทธิ์ บุญฤทธิ์ เกิดความศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์ พระนารายณ์เมตตาทรงครุฑ ทรงจักร ปราบอริราชศัตรูทั้งหลาย ทั้งภายในประเทศและภายนอกประเทศ บุคคลที่คิดร้าย ขอพระนารายณ์ภาคปราบ ได้ทรงสงเคราะห์ตามหน้าที่ ตามวาระ ข้าพเจ้าทั้งหลายอยู่ในสายโปรด สายบุญ สายกุศล ไม่อาจกระทำหน้าที่ในการปราบได้ต่อไป

ข้าพเจ้าทั้งหลายตั้งจิตอยู่กับพระนิพพาน ขอน้อมนำอาราธนาพุทธานุภาพ มาใช้เพื่อปกปักรักษา เพื่อป้องกัน เพื่อรักษาชีวิตทหารหาญ เพื่อเป็นบุญ เพื่อการคุ้มครอง เพื่อการป้องกัน แต่ไม่ใช่ใช้กำลังของสมาธิอภิญญาสมาบัติในการทำร้าย ในการทำลาย ในการล้าง ในการเข่นฆ่าอีกต่อไป ด้วยจิตอันบริสุทธิ์ รู้หน้าที่ รู้เหตุ รู้สิ่งที่ต้องทำ ขอเทพพรหมเทวา ประสิทธิ์ประสาทกำลังความศักดิ์สิทธิ์ อภิญญาใหญ่ให้กับข้าพเจ้าทั้งหลาย ในภายภาคหน้าอันใกล้นี้ด้วยเทอญ

จากนั้นกำหนดอธิษฐานนะ เป็นกระแสแสงสว่างจากพระนิพพานลงมายังประเทศไทย จิตกำหนดรู้ เห็นในเทวดาพรหมทั้งหลาย พระสยามเทวาธิราช ขอจงปรากฏองค์ขึ้น พระสยามเทวาธิราชไม่ใช่มีแค่พระองค์เดียวนะ ท่านใดที่เป็นบรรพบุรุษไทย มีจิตมั่นคงจงรัก อธิษฐานว่าจะรักษาประเทศขอบเขตนี้ ก็เป็นพระสยามเทวาธิราชคอยพิทักษ์รักษาสยามประเทศนี้ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ขอท่านเมตตาปรากฏทุกท่านทุกพระองค์ เราน้อมจิตกราบนะ

รอบนี้ถวายมหาสังฆทานก็จะตั้งจิตพิเศษ อุทิศถวายทุกท่านทุกๆ พระองค์นะ อธิษฐานถวายเพื่อให้เกิดเป็นกําลังแผ่นดิน สัปดาห์หน้าก็จะเป็นช่วงที่ถวายมหาสังฆทานบ้านสายลม เราก็ตั้งจิตเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามบ้านเมืองคับขัน เกิดศึกสงคราม

ชาตินี้เราไม่ได้ทำหน้าที่เป็นนักรบจับดาบ ต่อสู้ห้ำหั่นประหัตประหารอริราชศัตรู แต่ชาตินี้เรามาเป็นนักรบธรรม ใช้กำลังบุญ กำลังกุศล กำลังอภิญญาสมาบัติ กำลังมโนยิทธิเกื้อกูลสงเคราะห์ปกป้องเอา เรามาเกิดทำหน้าที่บทบาทหนึ่ง เพราะเราหลายคนจะไปพระนิพพาน เมื่อเราอธิษฐานจิตทั้งหลายสำเร็จประโยชน์ ทำงานภาคทิพย์แล้ว เราก็น้อมจิตกราบลาทุกท่านทุกๆ พระองค์บนพระนิพพาน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านเมตตามาปรากฏ มาสงเคราะห์เรา น้อมจิตกราบทุกท่านทุกๆ พระองค์ด้วยความนอบน้อมเคารพ จิตเราเชื่อมโยงท่าน

เมื่อกราบลาแล้วก็พุ่งจิตกลับลงมาบนโลกมนุษย์ พร้อมกับอาราธนากระแสบุญศักดิ์สิทธิ์จากพระนิพพาน เป็นลำแสงสว่างลงมาฟอกธาตุขันธ์ อธิษฐานจิตธาตุธรรมฟอกธาตุขันธ์ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง กลายเป็นแก้วใส โครงกระดูกทั่วกายกลายเป็นแก้วใส หลอดเลือด เส้นเอ็นสะอาดทะลุทะลวงโรคกลายเป็นแก้วใส เซลล์ทุกเซลล์ อวัยวะภายในทุกส่วนกลายเป็นแก้วใส อาการทั้ง 32 กลายเป็นแก้วใส โรคภัยไข้เจ็บ เนื้องอกเซลล์มะเร็ง สลายตัวไป ธาตุธรรมฟอกธาตุขันธ์สลายไป หายไป เชื้อทั้งหลาย โรคทั้งหลาย สิ่งผิดปกติทั้งหลายสลายตัวไป พิษวัคซีนทั้งสลายสลายตัวไป ร่างกายธาตุขันธ์ กาย จิต ผ่องใส เป็นแก้วเป็นเพชร จิตเอิบอิ่มผ่องใส สว่าง

จากนั้นให้เราหายใจเข้าช้าๆ ลึกๆ 3 ครั้ง

ครั้งที่ 1 บริกรรม พุทโธ – ครั้งที่ 2 ธัมโม – ครั้งที่ 3 สังโฆ

ค่อยๆ ถอนจิตช้าๆ จากสมาธิ ตั้งใจโมทนาบุญกับเพื่อนกัลยาณมิตรทุกคน ที่ปฏิบัติเจริญพระกรรมฐานทั้ง 74 ท่านอารมณ์พระกรรมฐานที่ถึงพระนิพพาน ตัดกาย ตัดขันธ์ 5 และปฏิปทาสาธารณประโยชน์ที่อธิษฐานจิตทำงานภาคทิพย์ช่วยชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ บ้านเมือง บุญอันใหญ่ จิตอันเป็นกุศล สำเร็จประโยชน์แล้ว เราโมทนากับทุกคน ทุกท่านด้วยเทอญ แสงสว่างแห่งจิต แสงสว่างแห่งกายทิพย์ เราสะสมเพิ่มพูนขึ้น ก็เพื่อเป็นกำลังให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาตินี้ ในระหว่างที่มีชีวิตเราก็ทำงานรับใช้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นการทิ้งทวน

สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกท่าน ขอให้ทุกคนมีความสุข มีความเจริญ สัปดาห์หน้าก็จะเป็นช่วงที่เราไปถวายมหาสังฆทานที่บ้านสายลม แล้วก็ยังมีภารกิจที่เราจะต้องร่วมกันจัดสร้างพระเจ้าองค์แสนดวงจิตพระนิพพานร่วมกันอีก ยังขาดปัจจัยอยู่เป็นจำนวนประมาณ 5 แสนบาท จึงจะสำเร็จทั้งหมด ดังนั้นใครที่มีความสะดวกในการที่จะช่วยเป็นต้นบุญกองบุญก็รวบรวมมาที่บัญชีตนเอง แล้วก็ค่อยโอนมาร่วมบุญทีเดียว เพราะตอนนี้คณะทำงานพระเจ้าองค์แสนดวงจิตพระนิพพาน ก็มีวัตถุมงคลที่รับเป็นของที่ระลึกให้ตามจำนวนกองบุญ ที่แต่ละท่านรวบรวมมาได้ ตรงนี้ก็ขอฝาก มีหลายท่านที่มีกำลังบุญ แล้วก็มีหลายท่านที่มีบุญมาก มีกุศลมาก แต่ยังไม่ได้เขียนอธิษฐานจิต จารจารึกแผ่นทองอธิษฐานเพื่อสร้างพระเจ้าองค์แสนดวงจิตพระนิพพาน ตอนนี้เห็นท่านเข้ามาอยู่ในห้องเจริญพระกรรมฐานด้วย ถึงเวลาก็ขอให้มีโอกาสได้เขียนนะ เพราะว่าท่านก็มีบุญมาก เป็นกำลังสำคัญที่จะทำให้บุญฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์ ความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธรูปเพิ่มพูนขึ้น

ดังนั้นวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน

พบกันใหม่สัปดาห์หน้า สำหรับวันนี้สวัสดี

ถอดเสียงและเรียบเรียงโดย : คุณสิริญาณี แลบัว

คุณไม่สามารถคัดลอกเนื้อหาของหน้านี้ได้