green and brown plant on water

วิปัสสนาญาณกำลังจิตตัดเป็นตัดตาย

เวลาอ่าน : 2 นาที

เสียงธรรมจากห้อง เมตตาภิรมย์กรรมฐาน

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน 2568

เรื่อง วิปัสสนาญาณกำลังจิตตัดเป็นตัดตาย

โดย อาจารย์คณานันท์ ทวีโภค

                             กำหนดสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม    กำหนดรู้ในกายไล่ความรู้สึกของเราไปยังร่างกายทุกส่วนรู้กายเพื่อปล่อยวางตัดร่างกาย  ผ่อนคลายร่างกายกล้ามเนื้อไล่ตั้งแต่ศีรษะใบหน้าคางคอลงไปถึงกาย ลำตัวแขนขา ทุกส่วน  ผ่อนคลายร่างกายกล้ามเนื้อพร้อมกับความรู้สึกปล่อยวาง  วางร่างกาย  วางขันธ์๕  ผ่อนคลายปล่อยวางความรู้สึกที่ยึดมั่นถือมั่นในร่างกาย  ปล่อยวางผัสสะในความรู้สึกถึงการมีร่างกาย ปล่อยวางร่างกายเพื่อแยกกายแยกจิต  ผ่อนคลายเพื่อปล่อยวางกาย  ทรงสภาวะแห่งการปล่อยวางกายนี้จนจิตเข้าถึงความสงบ การเข้าไปสงบระงับในกายสังขารนำความสุข นำความสงบของจิตมาให้  ปล่อยวางกายเพื่อเข้าถึงความสงบของจิต  จากนั้นทรงสภาวอารมณ์แห่งการปล่อยวางสงบนี้  เมื่อร่างกายสงบระงับลง กำหนดรู้ในลมหายใจละเอียดเหมือนกับแพรวไหมพลิ้วผ่านเข้าออกในกาย  ลมหายใจที่ผ่านเข้าและออกต่อเนื่องสืบต่อตลอดทั้งสายตลอดทั้งกองลม ลมหายใจยิ่งละเอียดลมหายใจยิ่งสงบเบา จิตยิ่งเข้าถึงความสงบความสุขจากสมาธิ ความสงบระงับจากนิวรณ์ ๕ ประการ ความสงบจากความฟุ้งซ่าน  อยู่กับลมหายใจสบาย อยู่กับลมหายใจละเอียด ลมหายใจลมปราณสัมพันธ์จิตใจ ยิ่งลมหายใจละเอียดจิตยิ่งละเอียด ยิ่งลมหายใจเบาช้าสงบลงมากเท่าไหร่ จิตยิ่งสงบลงมากขึ้นเพียงนั้น อยู่กับลมหายใจละเอียด สติกำหนดรู้ต่อเนื่องราบรื่นตลอดเชื่อมโยงทั้งลมหายใจเข้าและออก  เห็นทั้งลมเข้าและลมหายใจออกสืบต่อ ต่อเนื่องเป็นสายเดียวกัน อยู่กับลมหายใจสบาย  ทรงสภาวะอยู่กับลมหายใจที่สงบระงับนี้ กำหนดรู้ในความสงบของใจ   เมื่อจิต ลมสงบเบาลง เราเดินจิตเข้าสู่สมาธิเข้าสู่ฌานที่มีระดับความสงบสูงขึ้น  ใช้จิตตานุภาพของสมาธิทรงฌาน ๔ กำหนดหยุดจิต นิ่งหยุด กำหนดในจุดที่ลมหายใจนั้นหยุด ปรากฏเป็นดวงแก้ว จิตนิ่งหยุดอยู่กับดวงแก้ว ภาพนิมิตของดวงแก้วค่อยๆใสขึ้นสว่างขึ้น  ระยิบระยับขึ้นขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นเพชรประกายพรึกสว่าง  เชื่อมโยงจิตกับกสิณ  กสิณกับจิต จิตคือกสิณ กสิณคือจิตทรงสภาวะจิตของเราตอนนี้คือภาพนิมิตปรากฏเป็นเพชรประกายพรึกสว่างรุ่งโรจน์มีเส้นแสงรัศมีกระจายออกโดยรอบ ๓๖๐ องศา พ้นเลยจากเส้นแสงรัศมีของจิตปรากฏสภาวะความเป็นทิพย์ คือบรรยากาศพร่างพรายเป็นประกายระยิบระยับ  ทรงสภาวะที่จิตเป็นปฏิภาคนิมิตเปล่งประกายความสว่างเต็มกำลัง  ทรงสภาวะที่เปล่งประกายที่สุด

                             พอถึงภาคของกสิณ กำหนดภาพนิมิตสัมพันธ์จิตใจ ยิ่งภาพกสิณใสมากเท่าไหร่สว่างมากเท่าไหร่  แผ่รัศมีคลื่นกระแสของจิตออกไปได้มากเท่าไหร่ อารมณ์ใจอารมณ์จิตยิ่งมีความอิ่มเอิบยิ่งมีความสุขยิ่งมีความยินดี อารมณ์กรรมฐานนี้คืออารมณ์ที่บ่งบอกว่าในกสิณจิตนั้นจิตยิ่งเปี่ยมพลัง  พลังที่ว่าคือพลังของความเป็นทิพย์มีความสว่างมีความพร่างพราย มีความเป็นเพชรระยิบระยับมากเท่าไหร่จิตยิ่งมีความสุขยิ่งเปี่ยมพลัง  กำหนดทรงสภาวะที่จิตเปล่งประกายที่สุดผ่องใสที่สุดจิตเป็นสุขที่สุด ใสแล้วใสขึ้นไปอีก  สว่างแล้วสว่างขึ้นไปอีก  กระแสคลื่นของเมตตาคือรัศมีจิตให้เป็นกระแสของเมตตาอันไม่มีประมาณ แผ่สว่างออกไปแล้วแผ่สว่างออกไปอย่างไม่มีประมาณ ทรงสภาวะที่จิตมีกำลังสูงสุดเต็มกำลังเช่นนี้ไว้ ประคองอารมณ์ไว้ประคองภาพนิมิตไว้ ประคองความผ่องใสของจิตไว้ ประคับประคองพร้อมกับแผ่เมตตาคลื่นรัศมีของจิตเป็นคลื่นของเมตตาอันไม่มีประมาณสว่างออกไป

                             จากนั้นอธิษฐานจิตตั้งจิตรำลึกนึกถึงพระพุทธเจ้า คุณของพระพุทธองค์ คุณของพระธรรม คุณของครูบาอาจารย์หลวงพ่อพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย กำหนดน้อมให้ปรากฏภาพองค์พระขึ้นใจกลางดวงจิตของเราที่เป็นเพชรประกายพรึกนั้นองค์พระเป็นเพชรใสบริสุทธิ์อย่างยิ่ง สว่างอย่างยิ่ง กำหนดน้อมให้เกิดความสว่างความผ่องใสเต็มกำลัง  ในขณะที่เราทรงอารมณ์ในพุทธานุสติ ทรงภาพองค์พระ อารมณ์พระกรรมฐานคืออารมณ์ที่จิตของเรามีความนอบน้อมอ่อนโยนต่อพระพุทธเจ้า มีจิตศรัทธามั่นคงอยู่กับพระพุทธเจ้า  โดยเฉพาะอย่างยิ่งจิตถึงพระคือจิตของเรามีกำลังใจที่ปราศจากวิจิกิจฉาความลังเลสงสัยทั้งปวง ความรู้สึกของเราคือภาพพุทธนิมิตของพระพุทธเจ้าเป็นพุทธานุภาพของพระพุทธองค์มาสถิตอยู่ในจิตของเราอย่างไม่มีข้อสงสัย จิตเราเชื่อมกระแสถึงพระพุทธองค์ด้วยความมั่นคงคือไตรสรณคมน์นั้น เราไม่ได้กล่าวเพียงแค่เป็นพุทธะพิธี เป็นพิธีกรรมที่เราต้องสวดกล่าวแต่มาจากจิต มาจากใจของเราที่เข้าถึงไตรสรณคมน์อย่างแท้จริง  จิตเชื่อมกับพระพุทธองค์อย่างแท้จริง  เมื่อไหร่ที่เรานึกถึง เมื่อไหร่ที่เราเห็นภาพพระ  เมื่อไหร่ที่เราทรงภาพพระ จิตเราเชื่อม เรานึกถึงพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน เมื่อไหร่ที่เราทรงอารมณ์ใจได้เช่นนี้เป็นปกติ นั่นก็คือจิตเราตัดสังโยชน์ในข้อวิจิกิจฉาออกไปจากจิต   จิตมีความตั้งมั่นในไตรสรณคมน์อย่างแท้จริง *** โดยเฉพาะอย่างยิ่งตรงจุดนี้ถือว่าเป็นการปฏิบัติที่ลัด คือเมื่อไหร่ที่กำลังใจเราถึงจุดนี้  ทุกครั้งที่เราทรงภาพพระ  การทรงภาพพระหรือความรู้สึกที่เราเชื่อมกระแสอยู่กับพุทธนิมิต กำลังจิตเราก็กลายเป็นมโนมยิทธิทุกครั้ง   ให้เราตั้งกำลังใจไว้เช่นนี้ คนอื่นเขาจะใช้ความยากเย็นอย่างไรในการยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพานมาอยู่กับพระพุทธเจ้าพระพุทธองค์  แต่เราให้เราตั้งกำลังใจเป็นมาตรฐานของจิต มาตรฐานของจิตมาตรฐานของการปฏิบัติแต่ละคนมีความแตกต่างกัน  แต่ใครที่สามารถตั้งมาตรฐานของตนเองไว้ได้สูง ถ้าภาษาการปฏิบัติก็ถือว่าเราเป็นผู้ที่ฝึกฝนเพาะบ่มตนมาดี  เป็นบุคคลที่ทำการเคี่ยวกรำตนเองมาดี เป็นบุคคลที่ฝึกไว้ดีแล้ว เราก็ย่อมมีมาตรฐานในการปฏิบัติที่ไม่เหมือนคนอื่น   คนอื่นเขาปฏิบัติสักแต่ว่าปฏิบัติพอเป็นอุปนิสัยคือปฏิบัติไปพอเป็นพิธี ปฏิบัติกันว่ากันไป  แต่อันที่จริงพระพุทธองค์ท่านทรงตรัสสอนครูบาอาจารย์หลวงพ่อท่านสอนไว้ว่าการปฏิบัติธรรมทั้งที  *** อันนี้มีเสริมขึ้นมาในนิมิตคือไม่ใช่เฉพาะหลวงพ่อพระราชพรหมญาณท่านสอน แต่หลวงปู่ปานท่านสอนด้วยว่าถ้าจะปฏิบัติก็จงปฏิบัติเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง  ไม่เฉพาะแต่ท่านที่เป็นพระภิกษุสงฆ์ท่านที่เป็นบรรพชิตที่ว่าการบวชนี้เป็นการบวชเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง   แต่หากเราปฏิบัติเพื่อหวังผลสูงสุดคือพระนิพพาน    การปฏิบัติของเราเหล่านั้นก็ย่อมต้องชัดเจนอย่างยิ่งในเรื่องการทำพระนิพพานให้แจ้ง ก็ให้เราถามตัวเราเองดูว่าความคล่องตัวในการยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพานของเรานั้นมีความคล่องตัวเพียงใด นิพพานให้แจ้ง แจ้งกับจิตของเรา แจ้งกับใจของเราว่าอย่างไรเราขึ้นมาพระนิพพาน ตายเมื่อไหร่เรามาพระนิพพานได้แน่นอน       “ แจ้ง ”ภาษาโบราณแปลว่าชัดเจนกระจ่างแก่ใจของเรา  ตอนนี้ก็ให้เราสอบทวนกับจิตของเรา ว่าเราเข้าถึงความแจ้งในพระนิพพานมั้ย   อารมณ์จิตปัญญาเราอาจจะไม่เข้มข้นกับท่านที่เป็นพระอริยบุคคลที่เข้าถึงพระอรหันตผล แต่อารมณ์จิตของเราแจ้งคือหมดสิ้นความลังเลสงสัยในพระนิพพานมั้ย  สิ้นความลังเลสงสัยในคุณพระรัตนตรัยมั้ย สิ้นความลังเลสงสัยในเรื่องกรรม การเวียนว่ายตายเกิดวัฏสงสารมั้ย  

                             ตอนนี้ก็ให้เราน้อมจิตพิจารณาให้เห็นคุณของพระนิพพานให้ชัดเจนที่สุด แล้วก็พิจารณาต่อไป    อธิษฐานว่า “ ขอนับแต่นี้การทรงอารมณ์ การทรงพุทธานุสติ จิตของข้าพเจ้าจะยกขึ้นมาบนพระนิพพานทันทีทุกครั้งยังไม่ต้องตั้งท่าไม่ต้องรีรอไม่ต้องมีลีลาอะไร นึกถึงพระ จิตก็ถึงพระ ” ตอนนี้ก็ให้เราทรงอารมณ์จิตอยู่เบื้องหน้าพระกราบท่านด้วยความเคารพอยู่ท่ามกลางมหาสมาคมบนพระนิพพาน   จากนั้นก็พิจารณาเอาโลกมาพิจารณา เห็นความไม่เที่ยงเห็นความทุกข์เห็นภัยพิบัติ   ลองพิจารณาดูว่าภัยพิบัติต่างๆที่เกิดขึ้น พิจารณาดูอย่างเช่นอุทกภัยที่ภาคใต้หาดใหญ่ความทุกข์มันเกิดมั้ย ความสูญเสียความพลัดพรากจากของรักของเจริญใจ   ทรัพย์สินบ้านเรือนรถหรือแม้แต่กระทั่งบุคคลอันเป็นที่รักหรือชีวิตมันเที่ยงมั้ย  ให้เราลองนึกภาพกำหนดน้อมจิตพิจารณาในมรณสัญญา กำหนดดูอารมณ์จิตคือใช้เจโตปริญญาณไปดูในอดีตังสญาณ  คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตในไม่กี่วันที่ผ่านมา ดูอารมณ์จิตพิจารณาว่าบุคคลที่ประสบภัย บุคคลที่เสียชีวิตอารมณ์จิตของบุคคลต่างๆนั้นเป็นอะไรบ้าง  มีความกลัวมั้ยมีความทุรนทุรายมั้ยมีความตื่นตกใจมั้ย  แล้วก็กำหนดจิตพิจารณาดูว่าอันนี้ก็คือทำทุกอย่างให้พิจารณาโยนิโสนมัสสิการคือพิจารณาโดยแยบคายและน้อมนำพิจารณามากับใจของเรา  คือลองพิจารณาดูว่าถ้าเราอยู่ในสถานการณ์ต่างๆ อยู่ๆปุบปับมีภัยพิบัติเกิดขึ้น  เราอยู่ในบ้าน น้ำ มันขึ้นอย่างรวดเร็วขึ้นมาเรื่อยๆเราออกไปไม่ได้และดูถ้าเราจะต้องตายจริงๆเราจะวางอารมณ์ใจอย่างไร  เราจะทำอย่างไรเรามีห่วงมั้ยให้เรากำหนดน้อมพิจารณาดูว่าเราวางได้แค่ไหน เราจะตัดใจไปพระนิพพานได้มั้ย  หรือเราจะกระเสือกกระสนวุ่นวาย  กำหนดพิจารณาดู  อันนี้เราน้อมให้เหตุการณ์ต่างๆเป็นครูพระกรรมฐานให้กับเรา  ให้เราพิจารณานะตอนนี้นะ  อารมณ์จิตเราตัดเป็นตัดตายได้มั้ย ตายเป็นตายไหนๆต้องตายแล้วยังไงเราไม่รอดแน่เราไปนิพพานเพียงจุดเดียว  ตายเป็นตายจะสำลักยังไงจิตเราก็พระนิพพานอย่างเดียว ตอนนี้ให้ซ้อมทำได้มั้ย น้ำมาถึงคอละไม่มีใครมาช่วยแน่ มีแต่ขึ้นเรื่อยๆยังไงเดี๋ยวอีกไม่นานเราก็ต้องตายตัดใจได้มั้ย  ยกจิตขึ้นไปบนพระนิพพานเลย  ตอนนี้พอยกขึ้นไปได้แล้วกำหนดจิตตายเป็นตาย กายข้างล่างตายช่างมันมันจะทุรนทุรายแต่จิตเราเกาะพระพุทธเจ้า เวทนาเกิดความกลัวเกิดไม่สนใจออกกายทิพย์กอดพระบาทพระพุทธองค์ไว้  ทำได้มั้ยแล้วดูกายข้างล่างมันค่อยๆจมไปเรื่อยๆมันตายก็ช่างมันมันจะหายใจไม่ออกก็ช่างมัน  แต่กายทิพย์เราเกาะพระบาทพระพุทธองค์ไว้  ในยามที่คับขันที่สุดเรากำหนดลองซ้อมเหตุการณ์แบบนี้ดูกำหนดพิจารณาน้อมมาสู่ตน ความตายมรณสัญญาเป็นของไม่เที่ยง เราเองก็อาจจะมีสถานการณ์ที่จะต้องพบเจอมีเหตุการณ์อย่างไรก็พิจารณาให้หมดคือน้อมมาพิจารณาเป็น  ตัดเป็นตัดตายเพื่อพระนิพพานให้หมด เกิดภัยพิบัติอย่างไรเกิดขึ้นในประเทศไทยก็ดี  ในต่างประเทศก็ดีพอเกิดปุ๊บก็ให้เรากำหนดพิจารณาเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์แต่ตัดตาย  อารมณ์ตัดไปพระนิพพานฝึกอารมณ์ตัดไปพระนิพพาน  พอเราฝึกกับเหตุการณ์จำลองสมมติในภัยพิบัติในการตายในการเสียชีวิตที่ปุบปับกระทันหันแบบนี้บ่อยเข้าบ่อยเข้า  จิตมันจำเพราะจิตมันจำถ้าเกิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้นมาจริง   เราเคยฝึกเราเคยทวนเราเคยซ้อมอารมณ์มาแล้วพอเราเคยซ้อมอารมณ์มาแล้วมันก็กลายเป็นว่าไม่ยากมาก  แต่ถ้าเราไม่เคยซ้อมเลยถึงเวลาเกิดไปเจอเข้า มันนึกไม่ถึงมันนึกถึงพระนิพพานไม่ไหว  บางทีกรรมมันตัดรอนจากการที่เราเจอวิบากกรรมต้องตายหลับปุบปับแบบนี้  ดังนั้นยิ่งเราซ้อมมากเท่าไหร่ทุกสถานการณ์ ที่ฮ่องกงตึกไฟไหม้ทั้งตึกคนตายจำนวนหนึ่งเราก็ซ้อมดูว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้เราจะยกจิตไปพระนิพพานยังไงเวทนามันเกิดอย่างไร เราตัดได้แค่ไหนซ้อมมันทุกสถานการณ์ พอเรายิ่งซ้อมทุกสถานการณ์ในการตัดเป็นตัดตายเพื่อพระนิพพานได้มากเท่าไหร่   พอถึงเวลาถ้าเกิดวาระของเรามาถึงจริงๆ กลายเป็นว่านอนหลับแล้วตายไปคราวนี้มันก็กลายเป็นเรื่องที่ง่ายมากจะไปพระนิพพานก็กลายเป็นเรื่องง่าย เพราะเราซ้อมกับเรื่องยากมาก่อน 

                           ดังนั้นให้เราคิดพิจารณาอย่าหวาดกลัวในภัยพิบัติอย่าหวาดกลัวความตาย ให้เราน้อมมาสู่ตนให้เอาเหตุการณ์ภัยพิบัตินั้น   มาเป็นครูมาเป็นองค์วิปัสสนาญาณให้เราเห็น เห็นว่าโลกนี้ไม่เที่ยงโลกนี้มันมีความทุกข์โลกนี้มันมีสิ่งที่เกิดฉับพลันตามวาระกรรมที่เราไม่คาดฝัน แล้วก็ฝึกพิจารณาด้วยญาณเครื่องรู้ต่างๆ พิจารณาให้เห็นว่าสุดท้ายการที่เราประสบพบเจอเหตุการณ์ต่างๆ  อันที่จริงนั้นเกิดขึ้นจากกรรมและกฎของกรรมในอดีตชาติด้วยกันทั้งสิ้นไม่มีเหตุใดที่มันเกิดขึ้นโดยบังเอิญทุกอย่างเป็นเรื่องของกรรมกำหนดมา  พอพิจารณาแล้วใจเราก็จะมีอุเบกขารมณ์ ใจเราก็จะมีความสะดุ้งตกใจในภัยพิบัติในความหวาดกลัวน้อยกว่าคนทั่วไปปกติ   ให้เราตอนนี้กำหนดจิตให้มีความสงบเย็นเห็นธรรมดาของมรณานุสติ  เห็นความเป็นธรรมดาของความไม่เที่ยงและก็จิตมีความตั้งมั่นมั่นคงอยู่กับพระนิพพาน ทรงอารมณ์ทรงสภาวะความเป็นกายพระวิสุทธิเทพสว่างผ่องใสบนพระนิพพาน  เมื่อทรงอารมณ์ได้เต็มที่เต็มกำลังแล้ว เราก็น้อมจิตนะไหนๆเราได้อาศัยเหตุการณ์ต่างๆ บุคคลทั้งหลาย ดวงจิตทั้งหลายเป็นองค์วิปัสสนาญาณในมรณานุสติแล้ว ในอารมณ์ฝึกในอารมณ์ตัดเป็นตัดตายเพื่อพระนิพพานแล้ว   เราก็ขอน้อมเอาปฏิบัติบูชาเป็นกำลังบุญจากพระนิพพานแผ่ตรงลงไปยังดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลายของผู้เสียชีวิตทั้งที่พบเจอร่างแล้ว แล้วก็ยังไม่พบเจอร่าง  แผ่เมตตาสว่างลงไปนะเป็นกระแสบุญเป็นกุศลปรับภพภูมิ ขอท่านทั้งหลายจงได้อนุโมทนาสาธุในบุญแห่งการเจริญพระกรรมฐาน  บุญของทานคือมหาสังฆทานในวันนี้ บุญของการรักษาศีลของข้าพเจ้าทั้งหลาย บุญแห่งการเจริญพระกรรมฐานจนถึงอารมณ์พระนิพพานอารมณ์วิปัสสนาญาณ  อารมณ์ฌานสมาบัติ ขอเป็นบุญใหญ่บุญศักดิ์สิทธิ์ปรับภพภูมิเชื่อมกระแสกับพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ  กระแสของพระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย  แผ่เมตตาลงไปยังดวงจิตที่เสวยความทุกข์ทั้งมนุษย์ก็ดีทั้งสัตว์ก็ดี น้องแมวน้องหมามดแมลงสัตว์เล็กสัตว์น้อยทั้งหลายที่เสียชีวิตในมหาอุทกภัย   ขอจงโมทนาบุญกำหนดน้อมนะให้เห็นนะเห็นมั้ยดวงจิตดวงวิญญาณเค้าพนมมือไหว้ บางคนจิตก็ยังฝังจมอยู่  ยังรู้สึกว่าอยู่ในน้ำอยู่ก็กำหนดแผ่เมตตาให้สว่างให้บุญมาหนุนให้เขาลอย  ให้ปรากฏทิพยสมบัติอันเกิดขึ้นจากทาน มหาสังฆทาน  ขอเธอทั้งหลายท่านทั้งหลายจงโมทนาบุญของข้าพเจ้า ท่านทั้งหลายเพียงสาธุบุญก็สำเร็จ  สาธุบุญก็สำเร็จ  สาธุบุญก็สำเร็จ  เปลี่ยนมั้ยลองกำหนดจิตดูนะ กายทิพย์เปลี่ยนมั้ยสว่างขึ้นใสขึ้นปรับภพภูมิขึ้นนะ

                            สำหรับวันนี้เราก็ตั้งจิตตั้งใจว่า หลังจากที่อาจารย์สอนคืนนี้เราก็จะทรงอารมณ์ ทรงอารมณ์จิตทรงอารมณ์พระนิพพานให้มากที่สุด  พิจารณาในเรื่องการปล่อยวางการตัดเป็นตัดตายให้มากขึ้น  ละเอียดขึ้นลึกขึ้นกว่าเดิม  สำหรับวันนี้เนื่องจากพรุ่งนี้อาจารย์ต้องสอน ต้องเดินทาง  ต้องตื่นแต่เช้าก็จะขอสอนไม่ยาวมากให้เราไปปฏิบัติต่อ  ตอนนี้ก็ให้เราทุกคนอาราธนากระแสจากพระนิพพานแผ่เมตตาอันไม่มีประมาณ ลงไปใน ๓ ภพภูมิ นับตั้งแต่ภพของอรูปพรหมทั้ง ๔  พรหมโลกทั้ง ๑๖ชั้น อากาศเทวดาทั้ง ๖ชั้น  รุกขเทวดา ภุมเทวดาทั่วอนันตจักรวาลทุกดวงดาว ภพกลางอันได้แก่มนุษย์และสัตว์เดรัจฉานที่มีขันธ์๕  กายเนื้อกายหยาบทุกดวงดาวทั่วอนันตจักรวาล   แผ่เมตตาให้กับโอปปาติกะสัมภเวสีทั่วจักรวาล  แผ่เมตตาลงไปยังเปรตอสูรกายทั้งหลายสัตว์นรกทั้งหลายทุกขุมลึกลงไปถึงที่สุดคือโลกันตมหานรก  ขอสรรพสัตว์จงประสบแต่ความสุขพ้นจากความทุกข์พ้นภัยจากวัฏสงสารเข้าถึงพระนิพพานอันเป็นบรมสุข   ขอละทิ้งบาปกรรมอกุศลความอาฆาตแค้นพยาบาทชำระจิตให้ผ่องใสด้วยเมตตาด้วยพรหมวิหาร ๔ ขอจงมีจิตที่เป็นสัมมาทิฐิ  รู้ความผิดชอบชั่วดี รู้ดีรู้ชั่วรู้บุญรู้บาปมีหิริโอตัปปะขอกุศลจงเข้าสู่จิตสู่ใจทุกดวง  ขอกระแสบุญจงชำระล้างดวงจิตทุกดวง ขอความสว่างจงดับความมืดบอดในจิตทุกดวง  ขอปัญญาจงเป็นแสงสว่างท่ามกลางความเขลาอวิชชาทั้งปวง  

                             จากนั้นกำหนดนะกราบลาทุกท่านทุกๆพระองค์แล้วก็น้อมกระแสบุญจากพระนิพพานกระแสพุทธานุภาพลงมาคลุมคุ้มครองชาติศาสนาพระมหากษัตริย์  กำหนดน้อมจิตเราให้สว่างที่สุดใสที่สุดกายพระวิสุทธิเทพของเราสว่างที่สุด  เมื่อกายเราสว่างที่สุดแล้วกราบลาแล้วก็พุ่งกายทิพย์เรากลับลงมายังกายเนื้อคลุมกายน้อมกระแสบุญลงมาคลุมชำระล้างฟอกธาตุขันธ์ ผมขนเล็บฟันหนังกลายเป็นแก้วใสสว่างกระดูกเส้นเอ็นหลอดเลือดกล้ามเนื้อทุกส่วน เซลล์ทุกเซลล์อาการทั้ง ๓๒ อวัยวะภายในทุกส่วนกลายเป็นแก้วใสสว่าง  ธาตุธรรมฟอกธาตุขันธ์ชำระล้างโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง ธาตุธรรมฟอกธาตุขันธ์สลายล้างมลทินเครื่องเศร้าหมองทั้งกายและจิต ขับสลายอวิชชาคุณไสย บาปเคราะห์วิบากอุปสรรคให้บรรเทาเบาบางคลายตัวลงไปด้วยกำลังของบุญฤทธิ์  ขอวิบากเครื่องขัดข้องเครื่องขัดขวางทั้งหลายคลายตัวสลายตัวไป   ขอบุญจงหล่อเลี้ยงเซลล์ทุกเซลล์ร่างกายทุกส่วน ขอกระแสบุญกระแสความเป็นทิพย์ความผ่องใสหลั่งไหลหล่อเลี้ยงร่างกายธาตุขันธ์ หล่อเลี้ยงจิตด้วยกำลังของบุญ  หากจิตเราเผลอไผลคิดไปในอกุศลก็ขอให้เทพพรหมเทวาดลใจให้จิตเราทรงไว้อยู่ในกุศล  ขอให้จิตเราทรงไว้ในบุญ จิตเราทรงไว้ในความดี ขอให้บุคคลที่อยู่ใกล้เราจงมีแต่บุคคลที่เป็นกัลยาณมิตรบุคคลที่เป็นสัมมาทิฐิ บุคคลที่เปี่ยมไปด้วยเมตตาพรหมวิหาร ๔  บุคคลที่อยู่ใกล้จงเป็นแต่คนบุญที่เป็นคนบุญอย่างแท้จริง  จิตบริสุทธิ์อย่างแท้จริง มีจิตเป็นกุศลอย่างแท้จริง   จากนั้นน้อมจิตนะค่อยๆหายใจเข้าช้าๆลึกๆ ๓  ครั้ง พุทโธธัมโมสังโฆ ให้จิตเราผ่องใสกำหนดให้จิตของเราผ่องแผ้วเบิกบาน  กำหนดจิตของเรานะ โมทนาสาธุกับกัลยาณมิตรทุกคนในบุญที่ร่วมสร้างบำเพ็ญทั้งที่เราได้ร่วมบุญถวายมหาสังฆทานในวันนี้ ๑๕ ชุด ร่วมบุญต่างๆถวายพระพุทธรูป สร้างกุศลจากการเจริญพระกรรมฐาน  แผ่เมตตาปรับภพภูมิช่วยเหลือส่วนรวม  ก็ขอให้บุญนี้เทพพรหมเทวาที่รักษาท่านได้โมทนาสาธุด้วยทุกอย่างทุกประการ   

                             สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคนให้เราทุกคนมีความสุขความเจริญในธรรมสำหรับพรุ่งนี้ก็จะเป็นคอร์สเมตตาสมาธิที่สมาคมศิษย์เก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนะ  ซึ่งพรุ่งนี้ก็อาจจะมีข้อที่ติดขัดรบกวนบ้างเนื่องจากทางจุฬาลงกรณ์สมาคมศิษย์เก่าจุฬาจำเป็นต้องใช้สถานที่บางส่วนหน้า ที่ส่วนของการลงทะเบียนนั้น แล้วก็ส่วนที่เป็นลานจอดรถส่วนหนึ่งในการเปิดรวบรวมข้าวของที่จะเปิดรับบริจาคไปช่วยหาดใหญ่น้ำท่วม   ดังนั้นการเดินทางถ้าเป็นไปได้ก็พยายามมารถสาธารณะหรือคาร์พูล คือติดรถกันมาแล้วก็พรุ่งนี้ก็ยังอาจจะพอมีที่ว่างอยู่บ้างนิดหน่อยสำหรับใครที่สนใจตัดสินใจนาทีสุดท้ายก็อาจจะพอ Walk in มาได้แต่เรื่องอาหารอาจจะต้องดูแลตัวเอง   แล้วก็มาแต่เช้าพยายามลงทะเบียน  สำหรับพรุ่งนี้ก็จะมีวาระพิเศษก็จะมีการแจกของขวัญสำหรับคนที่ตั้งใจมาด้วย  ดังนั้นพรุ่งนี้ก็ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าพลาดจัดอีกทีปีหน้าก็ยังต้องดูเหตุการณ์ไม่รู้ว่าจะจัดเปิดอีกเมื่อไหร่ เพราะว่าทางจุฬาก็อาจจะจำเป็นต้องใช้สถานที่ในการสร้างตึกใหม่ ดังนั้นหนนี้มาได้รีบมา เหตุการณ์ภัยพิบัติมันก็อาจจะเกิดขึ้นเร็วขึ้นดังนั้นการที่เราไม่ประมาทเร่งการปฏิบัติก็เป็นสิ่งที่สมควร ดังนั้นขอให้เราทุกคนตั้งใจปฏิบัติสม่ำเสมออย่าประมาทเหมือนปัจฉิมโอวาทของพระพุทธองค์ จงอย่าประมาทในการทั้งปวง อย่าประมาทในวัย อย่าประมาทในเวลา อย่าประมาทในวาระ อย่าประมาทในแต่ละสถานการณ์ที่เกิดขึ้นว่าไม่เป็นไม่เกิดไม่เจอไม่ประมาทในการทั้งปวง  สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคนสำหรับพรุ่งนี้ตอนกลางคืนอาจารย์ก็ของดเนื่องจากสอนมาเต็มวันเต็มที่แล้วใช้พลังไปเยอะ สอนอีกครั้งนึงก็คาดว่าจะเป็นสัปดาห์หน้าซึ่งก็จะรอประกาศต่อไปสำหรับวันนี้ขอโมทนาบุญกับทุกคนสวัสดี

ถอดเสียงเรียบเรียง โดย คุณธรรมฉันทะ

คุณไม่สามารถคัดลอกเนื้อหาของหน้านี้ได้